ตอนที่ 1964
ไม่นานหลังจากนั้น นิกายทั้งห้าก็เริ่มการเทเลพอร์ตอีกครั้ง ลูกศิษย์และผู้อาวุโสทุกคนก็ได้กลับไปตามนิกายของตนเอง
เซียปิงก็กลับคืนสู่นิกายฟ้าดินเช่นกัน
หลังจากที่กลับมาสู่นิกายฟ้าดิน เขาก็ไม่ได้เดินทางกลับไปที่หุบเขาหยานหวง ทว่าเขาเดินทางไปที่หุบเขาอสูรมืดเป็นอันดับแรก นั่นคือสถานที่ที่เซนต์อสูรมืดอาจารย์ของเขาอาศัยอยู่ เพราะเขาต้องการรายงานเรื่องแผนการของพวกเดม่อนให้อาจารย์ได้ทราบ
เพราะถึงอย่างไร พวกเดม่อนก็วางแผนที่จะระดมพลและรุกรานเข้ามาในโลกมนุษย์อีกครั้ง นี่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของทั่วทั้งจักรวาล เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะปกปิดเรื่องนี้
นี่คือสิ่งที่เรียกว่ารังคว่ำไซร้ ไข่ย่อมแตก หากถึงคราวสิ้นสุดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ จากนั้นเขาก็จะจบเห่เช่นกัน ในจักรวาลอันกว้างใหญ่ จะไม่มีที่ให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ได้อยู่อาศัยอีกจะกลายเป็นเหมือนกับสุนัขข้างถนนก็ว่าได้
แน่นอนว่าเรื่องการรุกรานของเดม่อนที่ชั่วร้ายเป็นเรื่องที่ใหญ่โตมาก ปลาซิวปลาสร้อยอย่างเขาไม่สามารถรับมือกับเรื่องนี้ด้วยตัวคนเดียวอย่างแน่นอน จําเป็นที่จะต้องให้เซนต์รับมือกับเรื่องนี้
ยิ่งไปกว่านั้นหากท้องฟ้าถล่มลงมา บุคคลที่อยู่ในพื้นที่สูงย่อมได้รับผลกระทบก่อน เรื่องนี้ไม่ใช่สิ่งที่ตัวตนต่ําต้อยอย่างเขาจะเป็นกังวลได้
ในเวลานี้ ก็บังเอิญอย่างมากที่เซนต์อสูรมืดไม่ได้เก็บตัวบ่มเพาะอยู่ ดังนั้นเขาจึงเข้าไปพบอาจารย์ของตนเองได้อย่างราบรื่น
“ท่านอาจารย์ ข้ามีเรื่องสําคัญที่ต้องรายงานท่าน”
เซี่ยปิงก็กล่าวออกมาอย่างเคร่งขรึม
“โอ้ มีเรื่องอะไร พูดออกมาได้อย่างอิสระ” เซนต์อสูรมีดก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาก็รู้จักลูกศิษย์ของตนเองเป็นอย่างดี หากไม่มีเรื่องที่สําคัญจริงๆไม่มีทางที่เดินทางมาหาเขาถึงหุบเขาอสูรมืด
“ท่านอาจารย์ เรื่องเป็นเช่นนี้”
จากนั้นเซียปิงก็เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโลกอิบส แน่นอนว่าเขาไม่ได้เล่าเรื่องของการลงทัณฑ์แห่งสวรรค์ที่ตนเองเผชิญ แต่บ่งบอกว่าตนเองเข้าไปสํารวจโลกอบสและบังเอิญเข้าไปเห็นการประชุมของพวกเดม่อน
เขาก็แอบลักลอบเข้าไป ไม่คาดคิดว่าจะค้นพบแผนการสมคบคิดที่สะท้านฟ้าสะท้านสวรรค์ของฝ่ายตรงข้าม เดม่อนจํานวนมากกําลังรวบรวมกองกําลังวางแผนที่จะรุกรานเข้ามาในโลกมนุษย์อีกครั้ง
“เป็นอย่างนี้นี่เอง เรื่องนี้ข้าก็รู้อยู่แล้ว แต่ก็ไม่คาดคิดว่าเจ้าจะรู้เช่นกัน”
หลังจากที่ได้ยินคําพูดของเซียปิง เซนต์อสูรมืดก็พยักหน้า มีสีหน้าที่สงบนิ่งและเรียบเฉยมาก
เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางเช่นนี้ เซียปิงก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นได้และถามออกไป “ดูจากปฏิกิริยาของท่านอาจารย์แล้ว แสดงว่าบุคคลระดับสูงของเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ทราบถึงเรื่องนี้อยู่แล้วรี?”
