บทที่ 668 : เป็นเจ้าจริงๆ!

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

บทที่ 668 : เป็นเจ้าจริงๆ!

 

วัดหลิงเจี๋วยนั้นเป็นวัดที่เก่าแก่และใหญ่มากแห่งหนึ่ง ตามประวัติศาสตร์บอกไว้ว่าวัดแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ยุคสมัยหนานเปยเฉา (หรือที่เรียกกันว่ารัฐเหนือใต้)

 

รูปแบบสถาปัตยกรรมของวัดหลิงเจี๋วยนั้น ถูกออกแบบเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ภายในอุโบสถประดิษฐานไว้ด้วยพระพุทธรูปขนาดใหญ่ และมีการสร้างหอพระไตรปิฏกซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของศาสนาพุทธไว้ในบริเวณวัดด้วย

 

ตามทางเดินตรงกลางนั้น สามารถเชื่อมต่อกับอาคารต่างๆได้ทั้งด้านหน้า และด้านหลัง

 

หลิงหยุนและมู่หลงเฟยจื่อจึงเดินทะลุอุโบสถผ่านเข้าไปทางหอพระไตรปิฎก จากนั้นอีกไม่นานทั้งคู่ก็เดินไปถึงลานด้านหลังที่มู่หลงเฟยจื่อพูดถึง

 

ทันทีที่ไปถึงลานด้านหนังนั้น หลิงหยุนถึงกับหัวเราะออกมา เพราะลานด้านหลังของวัดหลิงเจี๋วยนั้นที่แท้ก็คือบริเวณสุสานนั่นเอง

 

บริเวณด้านหลังของวัดหลิงเจี๋วยนั้น นอกจากจะเป็นสุสานแล้ว ยังเป็นที่พํานักของเหล่าภิกษุในวัดอีกด้วย ดังนั้นบริเวณดังกล่าวจึงเป็นสถานที่ปิด และไม่เปิดให้คนภายนอกเข้าชมภายในจึงค่อนข้างสงบเงียบ เยือกเย็น และไม่วุ่นวาย

 

เมื่อทั้งคู่เดินมาถึงที่ประตูทางเข้า มู่หลงเฟยชื่อก็เดินเข้าไปพูดคุยกับหลวงจีนหนุ่มรูปหนึ่งที่ทําหน้าที่เฝ้าประตูอยู่

 

“นมัสการค่ะท่าน คือฉันมาขอพบท่านอาจารย์เฉวียนจื้อ”

 

หลวงจีนหนุ่มหันไปบอกกับหนุ่มสาวที่แต่งตัวเรียบร้อยว่า “ประสกทั้งสองกลับไปเถิด! วันนี้ท่านอาจารย์เฉวียนจื้อไม่รับแขก…”

 

ดวงตาของมู่หลงเฟยจื่อฉายแววผิดหวังขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่ก็ยังไม่ยอมแพ้! เธออ้อนวอนต่อว่า

 

“รบกวนท่านช่วยไปเรียนท่านอาจารย์เฉวียนจื้อว่าฉัน – มู่หลงเฟยจื่อ แห่งตระกูลมู่หลงมาขอพบจะได้มั้ยคะ?”

 

มู่หลงเป็นฉีกับท่านอาจารย์เฉวียนจื้อนั้นเป็นสหายที่ใกล้ชิดสนิทสนมกัน มู่หลงเวิ่นฉีนั้นจะหาเวลามาที่วัดหลิงเจี๋วยนี้ทุกเดือน และมักจะมานั่งพูดคุยสนทนาธรรมกับท่านอาจารย์เฉวียนจื้ออยู่เสมอๆ ดังนั้นผู้หลงเฟยจื่อจึงรู้จัก และคุ้นเคยกับหลวงจีนรูปนี้เป็นอย่างดี

 

เมื่อครั้งที่มู่หลงเฟยจื่ออายุสิบแปดปี มู่หลงเวิ่นฉีก็ได้พาเธอมาขอพรเรื่องการแต่งงานที่วัดแห่งนี้ ท่านอาจารย์เฉวียนซื้อก็ได้ทําพิธีให้กับเธอเช่นกัน แต่ตอนนั้นมู่หลงเวิ่นฉีไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ และไม่ได้ใส่ใจมากนัก แต่ในเมื่อตอนนี้เป็นจริงขึ้นมาแล้ว เธอจึงอยากจะมากราบขอบคุณท่านอาจารย์เฉวียนจื้อด้วยตัวเอง

