บทที่ 669 : คืนฝนตกเมื่อสิบแปดปีก่อน!
หลังจากที่ได้รับการยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นคือหลิงหยุนหลวงจีนเฉวียนจื้อก็มีท่าทางตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด และไม่ลังเลที่จะเผยตัวตนที่แท้จริงต่อหน้าหลิงหยุน ลมปราณที่เก็บซ่อนไว้ได้พวยพุ่งออกมาจนจีวรของหลวงจีนชราปลิวไสว
หลิงหยุนยังคงนั่งนิ่งจ้องมองหลวงจีนชราด้วยสีหน้าท่าทางที่สงบเป็นปกติ ถึงแม้ว่าดวงตาของหลิงหยุนจะสงบนิ่ง แต่ฝ่ามือของเขาก็เอื้อมไปตบบ่าของมู่หลงเฟยจื่ออย่างอ่อนโยนเพื่อเป็นการปลอบปะโลมว่าไม่มีอะไรน่ากังวล..
นั่นเพราะหลิงหยุนสัมผัสได้ว่า ภายใต้ท่าทางตื่นเต้นของหลวงจีนเฉวียนจื้อนั้น ไม่มีร่องรอยหรือวี่แววของการจ้องโจมตี และไม่มีรังสีสังหารแผ่ออกมาจากร่างของหลวงจีนชรารูปนี้เลยแม้แต่น้อย
“ประสกมู่หลง.. อาตมามีเรื่องต้องคุยกับประสกหนุ่มท่านนี้เพียงลําพัง เจ้านั่งคอยอยู่ที่นี่ประเดี๋ยวจะได้หรือไม่?” หลวงจีนเฉวียนจือมองมู่หลงเฟยจื่อพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงที่ยังคงสั่นเล็กน้อย
มู่หลงเฟยจื่อตัดสินใจไม่ถูกจึงได้แต่หันไปมองหน้าหลิงหยุน หลิงหยุนลุกขึ้นยืนพร้อมกับพูดออกไปว่า
“คุณรอผมอยู่ที่นี่เดี๋ยวนะ”
จากนั้นทั้งหลิงหยุนและหลวงจีนเฉวียนซือก็เดินออกจากกุฏิไปท่ามกลางสายตาที่งุนงง และตกตะลึงของมู่หลงเฟยจื่อ
ทั้งคู่เดินตรงเข้าไปยังกุฏิที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง และเมื่อหลิงหยุนเดินเข้าไปด้านในแล้ว หลวงจีนเฉวียนจื้อก็ค่อยๆปิดประตูอย่างระมัดระวัง
หลังจากที่เดินเข้าไปนั่งนิ่งอยู่กลางห้องแล้ว หลิงหยุนก็ใช้กระแสจิตถามหลวงจีนชราว่า
ท่านเฉวียนจื้อ. ท่านคือหนึ่งในผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์คืนพายุฝนเมื่อสิบแปดปีก่อนใช่หรือไม่?
แต่หลวงจีนเฉวียนจื้อกลับส่ายหน้าไปมาช้าๆ “คืนนั้นข้าไม่ได้อยู่ที่วัดหลิงเจิ๋วย…”
“แล้วเหตุใดท่านจึงรู้เรื่องราวของข้าได้ละเอียดนัก?”
แววตาของหลวงจีนเฉวียนจื้อปรากฏร่องรอยของความทุกข์ระทม ริมฝีปากเม้มแน่นพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะพูดขึ้นว่า
“ประสกหลิงหยุน เรื่องของเจ้านั้น เป็นศิษย์พี่ของข้า – เฉวียนหมิงเล่าให้ข้าฟังด้วยตัวเอง”
หลังจากพูดจบ.. หลวงจีนเฉวียนซือก็ไม่ปกปิดกําลังภายในของตนเองอีก เพราะเขาเองก็เห็นกําลังภายในของหลิงหยุนเช่นกัน เพียงแค่พริบตาเดียวร่างของเขาก็เคลื่อนเข้าไปใกล้หลิงหยุน
หลิงหยุนนั่งนิ่งอย่างไม่รู้สึกหวาดกลัวพร้อมกับถามขึ้นว่า “ขอท่านได้โปรดเล่าเหตุการณ์ในคืนวันนั้นให้ข้าฟังด้วยเถิด!”
เพราะเหตุการณ์ในคืนนั้นไม่เพียงเกี่ยวข้องกับแม่ของหลิงหยุน แต่ยังเกี่ยวพันไปถึงตระกูลหลิงของเขาอีกด้วย เขาจึงต้องการรู้รายละเอียดและความจริงเป็นอย่างมาก
เวลานี้ หลวงจีนเฉวียนซือไม่มีความจําเป็นต้องปิดบังอะไรอีก เขาพยักหน้าเล็กน้อยพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“คิดไม่ถึงว่าสหายน้อยจะเติบโตมาเป็นผู้ที่มีกําลังภายในสูงส่งถึงเพียงนี้ เรื่องใดที่หลวงจีนชราอย่างข้ารู้ ก็จะเล่าให้กับประสกฟังจนหมด!”
