ภาคที่ 4 ตอนที่ 126 พ่อค้าคนหนึ่งมา

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

เต๋อเซิ่งชางกับโรงหมอจิ่วหลิงขอบพระทัยพระกรุณาอย่างครึกครื้นอยู่สามวันเต็มๆ

 

 

วิธีระบายความสุขของเต๋อเซิ่งชางเหมือนพ่อค้าทั้งหมดคือการจัดเลี้ยงอาหารโต๊ะยาว โปรยเงินให้ขอทาน เล่นละครที่ศาลเทพเจ้ากวนอู

 

 

โรงหมอจิ่วหลิงที่นี่ฟางจิ่นซิ่วตัดสินใจแจกยา เพราะความร้อนของฤดูร้อนกำลังร้อนจัด จึงตั้งใจให้คุณหนูจวินปรุงน้ำแกงยาขับร้อนขจัดเคราะห์แจกจ่าย

 

 

ยาของคุณหนูจวินพันตำลึงทองก็ซื้อไม่ได้ ทั้งเมืองหลวงล้วนคึกคักเพราะเรื่องนี้ คนจากต่างถิ่นไม่น้อยได้ข่าวก็เร่งเดินทางมาด้วย

 

 

นี่ทำให้เรื่องที่แดนเหนือของคุณหนูจวินยิ่งแพร่กระจายเช่นกัน

 

 

“ตอนนั้นอยู่ที่เดนเหนือ คุณหนูจวินก็แจกข้าวต้มเช่นนี้”

 

 

“ที่แท้คุณหนูจวินอยู่ที่แดนเหนือเคยทำเรื่องมากมายเช่นนี้เชียวรึ?”

 

 

“ใช่แล้ว คิดไม่ถึงจริงๆ”

 

 

“คิดไม่ถึงอย่างไร? คุณหนูจวินคนประหนึ่งพระโพธิสัตว์ เห็นประชาชนแดนเหนือทุกข์ยากจะไม่สนได้อย่างไร”

 

 

“เฮ้ย เจ้าพูดผิดแล้ว ตอนนี้ไม่อาจเรียกคุณหนูจวินได้แล้ว ต้องเรียกองค์หญิงซานหยาง”

 

 

“เสี้ยนจู่ไม่น่าฟัง หากเรียกจวิ้นจู่ กงจู่ยังพอเข้าที”

 

 

“คุณหนูจวินค่อยเอามาอีกอันสิ จะยากอะไร”

 

 

บนถนนคุยเล่นหัวเราะกันคึกคักครึกครื้น ส่วนในโรงหมอจิ่วหลิงเงียบสงบดุจเดิม ถึงขั้นหนักอึ้งอยู่บ้าง

 

 

“วันนั้นก็เดินทางไปแล้ว” ฟางเฉิงอวี่เอ่ยบอก “เมื่อวานพักผ่อนที่โรงเตี๊ยม แลกเงินใช้”

 

 

ที่เขาพูดถึงย่อมคือหยวนเป่า

 

 

ตั้งแต่รู้ว่าเหยวนเป่ารั้งอยูในพระราชวัง เต๋อเซิ่งชางด้านนี้ก็ส่งคนจับตาไว้แล้ว ดังนั้นคืนนั้นที่ฟางเฉิงอวี่กับคุณหนูจวินได้รับแต่งตั้งจึงพบว่าหยวนเป่าออกจากเมืองหลวงไปแล้ว

 

 

“ให้ผลประโยชน์ย่อมเพื่อเอาสิ่งใดไป” คุณหนูจวินเอ่ย “ราชโองการเอาไปแล้ว ถ้าเช่นนั้นที่เหลืออยู่ก็คือ…”

 

 

นางมองไปทางฟางเฉิงอวี่

 

 

ฟางเฉิงอวี่พยักหน้า

 

 

“ความลับของท่านย่า” เขาเอ่ย พูดจบก็ยิ้ม “ดังนั้นก่อนมาข้าจึงบอกแล้วว่าในครอบครัวของเราคนที่เป็นอันตรายที่สุดไม่ใช่ข้า เป็นท่านย่า”