 

ส่วนหลิงหยุนที่ยืนนิ่งอยู่หน้าประตูนั้น ก็ได้ใช้จิตหยั่งรู้สํารวจดูบริเวณภายในสุสานแล้ว สีหน้าของเขาถึงกับเปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อพบว่า ภายในห้องสี่เหลี่ยมว่างเปล่าที่อยู่ทางด้านทิศตะวันออกนั้น มีเพียงหลวงจีนชรารูปหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนอาสะเท่านั้น

 

หลวงจีนชรารูปนั้นสวมจีวรสีเทานั่งขัดสมาธิอยู่บนอาสนะด้วยสีหน้าที่สงบนิ่ง มือข้างหนึ่งกําลังนับลูกประคํา ส่วนริมฝีปากก็ขยับไปมาคล้ายกําลังท่องบ่นอะไรอยู่

 

จะไม่ให้สีหน้าของหลิงหยุนเปลี่ยนไปได้อย่างไรกัน… ในเมื่อเขาไม่สามารถมองเห็นขั้นกําลังภายในของหลวงจีนชราที่กําลังนั่งสวดมนต์นั้น!

 

แม้ว่าหลวงจีนชรารูปนี้จะดูเหมือนกับภิกษุธรรมดาทั่วไป แต่หลิงหยุนเชื่อมั่นว่าเขาต้องไม่ใช่ภิกษุธรรมดาสามัญอย่างแน่นอน และกําลังภายในของเขานั้นก็น่าจะอยู่ในขั้นเซียงเทียน-6 ด้วยซ้ำไป!

 

ในวัดหลิงเจี๋วยมียอดฝีมือระดับนี้อยู่เชียวหรือ?!

 

ระหว่างทางที่เดินขึ้นเขามานั้น หลิงหยุนก็ได้เปิดจิตหยั่งรู้ของตนเองเพื่อสํารวจดูว่าในบริเวณวัดหลิงเจี๋วยแห่งนี้มียอดฝีมืออยู่บ้างหรือไม่? แต่เขาก็ต้องผิดหวัง! เพราะไม่เพียงไม่มียอดฝีมือที่เก่งกาจ แม้แต่ผู้ที่ฝึกกําลังภายในถึงขั้นโฮวเทียนยังหาไม่ได้เลยแม้แต่คนเดียว แต่กลับคิดไม่ถึงว่า.. เมื่อเดินมาถึงบริเวณสุสานที่อยู่ด้านหลังของวัดกลับพบเจอยอดฝีมือระดับเยี่ยมยุทธ!

 

ตั้งแต่หลิงหยุนกลับมาจุติอีกครั้งบนโลกใบนี้จนถึงตอนนี้ เขาได้พบฆราวาสที่สามารถเรียกว่ายอดฝีมือได้เต็มปากเพียงแค่สามคนเท่านั้น ซึ่งก็คือฉินตงเฉี่วย หลิวซุ่ยเฟิง และธิดาพรรคมาร

 

ฉินตงเฉีวยนั้นอยู่ในระดับสูงสุดของขั้นเซียงเทียน-4 หลิวชุ่ยเพิ่งนั้นอยู่ในระดับเริ่มต้นของขั้นเซียงเทียน-5 ส่วนธิดาพรรคมารนั้นหลิงหยุนไม่สามารถบอกได้ว่านางอยู่ในขั้นใด

 

และแน่นอนว่า สําหรับหลิงหยุนกับไปเชียนเอ๋อนั้น ย่อมต้องนับว่าเป็นยอดฝีมือเช่นกัน!