จากนั้นหลวงจีนเฉวียนซือก็ใช้กระแสจิตเล่าเรื่องทั้งหมดที่เขารู้มาให้หลิงหยุนฟัง
ในคืนที่พายุฝนตกหนักเมื่อสิบแปดปีที่แล้ว
หลวงจีนเฉวียนหมิงได้นั่งสมาธิอยู่ในกุฏิของตนเอง แต่แล้วจู่ๆ ก็ได้ยินเสียงต่อสู้กันอย่างดุเดือดดังขึ้นที่ด้านนอกวัดหลิงเจี๋วย
ตอนนั้น. หลวงจีนเฉวียนหมิงอยู่ในระดับสูงสุดของขั้นเซียงเทียน-5 เขาจึงสัมผัสได้ว่ายอดฝีมือที่ต่อสู้กันอยู่ด้านนอกวัดนั้น ล้วนเป็นผู้ที่มีวรยุทธและกําลังภายในสูงส่งทั้งคู่ จึงได้แต่คิดในใจว่าจะต้องออกไปดูให้เห็นกับตาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? เมื่อคิดได้เช่นนั้นจึงใช้วิชาตัวเบากระโจนออกนอกกุฏิไปทันที
และเมื่อไปถึง.. เขาก็เห็นยอดฝีมือสองคนกําลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดอยู่ในหน้าผาสูงชันนอกวัดหลิงเจี๋วย ทั้งคู่ต่างก็ซัดฝามือเข้าใส่กันอย่างรุนแรง
ยอดฝีมือทั้งสองคนล้วนแต่งกายชุดดํา และมีผ้าคลุมปิดบังใบหน้า จากรูปร่างของคนทั้งคู่ทําให้พอจะคาดเดาได้ว่าคนหนึ่งเป็นชายร่างสูงผอม และมีช่วงแขนที่ยาวอย่างน่าประหลาด ส่วนอีกคนเป็นหญิงรูปร่างบอบบบางอ้อนแอ้น แต่มีวิชาตัวเบาเป็นเลิศ
แต่ดูเหมือนวรยุทธของจอมยุทธหญิงจะไม่สามารถสู้จอมยุทธชายได้ จึงถูกทําร้ายจนได้รับบาดเจ็บสาหัส และกําลังตกอยู่ในอันตราย
หลวงจีนเฉวียนหมิงไม่เพียงมีกําลังภายในที่สูงส่ง แต่ยังเคยพบเห็นจอมยุทธ และยอดฝีมือมามากมาย เพียงแค่ได้เห็นวรยุทธของคนทั้งคู่ ก็รู้ได้ทันทีว่าพวกเขาทั้งสองคนล้วนเป็นยอดฝีมือของพรรคมาร
แต่สิ่งหนึ่งที่หลวงจีนเฉวียนหมิงไม่รู้ก็คือว่า เหตุใดในคืนที่มีพายุฝนกระหน่ำอย่างหนักนั้น จึงได้มียอดฝีมือของพรรคมารมาปรากฏตัวอยู่นอกวัดหลิงเจี๋วยได้? เพราะโดยปกติแล้ว การจะได้พบเห็นยอดฝีมือของพรรคมารนั้น เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากยิ่งนัก!
แต่ระหว่างที่ซุ่มดูเหตุการณ์อยู่ครู่ใหญ่ และจากบทสนทนาของชายและหญิงชุดดํานั้น ทําให้หลวงจีนเฉวียนหมิงพอจะคาดเดาได้ว่า การต่อสู้อย่างดุเดือดในคืนพายุฝนกระหนํานั้นล้วนเกิดจากเด็กทารกคนหนึ่ง
ชายชุดดําได้ติดตามหญิงชุดดํามาที่วัดหลิงเจี๋วยแห่งนี้ แต่เมื่อรู้ตัวว่าตนเองถูกหลอก และพยายามถามหาเด็กทารกผู้นั้น และเมื่อไม่ได้คําตอบจึงรู้สึกโกรธมาก และต้องการจัดการกับหญิงชุดดำให้ได้
หลวงจีนเฉวียนหมิงได้ยินเสียงร้องตะโกนของหญิงชุดดํา..
“ซือกงถู… ในเมื่อเจ้าได้แอบทําลายเส้นลมปราณหยางเจี๋วยของเด็กน้อยไปแล้ว และเขาคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกินยี่สิบปีเท่านั้น เหตุใดเจ้ายังต้องการใจคอโหดเหี้ยมไม่ยอมปล่อยเขาไปอีก! เจ้าก็รู้นี่ว่าเขาคือบุตรชายแท้ๆของท่านเทพธิดา!”
ซือกงถูตอบกลับด้วยเสียงที่เย็นชาและเต็มไปด้วยความเหยียดหยัน “ก็เพราะเด็กนั่นมีสายเลือดที่ชั่วร้ายอยู่ในตัวยังไงล่ะ! ต่อให้เป็นบุตรชายของท่านเทพธิดา ข้าก็ต้องสังหารมันด้วยมือข้าเอง!”
