บทที่ 1333 ปล้นเงา

Reverend Insanity เทพปีศาจหวนคืน

เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1333 ปล้นเงา

แปลโดย iPAT

งานเลี้ยงที่รื่นเริงไม่ใช่จุดจบแต่เป็นจุดเริ่มต้น

ฟางหยวนและจื่อซานกลายเป็นสหายที่ดี

ฟางหยวนมักเชิญจื่อซานมางานเลี้ยงที่อาณาเขตของตระกูลวูขณะที่ฝ่ายหลังก็ตอบรับ

การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีเป็นเรื่องง่ายและยาก

กุญแจสำคัญคือการลดสถานะของตนเองและรองรับความต้องการของฝ่ายตรงข้าม

ฟางหยวนเป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์และด้วยวิญญาณทัศนคติที่เขาครอบครองอยู่ จื่อซานจะแข่งขันกับเขาได้อย่างไร?

จื่อซานเริ่มเรียนรู้และประหลาดใจมากกับความสำเร็จระดับกึ่งปรมาจารย์บนเส้นทางแห่งค่ายกลของฟางหยวน

แต่ฟางหยวนบอกเขาว่า “ข้าสนใจเส้นทางแห่งค่ายกลอยู่เสมอ เมื่อข้ายังเป็นมนุษย์ ข้าศึกษาเส้นทางแห่งค่ายกลและบ่มเพาะอยู่บนเส้นทางสายนี้เป็นหลัก แต่เนื่องจากการเผชิญหน้าโดยบังเอิญและสถานการณ์ในชีวิตที่พลิกผัน ข้าจึงกลายเป็นผู้อมตะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลง แต่มันก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว หลังจากทั้งหมดมีกี่คนที่สามารถก้าวเข้าสู่ขอบเขตอมตะ”

ความไร้หนทางนี้ทำให้จื่อซานถอนหายใจ เขารู้สึกสงสารฟางหยวนเป็นอย่างมาก

“หากเจ้าต้องการบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งค่ายกล ข้าสามารถช่วยเจ้า ตระกูลจื่อมีผู้อมตะบนเส้นทางแห่งค่ายกลหลายคน ข้าสามารถเป็นตัวแทนในการเจรจาแลกเปลี่ยนวิญญาณอมตะบนเส้นทางแห่งค่ายกลให้กับเจ้า” จื่อซานเสนอ

มันไม่ง่ายสำหรับเขาที่จะเสนอสิ่งนี้ นี่เป็นการพิสูจน์ว่าการทำงานหนักของฟางหยวนได้ผลดี

เป็นไปได้ที่จะเปลี่ยนเส้นทางการบ่มเพาะ แต่วิญญาณอมตะเป็นเรื่องยากที่จะแลกเปลี่ยน

ฟางหยวนตื่นเต้นมาก “หากข้าต้องการเปลี่ยนเส้นทางในอนาคต ข้าจะไปขอความช่วยเหลือจากเจ้า”

จื่อซานพยักหน้า “เมื่อเวลานั้นมาถึง เพียงบอกข้า!”

เขารู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผู้อมตะที่จะเปลี่ยนเส้นทางการบ่มเพาะเพราะต้องพิจารณาในหลายแง่มุม นอกจากนี้ยังมีผลกระทบในเชิงลงที่จะเกิดขึ้นกับมิติช่องว่างของพวกเขา

ฟางหยวนได้รับผลประโยชน์มากมายจะจื่อซาน

แม้ระดับความสำเร็จของเขาจะไม่เพิ่มขึ้น แต่ความรู้ความเข้าใจพื้นฐานบนเส้นทางแห่งค่ายกลของฟางหยวนก็เพิ่มขึ้น  มันช่วยเขาได้มาก

สิ่งใดคือความแตกต่างระหว่างค่ายกลวิญญาณกับท่าไม้ตาย?