 

และสําหรับนักบวชที่มีวรยุทธสูงส่งนั้น หลิงหยุนก็พบเห็นเพียงแค่สองรูปเท่านั้นซึ่งก็คือหลวงจีนมี่ชิงรูปหนึ่ง ส่วนอีกรูปหนึ่งก็คือหลวงจีนสิงฉี หลวงจีนรูปแรกถูกหลิงหยุนสังหารตาย ส่วนรูปที่สองปลิดชีพตนเองต่อหน้าหลิงหยุน

 

เวลานี้หลิงหยุนได้พบหลวงจีนซึ่งเป็นยอดฝีมืออีกหนึ่งรูปแล้ว และดูเหมือนว่ากําลังภายในของเขานั้นจะล้ำลึกอย่างมากเลยทีเดียว เพราะแม้แต่หลิงหยุนก็ไม่สามารถเห็นได้ เช่นนี้แล้วจะไม่ให้หลิงหยื่นรู้สึกตกใจได้อย่างไรกัน?

 

หลิงหยุนเชื่อว่า หากนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ก็ต้องเป็นความประสงค์ของท่านอาจารย์ผู้ลึกลับของมู่หลงเฟยจื่ออย่างแน่นอน!

 

หลิงหยุนได้แต่แอบตกใจว่าอีกฝ่ายนั้นไม่ได้แข็งแกร่งน้อยไปกว่าตนเองเลย เขามองมู่หลงเฟยจื่อที่กําลังอ้อนวอนหลวงจีนหนุ่ม แล้วจึงพูดขึ้นว่า..

 

“พี่มู่หลง ในเมื่อวันนี้หลวงจีนเฉวียนจื้อไม่สะดวกรับแขก พวกเราค่อยมาใหม่พรุ่งนี้ก็ได้!”

 

หลิงหยุนเองก็ไม่ต้องการเข้าไปยุ่งเกี่ยว หรือว่าข้องแวะกับพุทธศาสนามากนัก และอยากจะรีบกลับออกไปมากกว่า

 

แต่เพียงแค่หลิงหยุนพูดจบเท่านั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมา

 

“อามิตตาพุทธ ข้าไม่รู้ว่าจะมีแขกมาเยี่ยมเยียนในวันนี้ หลวงจีนชราเช่นข้าช่างไร้มารยาทนัก เชิญประสกทั้งสองเข้ามาข้างในเถิด…”

 

แม้น้ำเสียงจะมีร่องรอยของความแก่ชรา แต่ก็ดังกังวานใสราวกับเสียงระฆัง และยังทรงพลังอย่างน่ากลัวอีกด้วย!

 

หลิงหยุนใช้จิตหยั่งรู้สํารวจดูอีกครั้งจึงพบว่า หลวงจีนชรานั้นใช้มือข้างหนึ่งยันตัวเองขึ้นจากพื้น ลักษณะท่าทางการเคลื่อนไหวและการลุกนั่งของเขานั้น ไม่ได้แตกต่างจากคนสูงอายุธรรมดาๆเลย

 

เมื่อหลวงจีนหนุ่มได้ยิน เขาก็รีบเปิดประตูออกและบอกกับมู่หลงเฟยจื่อว่า “ท่านอาจารย์เฉวียนจื้อเชิญประสกทั้งสองเข้าไปด้านใน…”

 

มู่หลงเฟยจื่อยิ้มสดใสพร้อมกับเอ่ยขอบคุณ “ขอบคุณท่านมากค่ะ…”

 

จากนั้นมู่หลงก็รีบดึงมือหลิงหยุนเข้าไปด้านในทันที หลิงหยุนได้แต่ยิ้มและเดินตามเข้าไปอย่างช่วยไม่ได้

 

เมื่อทั้งคู่เข้าไปถึงก็เห็นหลวงจีนชรารูปหนึ่งเดินออกมาจากกุฏิพอดี หลวงจีนชราจ้องมองหลิงหยุนด้วยแววตาสดใสก่อนจะยิ้มให้เขาและมู่หลงเฟยจื่อที่เพิ่งเดินเข้ามา

 

“ท่านอาจารย์เฉวียนจื้อ..”