 

 

“กำลังคนในบ้านเป็นอย่างไร?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม

 

 

ฟางเฉิงอวี่เห็นความกังวลบนใบหน้าของนางจึงรีบยิ้มพยักหน้า

 

 

“ครั้งนี้พวกเราอยู่ในที่ลับ พวกเขาอยู่ในที่แจ้ง ไม่มีทางเหมือนก่อนหน้านี้เช่นนั้นอีกแล้ว” เขาเอ่ย ดวงตาวิบวับคล้ายตื่นเต้น “รอแค่พวกเขาลงมือ”

 

 

“ข้ากลับไปด้วยกันกับเจ้าดีกว่านะ” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น

 

 

ฟางเฉิงอวี่รีบส่ายศีรษะ

 

 

“เมืองหลวงขาดคนไม่ได้” เขาเอ่ย “ในเมื่อรู้แล้วว่ารากอยู่ที่เมืองหลวง”

 

 

เขาเอ่ยพลางยื่นมือชี้ทิศทางของวังหลวง

 

 

“จิ่วหลิง เจ้าย่อมจากไปไม่ได้”

 

 

คุณหนูจวินมองไปยังทิศทางของวังหลวง ในใจรสชาติหลากหลาย ฉีอ๋องคนนี้ ที่แท้ทำเรื่องอะไรลงไป?

 

 

“ของป้องกันตัว ข้าล้วนตระเตรียมให้เจ้าเรียบร้อยแล้ว” นางมองไปหาฟางเฉิงอวี่ “เดินทางโดยสวัสดิภาพ”

 

 

ฟางเฉิงอวี่ยิ้มพยักหน้า ลุกขึ้นแล้วก็หยุด ยื่นมือกอดคุณหนูจวินไว้

 

 

“ไม่อยากไปจากจิ่วหลิงจริงๆ” เสียงเขาน้อยอกน้อยใจทั้งยังอาลัยอาวรณ์

 

 

คุณหนูจวินยิ้มแล้ว

 

 

“จะเป็นการจากลาได้อย่างไรเล่า ข้าอยู่ตลอด” นางเอ่ยพลางตบแผ่นหลังของฟางเฉิงอวี่เบาๆ

 

 

เด็กคนนี้วันนี้สูงกว่านางแล้ว เวลาผ่านไปไวจริงๆ

 

 

อย่างไรก็ไม่เหมือนกัน ตัวอย่างเช่นอยู่ตลอดแต่ไม่อาจกอดเช่นนี้ได้

 

 

ฟางเฉิงอวี่ไม่ได้พูดอะไร เพียงกอดไม่ปล่อย

 

 

นอกประตูเสียงไอหนักๆ ดังมา

 

 

“รถม้าเตรียมพร้อมแล้ว” จูจั้นเอ่ยพลางถลึงตามองฟางเฉิงอวี่

 

 

คุณหนูจวินยิ้มตบแผ่นหลังของฟางเฉิงอวี่เบาๆ อีกครั้ง

 

 

ฟางเฉิงอวี่กลับยังคงไม่ปล่อยเหมือนเดิม

 

 

“ไม่อยากไป ไม่อยากไป” เขาเอ่ยบอก

 

 

แกล้งเป็นเด็กอะไร หน้าไม่อายจริงๆ จูจั้นเอ่ยด่าในใจ

 

 

“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องไป” คุณหนูจวินยิ้มบอก

 

 

ฟางเฉิงอวี่ตอนนี้ถึงปล่อยมือออกอย่างอาลัยอาวรณ์

 

 

“ถ้าอย่างนั้นข้าไม่ไปจริงๆ นะ” เขาเอ่ย

 

 

จูจั้นกลอกตา

 

 

“ถ้าเช่นนั้นข้าไปยกเลิกทหารกับม้า” เขาบอก

 

 