จื่อซานบอกฟางหยวนว่า “ค่ายกลวิญญาณก็คือท่าไม้ตายประเภทหนึ่ง ท่าไม้ตายใช้วิญญาณหลายดวงพร้อมกัน ค่ายกลวิญญาณก็เช่นกัน แน่นอนว่าค่ายกลวิญญาณกับท่าไม้ตายมีความแตกต่างกันเล็กน้อยในรายละเอียด ตัวอย่างเช่นค่ายกลวิญญาณอยู่ได้นานกว่าและหลังจากประสบความสำเร็จในการกระตุ้นใช้ค่ายกลวิญญาณ ผู้ใช้วิญญาณก็ไม่จำเป็นต้องใช้พลังจิตอีก…”

“แก่นแท้ของเส้นทางแห่งค่ายกลคือสิ่งใด?” ฟางหยวนถาม

จื่อซานส่ายศีรษะ “แม้ข้าจะเป็นปรมาจารย์บนเส้นทางแห่งค่ายกล แต่ความสำเร็จของข้ายังไม่เพียงพอที่จะกล่าวถึงแก่นแท้ของมัน แต่ท่านจื่อชิวหยูเคยบอกข้าว่าแก่นแท้ของเส้นทางแห่งค่ายกลคือการสร้างสภาพแวดล้อม”

ฟางหยวนรู้สึกราวกับตรัสรู้

การสร้างค่ายกลวิญญาณในถ้ำขดด้ายก็คือการสร้างสภาพแวดล้อมใหม่ให้กับแมงมุมหน้าคน

“ข้าเคยได้ยินมาว่าปรมาจารย์เอกบนเส้นทางแห่งค่ายกลจะสามารถใช้ร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าตามธรรมชาติเพื่อทดแทนการใช้วิญญาณในค่ายกลวิญญาณของพวกเขา ในสถานที่บางแห่งมีร่องรอยของพลังงานแห่งเต๋าจำนวนมาก เพียงใช้วิญญาณระดับมนุษย์สนับสนุนก็สามารถสร้างค่ายกลวิญญาณอมตะได้จริงหรือไม่?” ฟางหยวนถามอีกครั้ง

จื่อซานพยักหน้าและอธิบาย “นั่นเป็นเรื่องจริง แต่ในความเป็นจริงยังสามารถใช้ทรัพยากรอมตะเพื่อสร้างค่ายกลวิญญาณ”

บทสนทนาเหล่านี้สร้างแรงบันดาลใจให้กับฟางหยวน

หลังจากนั้นเขาก็เริ่มไปเยี่ยมจื่อซานบ่อยขึ้น

ในไม่ช้าฟางหยวนก็ตระหนักว่างานเลี้ยงไม่มีประสิทธิภาพในการพัฒนาความสัมพันธ์ของพวกเขาแต่เป็นการพูดคุยเกี่ยวกับเส้นทางแห่งค่ายกล

บางครั้งบทสนทนาระหว่างพวกเขาก็กระตุ้นความคลั่งใคล้ในหัวใจของจื่อซานและทำให้เขารู้สึกใกล้ชิดกับฟางหยวนมากขึ้น

แต่ฟางหยวนยังมีไพ่ตายอีกใบ นั่นเขาเฉียวซื่อหลิว

เขาเขียนจดหมายถึงเฉียวซื่อหลิว

ทุกครั้งที่เขาเขียนจดหมายถึงนาง เขาจะยกย่องจื่อซานและอุทานเกี่ยวกับความสามารถบนเส้นทางแห่งค่ายกลที่น่าตกใจของจื่อซาน

จื่อซานรู้สึกเขินอายกับคำชมเหล่านี้ มันทำให้เขามองฟางหยวนในมุมที่แตกต่างออกไป เขาคิดว่าฟางหยวนเป็นสุภาพบุรุษตัวจริงและเป็นคนใจกว้าง

เพื่อตอบแทนน้ำใจ เขาก็เขียนจดหมายถึงเฉียวซื่อหลิวและยกย่องฟางหยวนอย่างสุดซึ้ง เขาบอกว่าความสำเร็จบนเส้นทางแห่งค่ายกลของฟางหยวนทำให้เขารู้สึกชื่นชมและประหลาดใจมาก

เฉียวซื่อหลิว “…”

นางมองจดหมายที่ได้รับและรู้สึกว่าคนทั้งสองยกย่องกันจนลืมเรื่องของนางไปแล้ว!