 

ทันทีที่เห็นหลวงจีนเฉวียนจื้อ มู่หลงเฟยชื่อก็รีบเอ่ยทักทาย และปล่อยมือจากแขนของหลิงหยุนทันที ใบหน้าของเธอแดงระเรื่อ และสองมือประสานกันทําความเคารพหลวงจีนเฉวียนจื้อทันที

 

หลวงจีนเฉวียนจื้อรีบโบกมือพร้อมกับพูดอย่างยิ้มๆ “เฟยจื่อ.. ไม่ต้องพิธีรีตรองมากนัก! ทุกวันนี้ชาที่ข้าดื่มก็มีแต่ปูของเจ้าส่งมาให้ ขึ้นเรื่องมาก.. วันหลังข้าคงไม่มีชาจะดื่มแล้วล่ะ”

 

“ท่านอาจารย์เฉวียนจื้อล้อหนูเล่นอีกแล้ว…” มู่หลงเฟยจื่อยิ้มอายๆ

 

ส่วนหลิงหยุนยังคงยืนนิ่งไม่พูดไม่จา..

 

“เข้าไปในกุฏิของอาตมากันก่อนจะดีกว่า”

 

ท่านอาจารย์เฉวียนจื้อร้องเรียกหนุ่มสาวทั้งสองคนให้เข้าไปในกุฏิของตนเอง หลังจากนั่งลงแล้ว. หลวงจีนหนุ่มก็เดินถือชาเข้ามาตามคําสั่ง หลวงจีนชราจ้องลึกเข้าไปในดวงตาของหลิงหยุนก่อนจะถามยิ้มๆ

 

“ไม่ทราบว่าประสกท่านนี้”

 

“ข้าชื่อหลิงหยุน” หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อย และตอบไปตามความจริงไม่อ้อมค้อม

 

“อะไรนะ? หลิงหยุนงั้นรึ?!”

 

ทันทีที่ได้ยินชื่อ “หลิงหยุน” แววตาของหลวงจีนชราก็เปลี่ยนไปทันที เขาผุดขึ้นสุดลงอยู่เช่นนั้นก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาหลิงหยุน

 

หลวงจีนชรามีสีหน้าท่าทางตกอกตกใจราวกับพบเห็นภูตผีปีศาจ เขาดูคล้ายคนกําลังงุนงงสับสนจนพูดอะไรไม่ออก

 

หลิงหยุนกับมู่หลงเฟยจ๋อต่างก็หันไปมองหน้ากัน จากนั้นหลิงหยุนจึงเอ่ยถามออกไปว่า “มีอะไรงั้นรึ? ท่านเคยได้ยินชื่อของข้ามาก่อนหรือยังไง?”

 

หลิงหยุนได้แต่แอบคิดอยู่ในใจว่า หลวงจีนเฉวียนจื้อผู้นี้มีกําลังภายในสูงส่ง เรื่องราวที่แม่ของเขามาพบเขาที่วัดแห่งนี้เมื่อสิบแปดปีก่อนนั้น หลวงจีนรูปนี้น่าจะอยู่ในเหตุการณ์ และอาจจะรู้เรื่องราวดีก็เป็นได้

 

“ไม่.. เป็นไปไม่ได้”

 

มู่หลงเฟยจอมองท่านอาจารย์เฉวียนจื้อที่เธอนับถือด้วยแววตาประหลาดใจ ท่านอาจารย์เฉวียนจื้อพึมพํากระอีกกระอัก แล้วจึงค่อยๆนั่งลงอย่างช้าๆ

 

มู่หลงเฟยจื่ออดรนทนไม่ได้ จึงรีบร้องถามออกไปว่า “ท่านอาจารย์คะ.. หลิงหยุนเป็นแฟนของฉันเอง แล้วที่ท่านบอกว่าเป็นไปไม่ได้นั้น หมายความว่ายังไงเหรอคะ?! ท่านอาจารย์ได้ยินที่ฉันถามมั้ยคะ?!”

 

“เฟยจื่อ.. ขอโทษที่ข้าแสดงกิริยาไม่ดีออกไป”

 

หลังจากตําหนิตัวเองไปแล้ว หลวงจีนเฉวียนซื้อก็หันไปพูดกับหลิงหยุนว่า “หลิงหยุน.. ข้ามคําถามบางคําถาม ไม่ทราบว่าจะถามเจ้าดีหรือไม่?”