คนย่อมไม่ได้ไม่ไปจริงๆ รถม้าก็ไม่มีทางยกเลิกเช่นกัน ยามท้องฟ้าสว่างขมุกขมัว ขบวนรถของฟางเฉิงอวี่ก็หายลับไปจากถนนใหญ่

 

 

คุณหนูจวินยืนอยู่ริมหน้าต่างบนหอสูงไม่ขยับอยู่เนิ่นนาน

 

 

“เจ้าก็อย่าเป็นห่วงเกินไปเลย” เสียงของจูจั้นเอ่ยขึ้นเบื้องหลัง “ในเมื่อเรื่องราวเป็นเช่นนี้ อย่างไรก็ต้องไปทำ”

 

 

คุณหนูจวินถอนหายใจแผ่วเบาคำหนึ่ง

 

 

“ไม่ได้เป็นห่วง” นางพูดพลางหมุนตัว “แค่รู้สึกว่าค่อนข้างไม่ง่าย”

 

 

“คนมีชีวิตอยู่เดิมทีก็ไม่ง่าย” จูจั้นเอ่ยขึ้น “ใครๆ ล้วนเหมือนกัน”

 

 

คุณหนูจวินเอียงศีรษะเล็กน้อยครุ่นคิด

 

 

“ก็ถูก คนที่ต้องการทำร้ายคนเหล่านั้น ครั้งแล้วครั้งเล่าทำไม่สำเร็จก็ค่อนข้างไม่ง่ายเหมือนกัน” นางเอ่ยขึ้นมา

 

 

วาจาอันใด! จูจั้นทนแล้วทนอีก

 

 

“ดูท่าทางทำเป็นเล่นนี่ของเจ้าสิ” ในที่สุดเขาก็อดกลั้นจนอดไม่ได้เอ่ยขึ้น

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่า ไพล่มือหลังร่างส่ายอาดๆ จากไป

 

 

จูจั้นอยู่ข้างหลังฉีกปากยิ้มแล้วรีบกลั้นไว้ ส่ายอาดๆ ตามไปเบื้องหลังด้วย

 

 

……………………………………….

 

 

……………………………………….

 

 

ยามราตรีมาเยือน โคมไฟในเรือนของนายหญิงผู้เฒ่าฟางสว่าง สาวใช้หญิงรับใช้ทั้งหลายยืนนิ่งอยู่ในเรือน

 

 

นางหยวนก้าวเข้ามาในห้อง ชะเง้อมองไปข้างนอกอย่างระมัดระวังอีกหน

 

 

“เจ้าทำอะไร?” นายหญิงใหญ่ฟางเอ่ยขึ้นอยู่ข้างใน

 

 

หยวนซื่อตกใจอยู่บ้างรีบหมุนตัวมา

 

 

“ไม่มีอันใดเจ้าค่ะ” นางตอบ

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางถลึงตาใส่นางทีหนึ่ง

 

 

“หากที่นี่ก็ระวังเช่นนี้ไปด้วย ถ้าเช่นนั้นช้าเร็วพวกเราคงตายก่อน ไม่ต้องให้ผู้อื่นลงมือ” นางเอ่ยขึ้น

 

 

หยวนซื่อกระอักกระอ่วน

 

 

จดหมายจากเมืองหลวงส่งมาแล้ว ฟางเฉิงอวี่เตือนว่านายหญิงผู้เฒ่าฟางอาจมีอันตราย เรื่องที่ตอนนั้นท่านปู่กับท่านพ่อถูกทำร้ายอาจเกิดขึ้นอีกครั้ง ตระกูลฟางหลายวันนี้จึงเริ่มระวัง

 

 

ความจริงตั้งแต่เริ่มจัดการผู้ดูแลใหญ่ซ่งตระกูลฟางก็ระวังมากมาตลอด

 

 

จนกระทั่งถึงวันนี้หากยังมีคนแทรกซึมเข้ามาในเรือนของนายหญิงผู้เฒ่าฟางได้อีก นั่นก็น่าขำเกินไปแล้วจริงๆ