นางไม่ได้คาดหวังว่าจะได้เห็นสถานการณ์นี้ นางกลอกตาก่อนจะเขียนจดหมายสรรเสริญกลับไป

ฟางหยวนและจื่อซานเปลี่ยนจากศัตรูเป็นสหาย การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้ทุกคนที่มองจากด้านข้างรู้สึกตกใจอย่างมาก

…..

ภาคใต้ รอยแยกปล้นเงา

ที่นี่คือรอยแยกใต้พิภพที่มีชื่อเสียงของภาคใต้ มันเต็มไปด้วยสัตว์อสูรบนเส้นทางแห่งความมืดโดยเฉพาะอสูรเงาที่มีชื่อเสียงในภาคใต้

ลึกลงไปในรอยแยกปล้นเงา ในถ้ำแห่งหนึ่ง

“อา…” ชายชราผมม่วงวิ่งเท้าเปล่าอยู่ในถ้ำและกรีดร้องเสียงแหลม

เป็นเพียงเวลานี้ที่เขาล้มลงบนพื้นและเริ่มบิดตัวคลานราวกับไส้เดือน

หลังจากไม่นานเขาก็ลุกขึ้นยืนและหัวเราะด้วยความเขินอาย

ครู่ต่อมาเสียงหัวเราะของเขาก็หยุดลง ดวงตาที่ขุ่นมัวของเขากลับมากระจ่างชัดอีกครั้ง

“ท่านสีม่วงตื่นแล้ว” อิงอู๋เซี่ยปรากฏตัวขึ้นในถ้ำ เขาถอนหายใจด้วยการแสดงออกที่ซับซ้อน

ชายชราผู้นี้ก็คือราชันภูเขาม่วง

กลุ่มนิกายเงาหายตัวไปหลังจากการต่อสู้ที่แม่น้ำหวนคืน พวกเขากลับมาภาคใต้และมายังรอยแยกปล้นเงาแห่งนี้

ราชันภูเขาม่วงสูดหายใจลึกและตบดินบนร่างกายออกไป ร่างของเขาหดเล็กลงและกลายเป็นมนุษย์จิ๋วอีกครั้ง

“เรียกข้าว่าราชันภูเขาม่วง” ราชันภูเขาม่วงกล่าว “ตอนนี้เจ้ามีข้อมูลใดเพิ่มเติมบ้าง?”

อิงอู๋เซี่ยกล่าว “สถานการณ์ทางการเมืองของภาคใต้กำลังดำเนินไปตามแผนการของเรา แต่น่าเสียดายที่จื่อซานและวูอี้ไห่หยุดต่อสู้กันและกลายเป็นสหายที่ดีต่อกัน”

“โอ้?” ราชันภูเขาม่วงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย

หลังจากตรวจสอบข้อมูล เขาพยักหน้า “วูอี้ไห่ผู้นี้ค่อนข้างน่าสนใจ เขาบ่มเพาะบนเส้นทางแห่งการเปลี่ยนแปลงเป็นหลักแต่เขาก็มีความสำเร็จบนเส้นทางแห่งค่ายกลเพียงพอที่จะได้รับคำชมเชยจากจื่อซาน”

“สิ่งนี้จะช่วยเขาได้ แต่เขาไม่ท้าทายวูหยงและถูกส่งตัวไปยังค่ายกลวิญญาณ”

อิงอู๋เซี่ยพยักหน้า “วูหยงเป็นผู้อมตะระดับแปดที่มีอำนาจมากที่สุด วูอี้ไห่พึ่งกลับเข้าตระกูลได้ไม่นาน เขาไม่ร่วมมือกับตระกูลเฉียวและไม่ได้รับการสนับสนุนจากพวกเขาอย่างเต็มที่”

“แต่สิ่งนี้พิสูจน์แล้วว่าแม้วูอี้ไห่จะเป็นผู้บ่มเพาะสันโดษแต่เขามีความทะเยอทะยานอย่างมาก เขาเข้าใกล้เฉียวซื่อหลิวแต่เขาไม่ได้ใกล้ชิดกับนาง นี่แสดงให้เห็นว่าเขาไม่เห็นด้วยกับการแบ่งปันผลประโยชน์กับตระกูลเฉียว ความทะเยอทะยานของเขาเป็นสิ่งที่เราสามารถใช้ประโยชน์ได้หรือไม่?”