“ถูกต้อง”
เซนต์อสูรมีดก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย “พวกเดม่อนเป็นศัตรูของเผ่าพันธุ์ทั้งหมดมาเสมอ ในอดีตพวกมันก็ได้สร้างความสูญเสียและความเจ็บปวดให้กับสิ่งมีชีวิตทั่วทั้งจักรวาล จนถึงตอนนี้ความเสียหายที่พวกมันได้สร้างไว้ในครั้งนั้นก็ยังไม่ได้หายเป็นปกติด้วยซ้ํา”
“ดังนั้นแน่นอนว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์จึงได้สังเกตการเคลื่อนไหวของพวกมันอยู่ตลอดเวลา จับตาดูทุกการเคลื่อนไหว เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงการที่เดม่อนเหล่านี้จะปรากฏขึ้นมาและสร้างปัญหาอีกครั้ง”
“ในเมื่อรู้อยู่แล้ว เหตุใดถึงไม่ขัดขวางพวกมัน?”
เซียปิงก็ไม่เข้าใจในจุดๆนี้ หากล่วงรู้ถึงการเคลื่อนไหวของเดม่อนเหล่านี้มานานแล้ว จากนั้นด้วยพลังอํานาจของเผ่าพันธุ์มนุษย์ แน่นอนว่าสามารถขัดขวางแผนการของพวกมันล่วงหน้าได้ เป็นการตัดไฟตั้งแต่ต้นลม
“เพราะไม่สามารถขัดขวางได้”
เซนต์อสูรมืดก็ส่ายหัว “โลกอบิสเรียกได้ว่าเป็นแหล่งพลังอํานาจที่ยิ่งใหญ่ของเซนต์เดม่อนเหล่านั้น ตราบใดที่พวกมันหลบซ่อนตัวอยู่ในส่วนลึกของโลกอบิสนั้น พวกเราก็ไม่สามารถทําอะไรพวกมันได้ เรียกได้ว่าเซนต์เดม่อนเหล่านี้แทบที่จะเป็นอมตะในอาณาเขตของพวกมัน”
“ยิ่งไปกว่านั้น การที่พวกเราเข้าไปในโลกอบสเป็นระยะเวลาที่นานเกินไป จะถูกกฏของอิบิสกัดกร่อนได้ ไม่ สามารถอยู่ข้างในนั้นเป็นระยะเวลานาน ดังนั้นจึงไม่สามารถกําจัดกลุ่มของเดม่อนเหล่านั้นได้จนหมดสิ้นเสียที”
“แน่นอนว่าพวกเราก็รู้ถึงธรรมชาติความชั่วร้ายและความไม่ยอมจํานนของเดม่อนพวกนี้มานานแล้ว พยายามที่จะสะสมขุมกําลังมาตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา รอให้มีโอกาสที่จะกลับมาสู่จักรวาลอีกครั้ง ทว่าเผ่าพันธุ์ทั้งหมดทั้งมวลของจักรวาลก็เตรียมตัวพร้อมไว้ตลอดเวลาเช่นกัน”
เขาอธิบายว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ไม่ใช่ว่าไม่ต้องการกําจัดเดม่อนไปให้หมดสิ้น ในความเป็นจริงต่อให้พวกเขาจะรวมกําลังกับเผ่าพันธุ์อื่นๆทั่วทั้งจักรวาล การที่คิดจะทําลายล้างพวกเดม่อนให้หมดสิ้นไป ก็ยังเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้
“ถ้าอย่างนั้น ทั้งสองฝ่ายก็ทําได้เพียงแค่เตรียมพร้อมสําหรับสงครามที่กําลังจะมาถึงหรือ?”
