บทที่ 667 : ลูกประคําโพธิ
หลิงหยุนขับรถแลนด์โรเวอร์ของตนเองโดยมีมู่หลงเฟยชื่อนั่งอยู่ด้านข้างไปตามถนนที่ทอดอยู่ระหว่างป่าและเขา จุดหมายปลายทางคือวัดหลิงเจียง
แต่ตอนนี้หลิงหยุนใช้มือขวาเพียงข้างเดียวบังคับพวงมาลัยรถ เพราะมือซ้ายของเขานั้นกําลูกประคําขนาดเท่าเม็ดวอลนัทอยู่ในมือ
และแน่นอนว่า มันก็คือลูกปะคําโพธินั่นเอง!
ยิ่งเข้าใกล้วัดหลิงเจี๋วยมากเท่าไหร่ หลิงหยุนก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงพลังพุทธะที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น แต่ก็ถึงกระนั้น พลังพุทธะที่หลิงหยุนสัมผัสได้ในเวลานี้ ก็ยังไม่สามารถเทียบได้กับพลังพุทธะที่ปลดปล่อยออกมาจากร่างของหลวงจีนที่บรรลุธรรมและมรณภาพในท่านั่งภายในอารามเล็กๆแห่งหนึ่งใต้หลุมยักษ์
ตอนนี้หลิงหยุนเข้าสู่ระดับสูงสุดของขั้นปรับร่างกาย-8 แล้ว เหลือเพียงอีกแค่ด่านเล็กๆด่านเดียวเขาก็จะสามารเข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-9 ซึ่งนับว่าเข้าใกล้ขั้นพลังขี่มากแล้ว ดังนั้นพลังพิเศษบางอย่างที่อยู่ระหว่างผืนดินกับสวรรค์นั้น เขาจึงสามารถรับรู้และสัมผัสได้อย่างง่ายดาย
ยกตัวอย่างเช่น ในแถบชานเมืองที่อยู่ระหว่างหุบเขาและมีต้นไม้สีเขียวปกคลุมอยู่แน่นหนานี้ แม้จะมีสมุนไพรหรือหญ้าที่มีพลังชีวิตอยู่เบาบางมากเพียงใด แต่ร่างกายของหลิงหยุนก็จะสัมผัสได้ และสามารถดูดซับได้อย่างง่ายดายไม่ต่างจากการหายใจเอาอากาศเข้าไปในร่างกาย
แต่จะประมาทพลังชีวิตเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ไม่ได้ เพราะมันไม่ต่างจากหยดน้ำเล็กๆ ที่หยดลงทุกวันเป็นเวลานาน ก็จะสามารถกลายเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ได้ พลังชีวิตแม้เพียงเล็กน้อยก็เช่นเดียวกัน หากดูดซับเข้าไปเรื่อยๆ ก็จะกลายเป็นพลังชีวิตจํานวนมากที่สามารถส่งเสริมให้รากฐานของหลิงหยุนมั่นคงมากยิ่งขึ้น
หลิงหยุนนั้นสัมผัสได้ถึงพลังพุทธะที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ และรุนแรงกว่าพลังชีวิตที่อยู่โดยรอบเสียอีก จนเขาถึงกับต้องเรียกลูกประคําโพธิออก
ลูกปะคําโพธินี้เป็นสมบัติที่หลิงหยุนเก็บมาจากใต้หลุมยักษ์ เขาหยิบมันมาจากร่างที่มรณภาพในท่านั่งของหลวงจีนรูปหนึ่ง
และในวันที่เขาบุกไปที่บ้านของเฉิงเทียนในอ่าวจิงฉูนั้น ในระหว่างที่กําลังจะลงมือสังหารหลวงจีนสิงฉีที่เอาแต่ท่องคําว่า “อามตตาพุทธ ลูกประคําโพธินี้ก็ได้พุ่งออกมาจากแหวนพื้นที่เอง และตรงเข้าขวางกระบี่ของหลิงหยุนไว้จนทําให้หลิงหยุนรู้สึกหงุดหงิดรําคาญอย่างมาก