 

 

“ข้าก็แค่กังวลเล็กน้อย” นางเอ่ยบอก

 

 

“กังวลอะไร” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเดินอกมาจากข้างใน ส่ายศีรษะเอ่ยขึ้น “พวกเขาคิดมากไปแล้ว”

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางสีหน้าเคร่งขรึมก้าวเข้ามาประคองนาง

 

 

“ท่านแม่ นี่ไม่อาจไม่คิดมากได้นะเจ้าคะ” นางเอ่ยเสียงเบา “ฮ่องเต้เก็บราชโองการของตระกูลเรากลับคืนไปแล้ว”

 

 

“เฉิงอวี่พูดถูกต้อง ราชโองการอันนั้นอยู่ในมือพวกเราขัดตาเกินไปจริงๆ ไม่ใช่ลาภแต่เป็นเคราะห์” นายหญิงผู้เฒ่าฟางเอ่ยอย่างไม่ใสใจอยู่บ้าง

 

 

“อีกอย่าง พวกเขาพูด เรื่องขันทีคนหนึ่ง” นายหญิงใหญ่ฟางไตร่ตรองแล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

 

 

อย่างไรเรื่องที่หยวนเป่าทำ คุณหนูจวินกับฟางเฉิงอวี่ล้วนไม่รู้ รู้เพียงเรื่องผู้ดูแลใหญ่ซ่งครั้งนั้นที่เขาเคยปรากฏตัว ทั้งยังปลอมตัว ได้แต่คาดเดาเอ่ยเตือน

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางหัวเราะแล้ว

 

 

“เรื่องนี้ก็ไม่ต้องกังวล” นางเอ่ยบอก

 

 

ตั้งแต่ได้รับจดหมายของเฉิงอวี่ พวกนางล้วนกังวลยิ่ง แต่นายหญิงผู้เฒ่าฟางกลับคล้ายไม่สนใจเช่นนั้น เหมือนคิดอะไรอยู่แล้วก็เหมือนเหม่อลอย

 

 

นี่ก็คงเกี่ยวข้องกับความลับที่มีนางเพียงคนเดียวที่รู้เรื่องนั่นกระมัง

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางถอนหายใจในใจ

 

 

หวังเพียงครั้งนี้คุณหนูจวินกับเฉิงอวี่จะเห็นเงาคันศรในแก้วเป็นงู

 

 

ค่ำคืนยาวนานนักแล้วก็สั้นนัก หนึ่งวันผ่านไปอีกหน นายหญิงใหญ่ฟางมองพวกฟางอวิ๋นซิ่วพี่น้องแจ้งบัญชีไปพลาง คำนวณว่าฟางเฉิงอวี่เดินทางไปถึงที่ไหนไปพลาง

 

 

“นายหญิงผู้เฒ่า ผู้ดูแลใหญ่เกามาเจ้าค่ะ” นางหยวนเข้ามาเอ่ยขึ้น สีหน้ากังวล “บอกว่ามีแขกต้องการพบนายหญิงผู้เฒ่า”

 

 

เวลานี้พบแขก?

 

 

เป็นสหายมาจากแดนไกลหรือผู้มาที่ไม่หวังดี?

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางไม่พบแขกมานานแล้ว นับประสาอะไรยิ่งเป็นตอนนี้

 

 

“นายหญิงผู้เฒ่าบอกว่าจะพบ” นางหยวนเอ่ยอยางเคร่งเครียดวิตก “เตรียมออกจากบ้านไปร้านแลกเงินแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

ถึงกับยังจะออกไปข้างนอก

 

 

นี่เป็นแขกสำคัญคนใด?