เซียปิงก็มองไปที่เซนต์อสูรมืด เขาก็มีลางสังหรณ์ว่าสงครามที่สิ้นหวังกําลังจะบังเกิด
“ใช่ ไม่มีทางเลี่ยงได้ จะต้องปะทะเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นจะต้องทําลายกลุ่มของเดม่อนเหล่านั้นให้ได้มากที่สุด สังหารยอดฝีมือทั้งหมดของพวกมัน ไม่ให้พวกมันกล้าโผล่ออกมาในจักรวาลอีก”
บนตัวของเซนต์อสูรมีดก็มีออร่าจิตสังหารที่แผ่ออกมา ฉีกผ่านห้วงอวกาศ “มีเพียงแค่การที่กลุ่มของเดม่อนเผชิญกับความสูญเสียอย่างร้ายแรงเท่านั้น พวกมันจึงจะล้มเลิกความคิดที่จะรุกรานเข้ามาในโลกมนุษย์ และพวกเราก็จะรักษาความสงบสุขของเผ่าพันธุ์มนุษย์ไว้ได้อีกนับล้านปี”
เขาก็บ่งบอกว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ได้เตรียมพร้อมสําหรับสงครามเช่นกัน
“ทว่าหลังจากที่เอาชนะได้ ระยะเวลานับล้านปีต่อมา เดม่อนเหล่านี้ก็จะกลับมาอีกครั้งไม่ใช่หรือ?”
เซียปิงก็คิดว่านี่ไม่ใช่วิธีการที่จะสะสางปัญหาจนหมดสิ้นได้
“ไม่สามารถที่จะทําอะไรได้ อันที่จริงนี่ก็เป็นปัญหายุ่งยากที่จะต้องเกิดซ้ําแล้วซ้ําอีก”
เซนต์อสูรมืดก็ยักไหล่ “ตอนนี้พวกเรายังไม่มีพลังอํานาจที่จะทําลายล้างพวกเดม่อนไปจนหมดสิ้นได้ ทําได้เพียงแค่ใช้วิธีนี้เท่านั้น ลดภัยคุกคามของพวกเดม่อนให้น้อยลงที่สุด”
“บางทีในอนาคตอาจจะมีบางคนที่สามารถหาทางกําจัดพวกเดม่อนไปจนหมดสิ้นได้ ทว่าก็ไม่รู้ว่ามันจะอีกนานเท่าไหร่ ตอนนี้ก็มีเพียงวิธีการนี้เท่านั้นที่ถือว่าเป็นวิธีการรับมือที่ดีที่สุด”
เซียปิงก็พยักหน้า เขาก็เข้าใจความจนปัญญาของเผ่าพันธุ์มนุษย์ เดม่อนเหล่านี้ราวกับเป็นแมลงสาบก็ว่าได้มีพลังชีวิตที่ทรหดอดทน ฆ่าไปมากแค่ไหนก็ไม่มีทางสูญพันธุ์กําเนิดขึ้นมาเรื่อยๆ มีเพียงแค่การลดจํานวนของฝ่ายตรงข้ามให้น้อยลงที่สุดเท่านั้น ไม่ให้เป็นภัยคุกคามต่อการใช้ชีวิตของมนุษย์
“ทว่านี่ก็เป็นเรื่องในอนาคตของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะต้องมาคิดพิจารณา ตอนนี้สิ่งที่เจ้าควรที่จะคิดพิจารณาคือจะทําอย่างไรเพื่อพัฒนาตนเองให้ได้โดยเร็วที่สุด จะทําอย่างไรเพื่อให้มีพลังอํานาจที่จะ ปกป้องตนเองได้
เซนต์อสูรมืดก็มองไปที่เซียปิงและย้ําเตือนอย่างหวังดี “ตัวเจ้าในตอนนี้มีพลังอํานาจที่อ่อนแอเกินไป มีเพียงแค่การเลื่อนขั้นเป็นเซนต์เท่านั้น เจ้าจึงจะมีสิทธิ์เข้าร่วมในสงครามนี้ได้ เพราะว่าในสงครามเช่นนี้ แม้แต่เซนต์ก็ยังตายเป็นว่าเล่น ไม่ต้องพูดถึงสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในระดับที่ต่ากว่านั้น
