“ทำอะไรเหรอ?” เขาเอ่ยหน้าตาเฉย “กินทิ้งกินขว้างมันบาป เดี๋ยวผมช่วยคุณกินเอง หรือว่าคุณไม่พอใจ?” 

 

 

“คุณ… คุณนี่มันหน้าไม่อายจริงๆ” เห็นเขาพูดเลื่อนเปื้อนแล้วเธอได้แต่ว่าเขาอย่างเหนื่อยหน่าย เอ่ยจบแล้วมิวายเหลียวซ้ายแลขวา เมื่อเห็นว่าในร้านอาหารยังคงไร้ผู้คนเหมือนเดิมจึงรู้สึกโล่งอกขึ้นมาบ้าง เธอทุบกำปั้นเล็กๆ ลงบนอกเขา “ถ้าเมื่อกี้มีคนมาเห็นเข้าล่ะก็ ดูซิคุณจะทำยังไง?” 

 

 

จิ้นหยวนเลิกคิ้วขึ้นข้างแล้วเอ่ยอย่างเอาแต่ใจ “จะให้ทำยังไง? ไม่ได้จับชู้ได้คาเตียงสักหน่อย อีกอย่าง ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ผมก็จะแต่งงานกับคุณ” 

 

 

หัวใจเธอกระตุกวูบ อยู่กับเขามาตั้งนาน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพูดจาแบบนี้ให้เธอได้ยิน เธอมองเขาด้วยความไม่แน่ใจ “คุณพูดจริงเหรอคะ?” 

 

 

เขาถอนหายใจแล้วลูบผมยาวสลวยของเธอเบาๆ “ยัยโง่ ผมจะยอมให้คุณอยู่กับผมอย่างนี้ไปตลอดได้ยังไงกัน?” เอ่ยพลางลูบหน้าท้องเธอพลาง “ผมยังอยากจะมีลูกกับคุณอย่างถูกต้องด้วยนะ” 

 

 

“จิ้นหยวน…” เธอควรจะดีใจที่ได้ยินเขาพูดแบบนั้น แต่เธอกลับรู้สึกเศร้าจนน้ำตาเอ่อคลอ “คุณอย่าหลอกฉันนะ…” 

 

 

“ผมจะหลอกคุณทำไมกัน?” เขาปลอบเสียงอ่อนโยนพลางเช็ดหยาดน้ำตาให้เธอ จากนั้นดึงเธอเข้ามากอดเอาไว้ในอก 

 

 

เธอซุกหน้ากับอกของเขา พลันน้ำตาไหลพรากอย่างห้ามอยู่ “ฉันไม่ใช่ผู้หญิงที่ดี คุณจะแต่งงานกับฉันจริงๆ เหรอคะ?” 

 

 

“คุณถามผมแบบนี้สามครั้งแล้วนะ” เขาเอ่ยอย่างจนปัญญา “คำพูดของผมเชื่อถือไม่ได้เลยเหรอ? หรือว่าคุณคิดว่าตัวเองกำลังฝันไป? มา คุณลองกัดผมดูก็ได้” 

 

 

เธอหัวเราะทั้งน้ำตาแล้วเอ่ยอย่างฉอเลาะ “ฉันไม่กัดหรอก หนังคุณหนาซะขนาดนั้น เดี๋ยวฟันของฉันก็หักกันพอดี” เธอพูดเรื่องจริง ผิวหนังของจิ้นหยวนหนาจนไม่อยากจะเชื่อ เธอเคยกัดเขาครั้งหนึ่ง ปรากฏว่าเธอกัดจนปวดฟันไปหมด ครั้งนั้นทำให้เธอเข้าใจร่างกายของเขาอย่างลึกซึ้งมากขึ้น 

 

 

จิ้นหยวนหัวเราะเบาๆ เขาฝังจุมพิตเบาๆ ลงกลางกระหม่อมของเธอแล้วเอ่ย “รู้สึกถึงอะไรไหม?”  

 

 

“อะไรคะ?” เธองงงวย 

 

 

จิ้นหยวนหน้าเปลี่ยนสีทันที “คุณอย่าขยับสิ ไม่อย่างนั้น ผมไม่รับประกันนะว่าจะทำอะไรอีก” 

 

 

“คุณ… คุณมันไอ้บ้ากาม” เธอด่าเขาเพราะเข้าใจความหมายของเขาดี 

 

 

ทันใดนั้น เธอสัมผัสได้ว่ามีของแข็งบางอย่างอยู่ตรงหน้าอกของเขา รู้สึกว่ามันน่าจะเป็นกล่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ เธอจึงยื่นมือสัมผัสมันเบาๆ ด้วยความสงสัย “นี่มันอะไรกันคะ?” 