อีกทั้งในระหว่างที่เขาได้รับบททดสอบจากเมฆหลากสีบนเกาะเตียวหยูนั้น ลูกประคําโพธิและสมบัติพุทธะอื่นๆอีกสามชิ้น ก็ได้พุ่งออกมาจากแหวนพื้นที่เพื่อช่วยเขาด้วยเช่นกัน
หลิงหยุนรู้ว่าสมบัติพุทธะทั้งสี่อย่างนั้นล้วนแล้วแต่เป็นสมบัติวิเศษล้ำค่าทั้งสิ้น เพราะทั้งหมดล้วนแล้วแต่ช่วยเขาต้านทานพลังสายฟ้าจากเมฆหลากสีได้ แต่ที่แข็งแกร่งที่สุดดูเหมือนจะเป็นลูกประคําโพธิลึกลับเม็ดนี้นั่นเอง
ตอนนี้ผิวด้านนอกของลูกประคําโพธิสีเทากําลังเปล่งประกายสีเขียว หลิงหยุนรู้ดีว่าสีเขียวที่เกิดขึ้นนั้น ก็คือสีของเมฆหลากสีที่สมบัติพุทธะทั้งสี่ชิ้นได้กลืนกินเข้าไปในวันนั้น
หลิงหยุนเรียกลูกประคําโพธิออกมาถือไว้ในมือซ้าย ดวงตาของเขาจับจ้องอยู่ที่ลูกประคําที่เปลี่ยนสีอยู่พร้อมกับครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
ตอนนี้เป็นเวลากลางวันแสกๆ แสงสีเขียวบนพื้นผิวของลูกปะคําโพธินั้น แน่นอนว่ามู่หลงเฟยจื่อไม่สามารถมองเห็นได้ แต่หลิงหยุนมีเนตรหยิง-หยางจึงสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
หลิงหยุนนึกถึงคําพูดของหลวงจีนสิ่งนี้ได้พูดกับเขาก่อนที่จะเสียชีวิต หลวงจีนสิงฉีบอกไว้ว่าหลิงหยุนกับพุทธศาสนานั้นมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน และเขาก็คือเจ้าของคู่กันและสมุดจักรพรรดิ
“หรือว่านี่คือโชคชะตา” หลิงหยุนจ้องมองลูกประคําโพธิพร้อมกับพึมพําออกมาเบาๆ ในขณะที่จิตใจกลับสันไหวอย่างรุนแรง
แต่ถึงกระนั้น สัญชาติญาณของหลิงหยุนก็รู้สึกต่อต้าน แต่ไม่ใช่เพราะเขารังเกียจพระเจ้า แต่เป็นเพราะเขารู้สึกว่าคําสอนของพุทธศาสนานั้นนั้นล้ำลึกและลึกซึ้งเกินไป
ศาสนาพุทธพูดถึงเรื่องของสังสารวัฏและการเวียนว่ายตายเกิด ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่เน้นในเรื่องของศรัทธา และการฝึกจิตใจให้แข็งแกร่ง ไม่ใช่เรื่องของการฝึกฝนกําลังภายใน
แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าจะสามารถดูถูกดูแคลนพุทธศาสนาได้ เพราะใช่ว่าใครก็จะสามารถฝึกฝนจิตใจกันได้ง่ายๆ และนี่คือเหตุผลว่าเพราะเหตุใดหลิงหยุนจึงเคารพและศรัทธาในพระพุทธองค์มาก..
ทางด้านมู่หลงเฟยชื่อที่เล่าเรื่องโน้นเรื่องนี้ให้หลิงหยุนฟังตลอดทางอย่างตื่นเต้น และเปี่ยมไปด้วยความสุขที่มีหลิงหยุนเดินทางมาที่วัดเป็นเพื่อนด้วยนั้น เมื่อรู้สึกว่าหลิงหยุนนิ่งเงียบไปนานเธอจึงหันไปมอง และนั่นทําให้เธอตกใจแทบตาย!
หลิงหยุนขับรถโดยที่ไม่มองถนนเลย!