เขาก็นึกถึงสงครามกับพวกเดม่อนในยุคสมัยโบราณ ในตอนนั้นมนุษย์ได้เผชิญกับความสูญเสียที่ร้ายแรง อย่างน้อยก็ตายไปมากกว่า70% เกือบที่จะเรียกได้ว่าหายไปครึ่งจักรวาล
ทว่าเมื่อระยะเวลาผ่านไปอย่างยาวนาน พลังอํานาจและอิทธิพลของเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ค่อยๆฟื้นฟูจนแทบจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง
“ท่านอาจารย์ ข้าเข้าใจแล้ว” เซียปิงก็พยักหน้า เขาก็ล่วงรู้ว่าเมื่อเกิดสงครามระดับจักรวาลขึ้นมา มันจะเป็นสงครามที่น่าสิ้นหวังจนไม่สามารถที่จะจินตนาการได้
เซนต์อสูรมืดก็พูดต่อ “ครั้งนี้เป็นโอกาสที่ดีมากที่เจ้าจะได้เดินทางไปที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการเริ่มต้น ที่นั่นมีทรัพยากรมากมายที่สามารถหาได้แค่ในศูนย์กลางของจักรวาลเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นการที่อาศัยอยู่ในศูนย์กลางของจักรวาล โอกาสที่จะพัฒนาเป็นเซนต์ก็มีมากกว่ายิ่งกว่าที่อื่นๆ”
“หากไม่มีอะไรต้องทําที่นี่ ก็ควรเดินทางไปที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการเริ่มต้นโดยเร็วที่สุด ที่นั่นจะมีโอกาส ที่ยิ่งใหญ่ที่สามารถช่วยให้เจ้าพัฒนาเป็นเซนต์ได้”
“รับทราบ ท่านอาจารย์
เซียปิงก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที แม้แต่เซนต์อสูรมืดก็กล่าวออกมาเช่นนี้ ต้องการให้เขาเดินทางไปที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการเริ่มต้น ดูเหมือนว่าศูนย์กลางของจักรวาลจะซ่อนความลับที่ยิ่งใหญ่ไว้จริงๆในความเป็นจริง หากไม่มีความลับที่ยิ่งใหญ่ก็คงจะไม่สามารถดึงดูดสิ่งมีชีวิตจากเผ่าพันธุ์ทั้งมวลให้ตั้งรกรากถิ่นฐานอยู่ในสถานที่แห่งนั้นได้ นี่ก็ทําให้ศูนย์กลางของจักรวาลกลายเป็นเขตแย่งชิงอํานาจของเผ่าพันธุ์ทั้งมวล
หลังจากนั้นเขาก็พูดคุยเรื่องการบ่มเพาะกับเซนต์อสูรมืดเป็นระยะเวลาหนึ่งก่อนที่จะเดินทางออกจากหุบเขาอสูรมดไป
จากคําพูดของอาจารย์ เขาก็ล่วงรู้ว่าสงครามนี้เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงวางแผนที่จะพัฒนาตนเองให้ได้โดยเร็วที่สุดเพื่อที่จะได้ปกป้องตนเองได้และมีส่วนร่วมในสงครามครั้งนี้
อีกทั้งในสงครามนี้ เขาก็อาจจะไขว่คว้าโอกาสมาได้มากมาย
ในความเป็นจริง ตัวตนในระดับผู้ปกครองมากมายในจักรวาลก็รุ่งเรืองขึ้นมาจากสงครามเช่นนี้
นี่คือสิ่งที่เรียกว่า ที่ไหนมีวิกฤติ ที่นั่นก็ย่อมมีโอกาสเช่นกัน
ระยะเวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับชั่วพริบตา และแล้วก็มาถึงวันที่ต้องออกเดินทางไปสู่ศูนย์กลางของจักรวาล