บทที่ 324 อดีตเปรียบดั่งสายลม พัดมาแล้วก็ผ่านไป

อยากง้อเหรอ คุณสามี(เก่า)

การสนทนาระหว่างเทาเท่กับเบลซเป็นไปอย่างราบรื่น โดยเฉพาะตอนที่เทาเท่บอกสถานะที่แท้จริงของไกรภพให้รับรู้แล้ว เบลซก็รู้สึกอึ้ง จากนั้นก็ทรุดตัวลงเก้าอี้กะทันหัน

ทว่าไม่นานเบลซก็ปรับอารมณ์เข้าที่ มองไปยังเทาเท่พร้อมกับพูดว่า“นายอยากรู้อะไร?ฉันจะบอกทุกอย่างที่รู้”

เทาเท่จึงบอกแผนการของเขาให้เบลซรับทราบ จะเป็นฝ่ายโจมตีให้ไกรภพต้านรับอย่างชุลมุนวุ่นวาย

เบลซได้ยินก็หัวเราะเยาะ พร้อมกับกล่าวว่า“มัลลิกาคงไม่เคยเล่าความจริงของตัวเองให้คนในครอบครัวรู้สินะ ดังนั้นไกรภพโกรธแค้นขนาดนี้”

จากนั้นเบลซก็เริ่มเล่าเรื่อง“ฉันกับพ่อเธอรู้จักกันมัลลิกาในบาร์แห่งนี้ ตอนนั้นเธอทำงานอยู่ที่นั่น ถึงแม้จะแต่งหน้าจัด แต่พ่อเธอเห็นแวบแรกก็ชอบแล้ว ให้ค่าทิปเธอมากด้วย”

“ต่อมาพ่อนายก็แอบสืบประวัติเธอ รู้ว่าเธอเป็นเด็กมหาลัยละแวกนั้น เพราะฐานะทางบ้านยากจน จึงใช้ทำงานแบบนี้เพื่อจ่ายค่าเทอม พ่อนายยิ่งรู้สึกสงสารและรักมากขึ้น จึงได้เริ่มจีบเธอ”

“ตอนแรกเธอไม่ยินดี แต่พ่อเธอตามจีบตามตื้อไม่เลิก ประมาณหนึ่งเดือนให้หลัง เธอก็ยอมอยู่กับพ่อนาย”

“พ่อนายหลงจนโงหัวไม่ขึ้นเลย มัลลิกาเป็นคนใสซื่อในบรรดาผู้หญิงที่พ่อนายรู้จัก เธอไม่เพียงแต่สาว สวย แถมยังมีการศึกษา และน่าสงสารกว่าผู้หญิงอื่นด้วย”

“พวกเราทุกคนคิดว่าเธอเป็นสาวน่าสงสารและบริสุทธิ์ดั่งกระดาษขาว พ่อนายถึงขั้นอยากเด็ดดาวบนท้องฟ้ามอบให้เธอด้วยซ้ำ”

เทาเท่ได้ยินอย่างนี้สีหน้าก็หนักอึ้งขึ้นมา เพราะปกติเวลาคนพูดแบบนี้ ประโยคหลังมักจะตรงกันข้ามเสมอ

ดังคาด เห็นเบลซพูดเหยียดยิ้มเย้ยหยันตัวเองพร้อมกับส่ายหัว“ใครจะไปรู้ มีอยู่วันหนึ่ง ฉันไปเป็นวิทยากรด้านการบริหารจัดการทรัพย์สินในมหาลัยพวกเธอ จึงบังเอิญได้ยินเธอคุยกับเพื่อนนักศึกษาหญิงคนหนึ่ง”

“ผู้หญิงคนนั้นน่าจะเป็นเพื่อนสนิทของเธอ ดังนั้นเธอจึงเปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง”

“ตอนแรกฉันได้ยินผู้หญิงคนนั้นพยายามโน้มน้าวเธอให้เลิกกับพ่อของนาย บอกว่าตอนนี้มีข่าวลือระหว่างเพื่อนในรั้วมหาวิทยาลัยว่าเธอเป็นเด็กเสี่ย ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเธอต้องโดนข่าวฉาวรังควานจนไม่มีชิ้นดีแน่”

