ภาคที่ 4 ตอนที่ 125 ปล่อยมือสละทิ้ง

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

ราชโองการของตระกูลฟางเป็นการคงอยู่ที่ประหลาดนัก

 

 

ที่มาไม่ทราบ เนื้อความก็แปลกประหลาด

 

 

ตระกูลฟางไม่ใช่ขุนนางฝ่ายพลเรือนไม่ใช่แม่ทัพทหาร ไม่ใช่พระญาติเชื้อพระวงศ์หรือบรรพบุรุษสร้างความชอบ ราชโองการก็ไม่ได้เขียนว่าเรื่องใดกระทำการใด เพียงประโยคเดียวดุจองค์เองเสด็จ เนื้อความนี่ประหนึ่งสารเหล็กอักษรแดง[1]

 

 

นั่นเป็นถึงดุจองค์เองเสด็จที่อดีตฮ่องเต้พระราชทานให้เชียวนะ หากเวลานี้มือฟางเฉิงอวี่ถือราชโองการ ไม่ต้องพูดถึงพบโอรสสวรรค์ไม่ต้องคุกเข่า แม้ให้ฮ่องเต้ไปทำเรื่องบางอย่าง ฮ่องเต้ก็ไม่อาจปฏิเสธ

 

 

ของเช่นนี้ย่อมทำให้ฮ่องเต้วิตก วิตกจนถึงขั้นต้องออกปากแย่ง

 

 

แน่นอนการแย่งชิงของฮ่องเต้อ้อมค้อมยิ่ง นับราชโองการของอดีตฮ่องเต้เป็นลายพระหัตถ์ล้ำค่า เช่นนี้จึงอ้างชื่อความกตัญญูเป็นห่วง แล้วพระราชทานลายพระหัตถ์ล้ำค่าของฮ่องเต้อีกอันหนึ่งให้ ย่อมสมเหตุสมผลเปี่ยมเมตตาทรงคุณธรรมจริงๆ

 

 

ดูซิเจ้าจะเลือกอย่างไร จะสำนึกในพระกรุณาธิคุณหรือไม่รู้จักความหวังดีไร้เมตตาไร้คุณธรรม

 

 

วาจาของฮ่องเต้เพิ่งจบ ฟางเฉิงอวี่พลันคุกเข่าลงดังตึก

 

 

“ผู้น้อยได้รับอักษรพระราชทานสองครั้งจากอดีตฮ่องแต้และฝ่าบาทได้ เป็นบุญของสามชาติโดยแท้” เขาเอ่ย พลางเอาม้วนสารเล่มหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ ทูนขึ้นสูง “ลาภยศครานี้หนักเกินไป ผู้น้อยขอให้ฝ่าบาทรับลายพระหัตถ์ล้ำค่าของอดีตฮ่องเต้กลับคืนด้วย”

 

 

ฮ่องเต้ประหลาดใจเล็กน้อย คุณหนูจวินก็ประหลาดใจอยู่บ้างเช่นกัน

 

 

หลังฟางเฉิงอวี่เข้าเมืองหลวง คุณหนูจวินก็มอบราชโองการให้เขาแล้ว ฟางเฉิงอวี่ก็ไม่ได้เกรงใจรับไป คิดไม่ถึงว่าเขาถึงกับพกเข้าวังมาด้วย

 

 

นอกจากนี้ยังถวายไปอย่างเด็ดขาดฉับไวเช่นนี้

 

 

ตอนนี้ไม่ว่าเขาไม่มีทางเลือกก็ดีหรือรู้สถานการณ์ก็ดี เอากลับมาก่อนค่อยว่ากัน

 

 

ฮ่องเต้สีพระพักตร์วิตกอยู่บ้าง

 

 

“นี่ นี่ไม่ดีกระมัง” พระองค์รีบลุกขึ้น อย่างไรที่เผชิญหน้าอยู่ก็คือราชโองการของอดีตฮ่องเต้ “นี่เป็นของที่อดีตฮ่องเต้พระราชทานให้พวกเจ้า ข้าจะเก็บกลับคืนได้อย่างไร?”