 

หลิงหยุนตอบกลับไปยิ้มๆ “เชิญท่านถามมาได้เลย…”

 

ตอนนี้เขาเองก็รู้แล้วว่าตนเองเป็นทายาทของตระกูลหลิง และแม่แท้ๆของเขาก็คือธิดาพรรคมารคนก่อน และฉินจิวยื่อก็คือคนของตระกูลฉิน ต่อหน้าคนที่รู้เรื่องราวของเขาหลิงหยุนจึงไม่จําเป็นต้องปกปิดฐานะของตนเองอีก

 

จากนี้ไป.. หลิงหยุนไม่เพียงต้องดูแลตระกูลหลิง แต่ยังต้องดูแลตระกูลฉินด้วย อีกทั้งตอนนี้ทั้งสองตระกูลก็กําลังตกต่ำ และเป็นเหมือนภาระหนักอึ้งที่เขาต้องแบกไว้บนบ่า ดังนั้นต่อหน้าหลวงจีนเฉวียนจื้อ เขาจําเป็นต้องแสดงความเป็นผู้นําออกมาให้เห็น

 

ยิ่งไปกว่านั้น หลิงหยุนยังมั่นใจว่าหลวงจีนเฉวียนจื้อจะต้องรู้เรื่องราวเมื่อสิบแปดปีก่อนและเขาก็ต้องการสอบถามความจริงบางอย่างจากหลวงจีนชรารูปนี้ อย่างเช่นเรื่องที่เขาถูกฉินจิวยื่อพบเจอที่วัดหลิงเจี๋วยแห่งนี้ เหตุใดจึงต้องเป็นที่นี่ ไม่ใช่ที่อื่น? และนี่เป็นคําถามที่ค้างคาใจหลิงหยุนมานาน..

 

“หลิงหยุน.. ข้าขอถามว่าปัจจุบันแม่ของเจ้าแซ่ฉันใช่หรือไม่?” หลวงจีนเฉวียนจื้อถามอย่างไม่คิดที่จะปิดบังอะไรอีก

 

หลิงหยุนได้แต่พยักหน้าพร้อมกับตอบไปว่า “ถูกต้องแล้ว! แม่ของข้าแซ่ฉิน ชื่อว่าจิวยื่อ – ฉินจิวยื่อ”

 

หลวงจีนเฉวียนจื้อถึงกับอึ้งไปในทันที..

 

แม้แต่มู่หลงเฟยจื่อเองก็ถึงกับตกใจเช่นกัน เขาจ้องมองหลวงจีนเฉวียนจื้อและหลิงหยุนสลับกันไปมา และถามขึ้นว่า

 

“อาจารย์เฉวียนจื้อ ท่านรู้ได้ยังไงคะ?”

 

หลวงจีนเฉวียนจื้อเอาแต่ส่ายหน้าและพูดว่า “ไม่น่าเชื่อ…”

 

หลิงหยุนเป็นฝายตอบมู่หลงเฟยจื่อไปว่า “พี่มู่หลง มีบางเรื่องที่คุณอาจจะยังไม่รู้.. เมื่อสิบแปดปีก่อน แม่ของผมเก็บผมมาจากวัดหลิงเจี๋วยแห่งนี้”

 

หลิงหยุนเล่าอย่างสบายๆ อีกทั้งเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ความลับอะไร ทุกอย่างมีบันทึกไว้ที่สํานักงานรักษาความมั่นคง จึงไม่จําเป็นที่เขาจะต้องปกปิดอะไร?

 

เวลานี้หลิงหยุนได้แต่คิดในใจว่า คงต้องวัดใจดูว่าหลวงจีนเฉวียนจื้อรูปนี้จะเป็นศัตรู หรือว่าเป็นมิตรของเขากันแน่? และหากเป็นศัตรู หลิงหยุนก็ไม่ลังเลที่จะสังหารหลวงจีนชรานี้ทันทีเช่นกัน

 

มู่หลงเฟยจื่อถึงกับตกใจจนแทบช็อค! เธอคิดไม่ถึงว่าชีวิตของหลิงหยุนจะแปลกประหลาดเช่น

 

“ใช่แล้ว เป็นเจ้าจริงๆด้วย!”

 

ทันทีที่ได้ยินคําบอกเล่าของหลิงหยุน สีหน้าของหลวงจีนเฉวียนซื้อก็เปลี่ยนไปทันที ใบหน้าของเขาแดงก่ำ และกระโจนลุกขึ้นจากเก้าอี้พร้อมกับร้องอุทานออกมาอย่างตื่นเต้น