“สีหน้าและวาจาของมัลลิกาตอนนั้น ฉันไม่อาจลืมไปตลอดชีวิตเลย” เบลซมองไปยังเทาเท่พลันเอ่ยว่า“นายรู้ไหม?ตอนนั้นเธอยังสูบบุหรี่อีกด้วย เธอสูบไปด้วยพูดอย่างไม่สะทกสะท้านปนความดูถูกว่า เธอก็แค่เห็นแก่เงินของพ่อนาย รอให้เธอดูดเงินจากพ่อนายพอแล้ว เธอก็จะถีบหัวส่ง”

“เธอยังพูดว่า เธอไม่ยากใช้ชีวิตลำบากอีกแล้ว อยู่กับพ่อนายก็แค่ใช้ความสวย ไม่ต้องทำงานเหนื่อย มีแต่ได้กับได้แบบนี้ทำไมจะไม่ทำล่ะ?”

เทาเท่ไล่ถามว่า“คำพูดพวกนี้ ท่านได้ยินกับหูตัวเองใช่ไหมครับ?”

“ใช่ร้อยเปอร์เซ็นต์” เบลซไม่มีความจำเป็นต้องกุ่เรื่องขึ้นมาหลอกเทาเท่

เขาพูดต่อไปว่า“น่าสงสารพ่อนายที่ตอนนั้นมีความคิดจะหย่ากับแม่นาย กำลังพยายามหาโอกาสคุยกับแม่นาย”

เทาเท่นิ่งไปชั่วครู่ ไม่รู้ว่าควรเสียใจแทนพ่อหรือดีใจแทนพ่อดี

มัลลิกามีเจตนาแบบนี้เข้าใกล้พ่อของเขา ต่อให้แม่ของเขายอมหย่า พ่อของเขาก็คงไม่อาจอยู่กับมัลลิกาอย่างยั่งยืน

เทาเท่ถามเบลซต่อไปว่า“แล้วท่านบอกพ่อผมไหมครับ?”

“ไม่ได้บอก” เบลซพูดความจริง“เพราะตอนนั้นฉันไม่ชอบที่พ่อนายหลงแบบไม่ลืมหูลืมตา ฉันคิดว่าถ้าพ่อนายโดนมัลลิกาทิ้ง เขาต้องเจ็บปวดเจียมตายแน่ และถ้าฉันได้เห็นภาพนั้นจะรู้สึกสมน้ำหน้าอย่างมีความสุขแน่”

เทาเท่ยิ้มเย็นหนึ่งเสียง คนนี้ก็คือเพื่อนเป็นเพื่อนตายของคุณพ่อ อยากเห็นแต่คุณพ่อเจ็บปวดและอับอาย

เบลซไม่ถือสาที่เทาเท่ดูถูกเขา ยังคงเล่าต่อไปว่า“ตอนแรกฉันคิดว่าพ่อนายจะหย่ากับแม่นายแล้วไปแต่งงานกับมัลลิกาเป็นเพียงอารมณ์ชั่ววูบเท่านั้น แต่ต่อมาฉันเห็นเขาจริงจังกับเรื่องนี้มาก จึงได้บอกในสิ่งที่ฉันได้ยินให้พ่อนาย แต่พ่อนายไม่เชื่อ แล้วยังไม่พอ ยังกล่าวหาว่าฉันเข้าข้างแม่นาย จงใจทำลายความรักของเขากับมัลลิกา”

“ช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ มัลลิกาก็บอกว่าตั้งครรภ์ พ่อนายยิ่งอยากหย่ามากขึ้น ซึ่งเรื่องต่อจากนั้นนายก็รู้ดี พ่อนายโดนปู่นายบังคับให้เลิกกับมัลลิกา มัลลิกาก็เอาเด็กออก ตระกูลฟอเรนาก็ให้เงินก้อนเพื่อชดเชยให้เธอ”

“ซึ่งเงินชดเชยก้อนนั้นเยอะมาก มัลลิกากับครอบครัวสามารถมีชีวิตที่สุขสบายได้เลย”