 

 

ฟางเฉิงอวี่มองฮ่องเต้ สีหน้าจริงใจ

 

 

“ฝ่าบาท ข้าอายุน้อยไม่ค่อยเข้าใจหลักคุณธรรมยิ่งใหญ่อันใด ท่านย่ามักบอกพวกเราว่าเป็นคนไม่อาจละโมบเกินไป” เขาเอ่ยด้วยท่าทางกระวนกระวายอยู่บ้าง “อดีตฮ่องเต้พระราชทานราชโองการแก่ตระกูลของพวกเรา เป็นรางวัลสำหรับพวกเรารวมถึงเพื่อให้ตระกูลของเรามีชีวิตที่ดี ตอนนี้ฝ่าบาทพระราชทานรางวัลแก่พวกเราด้วย ต้องการให้ตระกูลของพวกเรามีชีวิตที่ดีเช่นกัน ข้าคิดว่าต้องการอันเดียวก็เพียงพอแล้ว”

 

 

เป็นคำพูดของเด็กน้อยจริงๆ ฮ่องเต้สรวลแล้ว แต่คำพูดของเด็กถึงเป็นความจริง

 

 

เป็นคนไม่อาจละโมบเกินไปได้จริงๆ

 

 

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้” ฮ่องเต้ทรงถอนพระปัสสาสะตรัส “ถ้าเช่นนั้นข้าจะรับลายพระหัตถ์ล้ำค่าของอดีตฮ่องเต้กลับมาดูแลรักษา”

 

 

ฟางเฉิงอวี่ค้อมกายโขกศีรษะ

 

 

“ขอบพระทัยฝ่าบาท” เขาเอ่ยอย่างซาบซึ้ง ม้วนสารในมือทูนขึ้นสูง

 

 

คุณหนูจวินก็ค้อมกายคุกเข่าตามด้วย ปลายหางตามองขันทีรับราชโองการในมือฟางเฉิงอวี่ไป

 

 

ของที่ทำให้คนตะลึงยินดีและหวาดกลัวชิ้นนี้ก็จากตระกูลฟางไปตรงนี้แล้ว การมาของมันไม่รู้ว่าเป็นลาภหรือเป็นเคราะห์ การจากไปของมันก็ไม่รู้ว่าเป็นลาภหรือเป็นเคราะห์เช่นกัน

 

 

ทว่าลาภเคราะห์แต่ไหนแต่ไรล้วนเคียงคู่กัน ในเมื่อมาแล้วก็ปรับตัวตามเถิด คุณหนูจวินหลุบตา

 

 

“ขอบพระทัยฝ่าบาท” นางโขกศีรษะเอ่ย

 

 

……………………………………….

 

 

“ทำไมเจ้าพกราชโองการมาด้วยได้?”

 

 

เมื่อออกจากตำหนักของฮ่องเต้ เดินออกจากพระราชวัง ขันทีที่มาส่งหลังร่างจากไปแล้ว คุณหนูจวินถึงเอ่ยถามเสียงเบา

 

 

“คาดเดาล่วงหน้าถึงเรื่องนี้หรือ?”

 

 

ฟางเฉิงอวี่เขยิบเข้ามาใกล้นางอีก

 

 

“ไม่ใช่” เขาเอ่ยเสียงเบา “เขาเพียงคิดระวังเผื่อไว้”

 

 

คุณหนูจวินเกือบหลุดหัวเราะ

 

 

ที่แท้ไม่ใช่ซาบซึ้งเคารพฮ่องเต้มากมายอะไร แต่ระวังไว้สินะ

 

 

คำนี้ไม่เคารพอย่างมากแล้ว

 

 

คุณหนูจวินมองฟางเฉิงอวี่

 

 

ออกจากหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้แล้ว สีหน้าของเด็กหนุ่มก็ยังคงสงสัยใคร่รู้อยู่บ้างรวมถึงเกร็งเล็กน้อยเหมือนเดิม

 

 

แต่มองทะลุดวงตาใสกระจ่างนั่นของเขา คุณหนูจวินรู้เขาไม่มีความตื่นเต้นประหม่าสักนิด มาถึงเบื้องหน้าเจ้าแผ่นดินผู้สูงศักดิ์ที่นี่กลับไม่มีความตื่นเต้นประหม่าย่อมหมายความว่าไร้ความเคารพยำเกรง

 

 

เพราะตั้งแต่เล็กเขาใช้ชีวิตตัดขาดจากโลกจึงไม่รู้จักเคารพยำเกรง หรือเพราะสิ่งอื่นอันใด?