แม้ว่าสายตาของหลิงหยุนจะไม่ได้มองไปที่ถนน แต่จิตหยั่งรู้ที่แข็งแกร่งของเขานั้นก็ได้สํารวจระยะทางด้านหน้าไปไกลถึงสี่สิบเมตรล่วงหน้าแล้ว ดังนั้นจะลืมตาหรือหลับตาขับก็ไม่ต่างกัน
แต่มู่หลงเฟยจื่อไม่รู้เรื่องนี้ เมื่อเธอเห็นหลิงหยุนเอาแต่จ้องมองมือข้างซ้ายของตนเองโดยไม่ยอมมองถนน เธอก็ถึงกับโกรธและตื่นตกใจอย่างมากจนร้องตะโกนเสียงดังออกมา
“หลิงหยุน นี่เธอเป็นอะไร? ทําไมขับรถไม่มองถนน อยากตายหรือยังไง?”
หลิงหยุนตื่นจากภวังก์ทันที และเริ่มจดจ่ออยู่กับการขับรถพร้อมกับหันไปถามมู่หลงเฟยจื่อว่า “วัดหลิงเจี๋วยอยู่อีกไกลมั้ย?”
มู่หลงเฟยจื่อไม่ค่อยได้เคยเห็นสีหน้าที่เคร่งขรึมของหลิงหยุนนัก เธอได้แต่คิดว่าวันนี้เป็นวันดีของเธอกับเขา จึงรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก และรีบยกมือขึ้นชี้ไปด้านหน้าพร้อมกับตอบไป
“ใกล้แล้วล่ะ! เลี้ยวอีกสองโค้งก็ถึงแล้ว”
แต่ก็อดถามอย่างสงสัยไม่ได้ “นี่เธอเกิดในจิงจริงรึเปล่า?! วัดหลิงเจี๋วยอยู่ที่ใหนยังไม่รู้อีก!”
หลิงหยุนได้แต่ยิ้มและคิดในใจว่า “แม่พบข้าที่วัดหลิงเจี๋วยแห่งนี้ก็จริง แต่ความทรงจําที่ผ่านมาของข้าได้หายไปหมดแล้ว
สองสามนาทีต่อมา ทั้งสองคนก็ขับรถมาถึงวัดหลิงเจี๋วย และหลิงหยุนก็ขับไปหาที่จอดรถเพื่อเดินขึ้นไปบนเขา
ระหว่างทางที่เดินขึ้นไปบนวัดหลิงเจี๋วยนั้น ทั้งคู่ต่างก็เห็นพ่อแม่กับเด็กในวัยเรียนพากันมาที่วัดมากมาย นั่นเพราะต่างคนต่างก็พากันมาไหว้พระขอพร ขอให้ลูกของตนเองนั้นสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้
มู่หลงเฟยจื่อเดินขึ้นไปที่วัดด้วยสีหน้าจริงจังและเปี่ยมไปด้วยศรัทธา ระหว่างที่ขึ้นไปนั้นก็หันไปถามหลิงหยุนว่า
“หลิงหยุน.. ดูสิ! พ่อแม่ของเด็กนักเรียนต่างก็พากันมาไหว้พระขอให้ลูกตัวเองสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ เธอก็ไปจุดธูปขอพรบ้างสิ!”
หลิงหยุนกําลูกปะคําโพธิไว้แน่น และรับรู้ได้ถึงพลังพุทธะที่รุนแรงรอบๆเขาที่ใกล้กับวัดหลิงเจี๋วย หลังจากได้ฟังคําพูดของมู่หลงเฟยจื่อเขาจึงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“ผมไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ ผมเชื่อในตัวเอง การมาขอพรไม่มีอะไรดีไปกว่าขอให้จิตใจสงบ! ผมเชื่อว่าการขอไม่ศักดิ์สิทธิ์เท่ากับทําด้วยตัวเอง!”