“ถ้าต่อมาแม่นายไม่ไปโวยวาย……” เบลซพูดถึงตรงนี้ก็ถอนหายใจต่อ“นายรู้จักนิสัยแม่ของตัวเองดี เธอเป็นคนชอบเอาชนะ ทนเห็นคนอื่นขี่หัวไม่ได้ ดังนั้นถึงแม้พ่อนายจะตัดสายสัมพันธ์กับมัลลิกาแต่ก็ไม่ได้เป็นไปด้วยความสมัครใจ แม่นายนึกขึ้นมาทีไรก็โมโหทุกที”

เทาเท่ไม่ส่งเสียง

อันนี้คือนิสัยแม่เขาจริง ๆ ไม่เคยคิดถึงผลประโยชน์ระยะยาวหรือผลลัพธ์ที่จะตามมาเลย สนใจเพียงระบายอารมณ์ของตนตอนนั้นอย่างเดียว

เมื่อดูจากเรื่องนี้ นิสัยของพินอินก็เห็นจะได้แม่มา เพียงแต่พินอินอาการหนักกว่าคุณแม่เขามาก

แต่ทั้งการกระทำและนิสัยของพ่อแม่เขาในอดีตล้วนผ่านพ้นไปแล้ว เขาไม่มีอารมณ์ประเมินค่า

เขาพูดจริงจังขึงขังกับเบลซว่า“ท่านบอกว่ามัลลิกายอมคบกับพ่อผมเพราะต้องการเงิน แค่นี้ก็เพียงพอแล้วครับ”

เบลซถามอย่างระแวงว่า“นายมั่นใจไหมว่าถ้าพูดความจริงแล้วไกรภพจะเชื่อนาย?เพราะตอนนี้มัลลิกาลาจากโลกนี้ไปแล้ว ไกรภพอาจคิดว่านายแต่งเรื่องขึ้นมาก็ได้”

เทาเท่กล่าวเสียงเย็นเยียบ“เขาจะเชื่อหรือไม่ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขา”

เขาจะกว้านซื้อสื่อสารมวลชนทุกแขนงในเมืองเจสเวิร์ดให้รายงานข่าวเรื่องนี้ โดยให้ออกข่าวหลาย ๆ ครั้ง ถึงไกรภพไม่เชื่อ แต่ก็ต้องกระทบอารมณ์ของเขาอย่างรุนแรงแน่

แค่จินตนาการก็รู้ได้แล้ว หากไกรภพลืมตาตื่นขึ้นมาในแต่ละวัน เมื่อเปิดมือถือดูก็ต้องเจอรายงานข่าวว่ามัลลิกาเป็นเมียน้อยเพราะเงิน จนถูกผู้คนรุมด่า ไกรภพไม่บ้าก็ต้องสติแตกแน่

ทว่าเทาเท่ครุ่นคิดดูแล้วจึงถามว่า“ท่านจำได้ไหมครับว่าเพื่อนของมัลลิกาชื่ออะไร?หรือท่านรู้ไหมครับว่าตอนนี้อีกฝ่ายยังอยู่ในเมืองเจสเวิร์ดอีกไหมครับ?”

ลูกน้องที่จอนห์ส่งไป กำลังสืบหาร่องรอยเพื่อนสมัยเรียนของมัลลิกาทีละคน แต่คนส่วนมากหลังเรียนจบก็ไม่ได้อยู่ที่เมืองเจสเวิร์ดอีก จึงยากต่อการเสาะหาข้อมูลยิ่ง

ถ้าสามารถตามหาเพื่อนผู้หญิงที่มัลลิกาบอกความในใจ แล้วเชิญเธอมาเป็นพยานปาก เช่นนั้นต้องมีอัตราแรงจู่โจมสูงและรวดเร็ว ได้ผลลัพธ์ดีเยี่ยมแน่

บางทีไกรภพอาจยังไม่เชื่อ แต่ขอเพียงรบกวนอารมณ์และสมาธิของเขาก็พอ

เบลซกล่าวต่อไปว่า“มีครั้งหนึ่งมัลลิกาเคยพาเพื่อนคนนั้นมากินข้าวกับพวกเรา ฉันจำได้ว่ามัลลิกาเรียกว่าฟางอะไรนี่แหละ แต่ฉันไม่รู้ชื่อนามสกุลจริง ๆ”