 

 

ฟางเฉิงอวี่รู้สึกถึงสายตาของนาง ยิ้มให้นางทีหนึ่ง

 

 

“จิ่วหลิง ข้าเป็นคนที่ตายมาแล้วครั้งหนึ่ง” เขาเอ่ย “ตายมาครั้งหนึ่งแล้ว รู้ว่าความตายน่ากลัวเพียงไร ฉะนั้นย่อมไม่มีสิ่งใดน่ากลัวอีกแล้ว”

 

 

ก็ใช่ แม้อายุยังน้อย แต่ความทุกข์ที่ได้รับมามากกว่าคนที่ใช้ชีวิตมานานมากยิ่งนัก ไม่ว่าด้านร่างกายหรือในด้านจิตใจ

 

 

คุณหนูจวินยื่นมือตบแขนเขาเบาๆ

 

 

“ที่จริงเจ้าไม่เอาออกมาก็เป็นไร” นางครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “เจ้าตัดใจได้เช่นนี้เชียว?”

 

 

ฟางเฉิงอวี่คล้ายประหม่าอยู่บ้าง

 

 

“ข้าก็ไม่ค่อยเข้าใจ ราชโองการนี่ก็คือบัญชาของฮ่องเต้สินะ” เขาเอ่ยเสียงเบา “ฮ่องเต้มีใจจะพระราชทานให้ถึงมีบัญชานี้ หากฮ่องเต้มีใจจะเก็บกลับคืน ถ้าเช่นนั้นก็ย่อมสูญความหมายของมันไปแล้ว”

 

 

เขามองคุณหนูจวิน

 

 

“ของที่ไม่มีความหมาย เก็บไว้ไม่คืน ไม่ใช่ลาภ แต่เป็นภัยร้าย”

 

 

คุณหนูจวินยิ้ม

 

 

“เจ้านี่ไม่ใช่ไม่เข้าใจ” นางเอ่ย “เจ้าเข้าใจมากเกินไปแล้ว”

 

 

เพราะได้รับคำชมของนาง บนหน้าฟางเฉิงอวี่จึงแย้มรอยยิ้ม

 

 

“ตระกูลฟางมีบุตรเช่นนี้อย่างเจ้า ช่างเป็นบุญจริงๆ” คุณหนูจวินถอนหายใจเอ่ยอีกหน

 

 

ฟางเฉิงอวี่ส่ายศีรษะ

 

 

“น่าจะเป็นตระกูลฟางมีจิ่วหลิงถึงเป็นบุญโดยแท้” เขาเอ่ยอย่างจริงจัง “ไม่มีเจ้า ไหนเลยจะมีข้า?”

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่า

 

 

“ผู้อื่นช่วยเหลือเพียงเพลาเดียว คนเป็นคนอย่างไรล้วนขึ้นอยู่กับตนเอง” นางเอ่ยพลางตบเบาๆ บนศีรษะของฟางเฉิงอวี่ “ไม่ต้องเอ่ยคำหวานฉอเลาะแล้ว ที่เจ้าเป็นเจ้า ก็เพราะเจ้าไม่ใช่เพราะผู้อื่น”

 

 

ฟางเฉิงอวี่หัวเราะคิกคักพยักหน้า

 

 

“ได้สิ จิ่วหลิงพูดถูกต้อง” เขาเอ่ย

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะอีกครั้ง ฉับพลันรู้สึกว่ามีสายตาคู่หนึ่งมองมา รอยยิ้มของนางชะงัก พร้อมกันนั้นในสายตาก็ปรากฏเงาร่างสีแดงร่างหนึ่ง

 

 

นอกพระราชวัง องครักษ์กับองครักษ์เสื้อแพรยืนนิ่ง ลู่อวิ๋นฉีอยู่เบื้องหลังร่างพวกเขาไม่กลืนหายไป แต่ยังคงสะดุดตาเป็นพิเศษ

 

 

ทั้งสองสบสายตากัน แม้ลู่อวิ๋นฉียังคงสีหน้าไร้ความรู้สึก แต่แววตากลับลึกล้ำเป็นพิเศษ

 

 

นี่ไม่ใช่สอดส่อง แต่เป็นจับจ้อง

 

 

 สอดส่องก็ดี จับจ้องก็ดี นางมีสิ่งใดต้องหวาดกลัว? คุณหนูจวินมองเขาไม่หลบ

 

 

ทว่ามีคนก้าวตัดมายืนกั้นสายตาของทั้งสองคน

 

 