 

 

จิ้นหยวนยกยิ้มอบอุ่นตรงมุมปาก “หยิบออกมาดูก็รู้เอง” 

 

 

เธอตอบ “ออ” แล้วค่อยๆ นั่งตัวตรง เธอมองหน้าเขาแต่เขากลับไม่ยอมขยับเขยื้อน เขาเอ่ยเสียงแหบแห้ง “คุณหยิบเองสิ” 

 

 

“ฉันเหรอคะ?” เธอไม่เข้าใจว่าเขาจะอุบไว้ทำไม? เธอสังเกตเห็นสีหน้าของเขาแล้วไม่เหมือนคนที่กำลังล้อเล่นจึงยื่นมือเข้าไปในอกเสื้อของเขาอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เธอควานหาอยู่ชั่วครู่ก็เจอกล่องกำมะหยี่ใบเล็กแล้วหยิบมันออกมา 

 

 

“นี่มัน…” เธอถือกล่องกำมะหยี่เล็กๆ เอาไว้ในมืออย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง อย่าบอกนะว่าเป็นอย่างที่เธอคิดน่ะ? 

 

 

แต่พอเชื่อมโยงกล่องใบเล็กนี้เข้ากับคำพูดของเขาเมื่อครู่นี้แล้วเธอก็ชักจะไม่แน่ใจเสียแล้ว เธอหันไปมองตาเขาแล้วหันกลับมามองกล่องในมือ ในใจเต็มไปด้วยความไม่แน่ใจ 

 

 

เขาเอ่ยเสียงอ่อนโยน “นี่เป็นของขวัญจากผม ลองเปิดดูสิ” 

 

 

หัวใจเธอเต้นโครมคราม เธอสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ แล้วค่อยๆ เปิดกล่องกำมะหยี่ออกช้าๆ แววตาเธอเป็นประกายเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน เธอรู้สึกโล่งอกไปเปราะหนึ่ง แต่ก็ไม่รู้ว่าควรดีใจหรือเสียใจดี 

 

 

สิ่งที่อยู่ในกล่องไม่ใช่สิ่งที่เธอคิด แต่เป็นสร้อยคอที่สวยประณีตมาก มันเป็นสร้อยทองคำขาวฝังเพชรเม็ดเล็กๆ ที่ออกแบบได้อย่างเรียบหรู ตรงกลางประดับเพชรน้ำงามเอาไว้เม็ดหนึ่ง ดูแล้วไม่โดดเด่นมากแต่กลับสวยถูกใจเธอมาก 

 

 

“ชอบหรือเปล่า?” เขาเอ่ยถามหลังจากสังเกตสีหน้าของเธอ ตั้งแต่รู้ว่าเธอชอบเครื่องประดับแบบเรียบง่าย เขาก็พยายามเสาะหาผู้เชี่ยวชาญมาออกแบบสร้อยเส้นนี้เป็นการเฉพาะ อย่าเห็นแค่ว่ามันเรียบง่ายมาก แต่วัตถุดิบที่ใช้เป็นวัตถุดิบที่ดีที่สุดเท่านั้นและถูกเจียระไนอย่างประณีตที่สุด ช่างออกแบบใช้เวลาสามเดือนในการออกแบบเครื่องประดับมากมายจนกว่าเขาจะถูกใจ และสุดท้ายช่างฝีมือต้องใช้เวลาในการเจียระไนสร้อยเส้นนี้อย่างประณีตที่สุด จนกระทั่งมันถูกส่งมาทางเครื่องบินเฉพาะกิจเพื่อส่งให้ถึงมือเขาเมื่อเช้านี้นี่เอง 

 

 

“ชอบคะ” เธอสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ อย่างพยายามสะกดกลั้นความตื่นเต้นเอาไว้ เธอยื่นสร้อยเส้นนั้นให้เขา “ช่วยสวมให้ฉันได้ไหมคะ?” 

 

 

วันนี้เธอสวมชุดกระโปรงสีขาวดุจหิมะที่ทำให้เธอดูสวยอ่อนหวานมาก และสร้อยเส้นนี้ก็เข้ากับชุดที่เธอสวมอย่างพอเหมาะพอเจาะ 

 

 

จิ้นหยวนรับสร้อยมาแล้วเอ่ย “ได้สิ” 

 

 

เธอค่อยๆ หมุนตัวหันหลังให้เขาแล้วใช้มือรวบผมยาวสลวยทั้งหมดขึ้นเล็กน้อย เพื่อที่เขาจะได้สวมสร้อยให้เธอได้อย่างสะดวก 

 

 

รอจนกระทั่งเขาเอ่ยเสียงเบาข้างหูเธอว่า “เสร็จแล้ว” จึงหมุนตัวกลับมาแล้วมองเขาด้วยสายตาเต็มไปด้วยความรู้สึกตื่นเต้น “สวยไหมคะ?” 