“อืม…” ราชันภูเขาม่วงคิดก่อนกล่าว “เราอาจใช้สิ่งนี้ได้แต่เรารู้จักคนผู้นี้น้อยเกินไป ตอนนี้แผนการของเราเกี่ยวกับตระกูลวูควรมุ่งเน้นไปที่วูหยง ตระกูลวูเป็นกองกำลังอันดับหนึ่งของภาคใต้ พวกเขาคือเสาหลักของฝ่ายธรรมะ หากพวกเขาล้มลง ภาคใต้จะเกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ เมื่อเวลานั้นมาถึงเราจะใช้ประโยชน์จากมันและทำลายค่ายกลวิญญาณเพื่อช่วยร่างหลักของเรา”

ปรากฏว่าปัญหาทางการเมืองของตระกูลวูไม่ใช่เรื่องง่าย หลังจากทั้งหมดนิกายเงาอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้

“ฮืม หากภาคใต้เกิดความโกลาหลแล้วอย่างไร?” ไป่หนิงปิงปรากฏตัวขึ้นด้วยการแสดงออกที่เย็นชา “ด้วยพวกเราเพียงสี่คน แม้ค่ายกลวิญญาณจะมีผู้อมตะเพียงสี่คนปกป้องอยู่ มันก็ยังเป็นเรื่องยาก นอกจากนี้พลังการต่อสู้หลักของพวกเราก็ไม่เสถียรนัก”

ไป่หนิงปิงกล่าวโดยไม่แสแย

นางไม่เกรงกลัวผู้อมตะระดับแปดผู้นี้เพราะข้อตกลงพันธมิตรใหม่ระหว่างนางกับนิกายเงาอยู่ในสถานะเท่าเทียม

และความวิกลจริตของราชันภูเขาม่วงทำให้ความเคารพในหัวใจของนางลดน้อยลง

ราชันภูเขาม่วงยิ้ม “แน่นอนว่าความไม่สงบทางการเมืองเพียงอย่างเดียวยังไม่พอ กองกำลังฝ่ายธรรมะเหล่านี้ไม่ได้โง่เขลา แต่นี่เป็นเพียงการบั่นทอนความแข็งแกร่งของพวกเขาเท่านั้น เราสี่คนยังไม่เพียงพอเช่นกัน เรามีกำลังคนน้อยเกินไป ดังนั้นตอนนี้เราจึงต้องหาคนเพิ่ม”

“หาคนเพิ่ม?” อิงอู๋เซี่ยประหลาดใจ “ยังมีไพ่ซ่อนอยู่ในภาคใต้ที่ข้ายังไม่รู้อยู่อีกงั้นหรือ?”

เพราะเขารู้ว่ากองกำลังนิกายเงาของภาคใต้อยู่ในสภาพที่พิการอย่างหนัก หากพวกเขาต้องการโจมตีค่ายกลวิญญาณ สมาชิกใหม่เหล่านี้จำเป็นต้องเป็นผู้อมตะระดับสูง ผู้อมตะทั่วไปไร้ประโยชน์

หากมีตัวตนเหล่านี้อยู่จริง พวกเขาย่อมถูกอิงอู๋เซี่ยใช้งานไปนานแล้ว

หรือย้อนกลับไปไกลกว่านั้น หากมีคนเหล่านี้อยู่จริง เมื่อเทพปีศาจจิตวิญญาณท้าทายสวรรค์ด้วยการหลอมรวมวิญญาณทารกอมตะ พวกเขาย่อมถูกใช้งานไปแล้ว

ราชันภูเขาม่วงพยักหน้าก่อนจะส่ายศีรษะ “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใดบางครั้งข้าถึงกลายเป็นคนบ้า?”