 

 

“ข้าจะไปดูสักหน่อย” นายหญิงใหญ่ฟางรีบเอ่ย

 

 

ฟางอวิ๋นซิ่วมองนายหญิงใหญ่ฟางกับนางหยวนเคร่งเครียดเดินออกไป จากนั้นมองไปทางฟางอวี้ซิ่วอย่างเคร่งเครียดอยู่บ้างด้วย

 

 

“ในบ้าน เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า?” นางเอ่ยถาม

 

 

ฟางอวี้ซิ่งพลิกสมุดบัญชี

 

 

“ในบ้าน ไม่ใช่มีเรื่องอยู่ตลอดหรือ?” นางศีรษะก็ไม่เงยขึ้นเอ่ย

 

 

ฟางอวิ๋นซิ่วหลุดหัวเราะส่ายศีรษะ

 

 

เอาเถอะ เป็นเช่นนี้จริงๆ นางก้มศีรษะอ่านสมุดบัญชีต่อเช่นกัน

 

 

……………………………………….

 

 

……………………………………….

 

 

“ท่านแม่ มีใครมาก็มาพบที่บ้านเถอะเจ้าค่ะ” นายหญิงใหญ่ฟางนั่งอยู่บนรถก็ยังคงเอ่ยกล่อม “ร้านแลกเงินคนมากไม่ปลอดภัย”

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางหัวเราะแล้ว

 

 

“ก็เพราะคนมากถึงปลอดภัย” นางว่า “เขามาพบข้าที่ร้านแลกเงิน ไม่ใช่สถานที่อื่นถึงจะถูกต้อง

 

 

เขา

 

 

นายหญิงใหญ่ฟางขมดวคิ้ว

 

 

“ท่านแม่ เขาคนนี้คือใครเจ้าคะ?” นางเอ่ยถาม

 

 

“พ่อค้าคนหนึ่ง” นางเอ่ย ในมือที่วางอยู่บนหัวเข่ากำหยกสลักรูปผีซิว[1]ตัวเล็กๆ ชิ้นหนึ่งไว้

 

 

นี่เป็นสิ่งที่พ่อค้าคนนั้นฝากผู้ดูแลใหญ่เกาส่งมาเมื่อครู่

 

 

หยกสลักชิ้นนี้ นางก็มีชิ้นหนึ่งเช่นกัน ครั้งนั้นรับมาจากมือสามีด้วยกันกับราชโองการ

 

 

……………………………………….

 

 

ตอนที่นายหญิงผู้เฒ่าฟางนั่งไปยังร้านแลกเงิน ฟางเฉิงอวี่ยังคงอยู่ระหว่างทาง

 

 

เขาปฏิเสธการต้อนรับจากจวนขุนนางระหว่างทาง ตั้งใจจะนำลายพระหัตถ์ล้ำค่าที่ฮ่องเต้พระราชทานส่งไปถึงหน้าหิ้งบรรพบุรุษให้เร็วที่สุด นี่ก็เป็นสาเหตุที่สมเหตุสมผล ขุนนางทั้งหลายไม่อาจขวาง

 

 

ฟางเฉิงอวี่เดินทางทั้งวันทั้งคืน ในเวลาเดียวกันข่าวของหยางเฉิงก็ไม่ขาด

 

 

หยวนเป่ายังคงเก็บซ่อนร่องรอย ไม่ได้ปรากฏตัวที่หยางเฉิง

 

 

ตระกูลฟางสงบเงียบ ไม่มีการลอบฆ่าลอบสังหาร กระทั่งขโมยเล็กขโมยน้อยลูบคลำแตะต้องสักครั้งก็ไม่มี

 

 

แต่ไม่มีข่าวก็คือข่าวดีไหม?

 

 

ฟางเฉิงอวี่วางสารมากมายในมือลง

 

 

คิดผิดแล้วหรือไม่?

 

 

ไม่ได้ต้องการสังหารนายหญิงผู้เฒ่าฟางให้ความลับกลายเป็นความลับ?

 

 

ถ้าเช่นนั้นยังมีสิ่งใด?

 

 

ฟางเฉิงอวี่ขมวดคิ้วแน่น

 

 

หรือว่าจะเป็น ตัวความลับเอง?

 

 

……………………………………….