 

 

เขาลูบสร้อยบนคอเธอช้าๆ อย่างเบามือ “สวย สร้อยสวยแต่คุณสวยกว่า” เขารู้อยู่แล้วว่าเธอใส่สร้อยเส้นนี้แล้วจะต้องสวยมาก แต่ไม่คิดเลยว่ามันจะดูโดดเด่นมากขนาดนี้ สร้อยเส้นนี้เผยให้เห็นคองามระหงของเธออย่างเต็มที่แต่ไม่บดบังรัศมีเปล่งประกายเฉพาะตัวของเธอ เมื่อรวมกันแล้วทำให้ผลลัพธ์ที่ได้คือความสวยโดดเด่นสะกดสายตาที่ใครเห็นเป็นต้องยากจะลืมเลือน 

 

 

ทันใดนั้น เขารู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่ให้สร้อยเส้นนี้กับเธอ เพราะนั่นเท่ากับว่าจะต้องมีคนเห็นความสวยของเธอเพิ่มขึ้น เขามั่นใจได้เลยว่าต่อไปเขาจะต้องมีศัตรูหัวใจเพิ่มขึ้นอีกมากอย่างแน่นอน 

 

 

เฉียวซือมู่คิดไม่ถึงว่าเพียงชั่ววินาทีเดียวในสมองของเขาจะคิดไปไกลมากขนาดนั้นแล้ว เธอยังคงเอ่ยถามอย่างไม่มั่นใจ “จริงเหรอคะ?” เธอเอ่ยอย่างรู้สึกเสียดายเล็กน้อย “น่าเสียดายจังที่ที่นี่ไม่มีกระจก” 

 

 

เขายิ้มพลางยื่นมือส่งให้เธอ “ง่ายนิดเดียว เราก็กลับไปส่องกระจกที่บ้านสิ” 

 

 

“จริงสิ” เธอลังเลชั่วครู่แล้วส่ายศีรษะอย่างหนักแน่น เธอถอดสร้อยออกแล้วเอ่ยขึ้น “เอาไว้ดูคืนนี้ก็ได้ ช่วงบ่ายฉันยังต้องทำงานอีก” 

 

 

เธอเห็นสีหน้าจิ้นหยวนเข้มขึ้นจึงรีบเอ่ยอย่างออดอ้อนทันที “งานเป็นสิ่งเดียวที่ฉันรัก คุณจะใจแข็งไม่ยอมให้ฉันทำในสิ่งที่รักที่สุดเหรอคะ?” เธอรู้มานานแล้วว่าจิ้นหยวนเป็นคนไม่ชอบไม้แข็งแต่ชอบคนพูดจาอ่อนหวานไพเราะ เธอรู้ว่าถ้าเธอพูดอ้อนเขาส่วนใหญ่แล้วเขาจะยอมใจอ่อนให้กับคำขอของเธอ 

 

 

และเป็นไปตามที่เธอคาด เขาฟังคำพูดของเธอแล้วได้แต่ถอนหายใจเบาๆ “จิ้งจอกน้อยจอมเจ้าเล่ห์” เอ่ยจบแล้วครุ่นคิดเล็กน้อย “คุณรีบหาคนมาให้ครบ ผมไม่อยากเห็นคุณต้องทำงานหนักแบบนี้อีก” 

 

 

“วางใจเถอะค่ะ ตอนนี้กำลังรับสมัครพนักงานใหม่อยู่ อย่างช้าที่สุดวันมะรืนนี้ก็มีคนใหม่มาทำงานแล้วค่ะ” 

 

 

“ถ้าอย่างนั้นก็ดี” 

 

 

จิ้นหยวนเป็นคนพูดจริงทำจริง เขาไปทำงานเป็นเพื่อนเธอจริงๆ ดังที่ลั่นวาจาเอาไว้ เขานั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คของตัวเองไปพร้อมๆ กับเธอ และสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกประหลาดใจมากคือ เขาไม่เพียงมีฝีไม้ลายมือเก่งฉกาจทางด้านธุรกิจเท่านั้น แต่ฝีไม้ลายมือทางด้านอักษรก็ดีใช่ย่อยเหมือนกัน เขายังช่วยเธอแก้ต้นฉบับตั้งหลายบทความ ถ้าเธอไม่ได้เห็นเขาแก้เองกับตา เธอคงคิดว่าตัวเองเป็นคนเขียนเองกับมือเสียอีก 

 

 

“ยังมีอะไรที่คุณทำไม่เป็นอีกหรือเปล่าคะ?” เธอเอ่ยถามอย่างไม่อยากจะเชื่อ