“มองอะไร!” จูจั้นมองลู่อวิ๋นฉีเอ่ยเสียงเข้ม

 

 

สายตาของลู่อวิ๋นฉีมองเขา

 

 

“ตอนนี้ ยังมองไม่ได้หรือ?” เขาเอ่ยขึ้นมา

 

 

ตอนนี้? ตอนนี้คุณหนูจวินไม่ใช่ภรรยาของบุตรชายเฉิงกั๋วกงแล้ว

 

 

จูจั้นทราบความหมายของเขา

 

 

“ไม่ได้” เขายังคงตอบ

 

 

“เหตุผลเล่า?” ลู่อวิ๋นฉีถาม

 

 

“ข้าไม่ให้เจ้ามอง” จูจั้นมองเขาพลางยิ้มเล็กน้อยเอ่ยขึ้น “เหตุผลนี่ได้ไหม?”

 

 

ลู่อวิ๋นฉีพยักหน้า

 

 

“ได้” เขาเอ่ยนิ่งๆ “ตามใจท่านชาย”

 

 

ผู้อื่นรักจะคิดอย่างไรก็คิดอย่างนั้น เกี่ยวข้องอันใดกับเขาลู่อวิ๋นฉี คนที่ไม่อยากให้เขายึดทรัพย์ทำลายตระกูลมากไป แล้วอย่างไร?

 

 

จูจั้นมองเขา สองคนไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน

 

 

“จูจั้น” คุณหนูจวินเอ่ยเรียก

 

 

ตอนนี้จูจั้นถึงหันหน้ามองมา

 

 

“ไปเถอะ” คุณหนูจวินส่ายศีรษะนิดหนึ่งเอ่ยกับเขา

 

 

“พวกเจ้าไปก่อนเถอะ” จูจั้นไพล่มือยืนไม่ขยับเอ่ยบอก “คนที่มารับพวกเจ้าล้วนอยู่ข้างนอกแล้ว”

 

 

คุณหนูจวินมองไปทางสุดปลายถนนเสด็จพระราชดำเนิน ด้านนั้นศีรษะผู้คนอออยู่ มีคนมองเห็นนางแล้ว เสียงร้องตะโกนดังขึ้นทันที

 

 

“คุณหนูจวินออกมาแล้ว!”

 

 

พร้อมกับเสียงตะโกนนี้ บนถนนเสด็จพระราชดำเนินก็อึกทึกขึ้นมา แล้วยังมีฆ้องกลองโหมประโคม

 

 

คุณหนูจวินยิ้มพยักหน้าให้จูจั้น ไม่พูดอีก มุ่งไปหาความครึกครื้นกับฟางเฉิงอวี่ พวกผู้ดูแลใหญ่หลิ่ว ท่านหมอเฒ่าเฝิงพาคนมารับแล้ว คลี่ม้วนสารที่ประคองอยู่ในมือฟางเฉิงอวี่ออก แขวนผ้าแดงผ้าสี ประดับไว้บนเกี้ยวงดงามแบกไปข้างหน้า

 

 

“ฝ่าบาทพระกรุณาธิคุณเป็นล้นพ้น!”

 

 

“ฝ่าบาททรงพระปรีชา!”

 

 

……………………………………….

 

 

……………………………………….

 

 

เสียงอึกทึกด้านนอกฮ่องเต้ที่ประทับอยู่ในพระราชวังไม่ได้ยินแล้วก็ไม่สนใจ

 

 

เขามองราชโองการที่วางอยู่ตรงหน้าแล้วพรูลมหายใจยาว

 

 

“ในที่สุดก็เอากลับมาแล้ว” พระองค์ตรัส มือลูบม้วนกระดาษสีเหลือง สีหน้าโล่งอกอย่างยิ่ง แล้วยังมีความเบิกบานอยู่บ้างด้วย “เอาสิ่งเหล่านั้นกลับมาด้วย ตระกูลฟางก็ไม่ต้องมีอยู่แล้ว”

 

 

พระองค์เงยพระพักตร์ขึ้นมองไปในตำหนัก

 

 

“หยวนเป่า”

 

 

ได้ยินเสียงเรียก ขันทีหยวนเป่าที่ซ่อนอยู่ในเงามืดในตำหนักออกมาทันที

 

 

“เจ้าไปเถอะ” ฮ่องเต้ตรัส

 

 

หยวนเป่าก้มศีรษะขานรับ

 

 

…………………