น้ำเสียงที่หนักแน่น และเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจของหลิงหยุนนั้น ทําให้มู่หลงเฟยจื่อถึงกับใจสั่นอย่างบอกไม่ถูก และแทนที่จะพูดอะไร เธอจึงเลือกที่จะเกาะแขนหลิงหยุนและเดินขึ้นเขาไปที่วัดอย่างเงียบๆ
ยิ่งเข้าใกล้วัดหลิงเจี๋วยมากเท่าไหร่ หลิงหยุนก็ยิ่งสัมผัสได้ถึงพลังพุทธะที่รุนแรงขึ้นอีกหลายเท่า เขามองผู้คนที่ต่างก็ถือธูปเดินขึ้นไปบนวัดด้วยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยศรัทธา
“พุทธศาสนิกชนดูเหมือนจะมีพลังศรัทธาที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก”
วัดหลิงเจี๋วยตั้งอยู่บนภูเขาที่ไม่ได้สูงนัก ทั้งสองคนจึงมาถึงหน้าประตูวัดภายในเวลาอันรวดเร็ว ภายในวัดมีผู้คนเข้ามาสักการะบูชาอยู่เป็นจํานวนมาก และที่นี่ก็มีพลังพุทธะที่รุนแรงมากกว่าที่ใหนๆ
ระหว่างที่ยืนมองผู้คนเดินเข้าออกภายในวัดนนั้น แม้ว่าจะมีเสียงดังหนวกหู แต่หลิงหยุนกลับสัมผัสได้ถึงความเงียบสงัด และความรู้สึกสงบจากเสียงที่วุ่นวายนั้น
“หลิงหยุน.. เธอรออยู่ที่นี่ก่อน ฉันจะไปซื้อเครื่องหอมสําหรับบูชาก่อน” มู่หลงเฟยจื่อปล่อยมือจากแขนของหลิงหยุนพร้อมกับพูดด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ
หลิงหยุนพยักหน้าเล็กน้อย และจัดการเปิดจิตหยั่งรู้ของตนเองออกสํารวจดูรอบๆบริเวณวัด เขาเห็นผู้คนเดินขึ้นเขามามากมายซึ่งมีทั้งฆารวาสและนักบวช และการมาสักการะของผู้คนมากมายนี้เอง ทําให้วัดหลิงเจี๋วยแห่งนี้มีรายได้เข้าวัดมากมายจากการจําหน่ายเครื่องสักการะบูชา
หลิงหยุนเห็นพระพุทธรูปเรียงรายอยู่ภายในวัดมากมายเช่นกัน มีทั้งพระพุทธรูปยืนและนั่ง ทุกองค์ต่างดูเหมือนกับมีชีวิตจริงๆ และชวนให้เลื่อมใสศรัทธาอย่างมาก แต่มีสิ่งหนึ่งที่หลิงหยุนสัมผัสได้นั่นก็คือ พลังพุทธะที่แพร่กระจายอยู่ภายในวัดแห่งนี้ ล้วนแล้วแต่มาจากพระพุทธรูปเหล่านี้
หลิงหยุนยกมือซ้ายขึ้นมองดูลูกประคําโพธิในมือ ก็เห็นว่ามันกําลังดูดซับเอาพลังพุทธะเข้าไปอย่างรวดเร็ว และแสงสีเขียวก็ค่อยๆชัดเจนมากยิ่งขึ้น ทําให้หลิงหยุนรู้สึกอัศจรรย์ใจไม่น้อย
ไม่นาน มู่หลงเฟยจ๋อก็เดินถือเครื่องบูชากลับมาเต็มสองมือ!
“ผมช่วยถือ…”
“ไม่ได้”
หลิงหยุนเห็นมู่หลงเฟยจื่อสวมชุดสีแดงเพลิงถือของพะรุงพะรังมาจนดูน่าขัน จึงต้องการจะช่วย แต่เธอกลับปฏิเสธด้วยสีหน้าจริงจัง
หลิงหยุนตามมู่หลงเฟยจื่อเข้าไปจุดธูปไหว้พระด้านใน และไม่เว่าเธอทําอะไร หลิงหยุนก็ทําตามทุกอย่าง จนกระทั่งทั้งคู่เดินเข้าไปในบริเวณที่เรียกว่าอุโบสถของวัด
หลิงหยุนใช้จิตหยังรู้สสํารวจดู แต่ก็ไม่พบสิ่งใด
แต่สิ่งที่ทําให้เขารู้สึกหวาดกลัวมากก็คือพระพุทธรูปองค์สูงใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางอุโบสถนั่นเอง!
หลังจากที่สักการะพระพุทธรูปจนเครื่องสักการะหมดแล้ว มู่หลงเฟยจ๋อก็หันไปบอกหลิงหยุนว่าเธอต้องการไปพบหลวงจีนรูปหนึ่งที่เคยทํานายเรื่องการแต่งงานของเธอไว้
“ที่ใหน?” หลิงหยุนถามขึ้น
“ด้านหลังของวัดหลิงเจิ๋วย!”