 

 

“นายหญิงผู้เฒ่า ด้านนี้ขอรับ” ผู้ดูแลเกานำทางอย่างนอบน้อม ชี้ห้องรับแขกห้องหนึ่งของเต๋อเซิ่งชาง

 

 

นี่คือห้องที่ธรรมดายิ่งของเต๋อเซิ่งชาง คนค้าขายทั้งหมดที่มาล้วนจะต้อนรับที่นี่

 

 

แม้เป็นพ่อค้าคนนี้ แม้นายหญิงผู้เฒ่าฟางมาพบด้วยตนเอง การต้อนรับอื่นๆ ก็ไม่มีสิ่งใดพิเศษ

 

 

“ท่านแม่ ข้าเข้าไปเป็นเพื่อนท่านนะเจ้าคะ” นายหญิงใหญ่ฟางเอ่ยอีกครั้ง

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางยกมือห้ามไว้ นายหญิงใหญ่ฟางไม่กล้าขัด ได้แต่มองนายหญิงผู้เฒ่าฟางเดินเข้าไปเอง

 

 

ประตูถูกดึงเปิดแล้วปิดลง ในห้องคนที่นั่งอยู่ได้ยินพลันเงยศีรษะขึ้น

 

 

นี่คือชายวัยกลางคนหน้าตาเป็นมิตรอ้วนตุ๊ต๊ะคนหนึ่ง เหมือนพ่อค้าทั้งหลาย สวมชุดผ้าไหม ยังไม่พูดก็ยิ้มก่อน

 

 

“นายหญิงผู้เฒ่าฟาง” เขาลุกขึ้นประสานมือคำนับ “นับถือมานาน นับถือมานาน”

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางมองเขาด้วยสีหน้าหลากหลายอารมณ์อยู่บ้าง

 

 

“ทำการค้ากันมานานเช่นนี้เพิ่งพบหน้ากันครั้งแรก ” นางคำนับแล้วเอ่ยขึ้น เงยศีรษะอีกหนลังเลอยู่นิดหนึ่ง “ไม่ทราบเรียกขานว่ากระไร?”

 

 

ทำการค้ากันมานานเช่นนี้ กลับไม่ทราบว่าอีกฝ่ายเรียกขานว่าอย่างไร นี่เป็นบทสนทนาที่ประหลาดอยู่บ้างจริงๆ

 

 

ชายวัยกลางคนแย้มยิ้มเป็นมิตร

 

 

“เรื่องนี้ไม่สำคัญ ข้าเพียงมาทำธุระ นายหญิงผู้เฒ่ารู้ว่าเจ้านายของพวกเราเป็นผู้ใดก็เพียงพอแล้ว” เขาเอ่ย

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางก้มศีรษะขานรับ สองมือประคองหยกสลักในมือส่งกลับไป

 

 

“ไม่ทราบมีคำสั่งอันใด?” นางเอ่ย่ถาม “ต้องมาด้วยตนเอง?”

 

 

ชายวัยกลางคนยื่นมือรับมา

 

 

“เป็นเช่นนี้ เจ้านายไม่คิดทำการค้านี้แล้ว” เขาเอ่ยตรงไปตรงมายิ่ง

 

 

“เป็นเช่นนี้อย่างที่คิด” นายหญิงผู้เฒ่าฟางไม่ผิดคาดอันใด พยักหน้า

 

 

“แต่นายหญิงผู้เฒ่าวางใจ การค้าของพวกท่านควรทำอย่างไรก็ทำเช่นนั้น” ชายวัยกลางคนอมยิ้มเอ่ย “พวกเราเพียงเก็บเงินทุนที่เหลือคืน”

 

 

นายหญิงผู้เฒ่าฟางขานรับ

 

 

“ท่านต้องการเมื่อไร?” นางเงยศีรษะเอ่ยถาม

 

 

ชายวัยกลางคนยิ้มเล็กน้อย

 

 

“ยิ่งเร็วยิ่งดี” เขาเอ่ย

 

 

………………………