“ธิดาพรรคมารแอบสั่งให้เจ้าพาเด็กนั่นออกมา เพื่อหวังให้มันได้มีชีวิตเติบโตอยู่ในโลกภายนอกอย่างเงียบๆ เจ้าอย่าได้ฝันไปเลย!”
ร่างของหญิงชุดดําสั่นเทิ้มด้วยความโกรธ นางร้องตะโกนสาปแช่งชายชุดดําเสียงดัง
“เจ้ามันสารเลว! นี่เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะไปรายงานให้ท่านเทพธิดารู้หรือยังไง? หากนางรู้เข้า นางต้องจัดการเผาจนเจ้ากลายเป็นเถ้าถ่านแน่!”
ตอนนั้น ซือกงถูได้เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า และปล่อยให้พายุฝนซัดสาดเข้าสู่ใบหน้าของตนเองพร้อมกับหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง
“ฮ่า ฮ่า เทพธิดาของเจ้านะที่จะเผาข้าเป็นเถ้าถ่าน! วันนี้พวกเจ้าสองคนไม่ได้อยู่ด้วยกัน ข้ามั่นใจว่าเจ้าไม่มีทางมีชีวิตรอดไปถึงวันพรุ่งนี้แน่!”
“หลวงจีน.. เจ้ายังจะแอบอยู่ทําไม? ออกมาได้แล้ว!” ซือกงถร้องเรียกหลวงจีนเฉวียนหมิงให้ออกมา
แม้จะรู้ดีว่าสถานการณ์เริ่มเลวร้าย แต่ในเมื่อถูกจอมยุทธชายของพรรคมารพบเห็นเข้าแล้ว หลวงจีนเฉวียนหมิงก็ไม่มีทางเลือกจําต้องปรากฏตัว และเลือกที่จะช่วยจอมยุทธหญิงพรรคมารรับมือกับซือกงยู
แต่เพราะกําลังภายในที่แตกต่างกันมาก แม้แต่กําลังภายในระดับสูงสุดของขั้นเซียงเทียน-5 นั้น ยังไม่อาจเทียบเท่ากับจอมยุทธหญิงที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสอยู่ในตอนนั้นเลย ทั้งคู่ต่างก็ช่วยกันต่อสู้กับชายชุดดําอย่างไม่ลดละ แต่ถึงกระนั้น ทั้งคู่ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของซือกงถูอยู่ดี!
แต่ด้วยไหวพริบและความเฉลียวฉลาดของหลวงจีนเฉวียนหมิง ทําให้จอมยุทธหญิงสามารถชัดฝามือเข้าที่กลางลําตัวของซือกงถูได้ถึงสามครั้งจนได้รับบาดเจ็บสาหัสไม่น้อย แต่จอมยุทธหญิงเองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสเพราะซือกงถูเช่นกัน และถึงกับกระอักออกมาเป็นเลือด
จอมยุทธหญิงผู้นั้นนับว่าเฉลียวฉลาดอย่างที่สุด ระหว่างที่ต่อสู้กับซือกงถูอย่างดุเดือดนั้น นางก็ได้ส่งกระแสจิตบอกที่ซ่อนของเด็กทารกให้หลวงจีนเฉวียนหมิงรู้ และได้บอกให้เขารีบหนีไปเพื่อช่วยเหลือเด็กทารกให้ปลอดภัยก่อน
และแน่นอนว่า.. เด็กทารกคนนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากหลิงหยุน!
และเพื่อเปิดโอกาสให้หลวงจีนเฉวียนหมิงหลบหนีออกไปได้ จอมยุทธหญิงจึงต้องเอาตัวเองเข้าจู่โจม และเป็นโล่ป้องกันให้กับหลวงจีนเฉวียนหมิง จนเขาสามารถหลบหนีออกไปได้
หลวงจีนเฉวียนหมิงไม่สามารถทนเห็นจอมยุทธหญิงผู้นั้นถูกซือกงถูสังหารได้ก็จริง แต่เขาก็รู้ดีว่าขึ้นตนเองยังอยู่ที่นี่ต่อไป ก็ต้องถูกซือกงถูสังหารตายทั้งคู่อย่างแน่นอน เพราะตัวเขาเองก็ไม่สามารถสู้ซือกงถได้ ในเมื่อไม่มีทางเลือกอื่น หลวงจีนเฉวียนหมิงจึงตัดสินใจหลบหนีออกมาเพื่อช่วยหลิงหยุนไว้ก่อน
หลวงจีนเฉวียนหมิงอาศัยจังหวะที่ทั้งคู่ต่อสู้กันนั้นกระโดดหนีออกไปกลางอากาศ แต่ระหว่างที่หลบหนีออกมานั้น เขาก็ได้ยินเสียงร้องตะโกนที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้าของจอมยุทธหญิง
“ซือกงถู.. เจ้าคิดจะสังหารข้า – จิงเหยี่ยว มันไม่ง่ายนักหรอก! และยิ่งเจ้าต้องการจะสังหารบุตรชายของท่านเทพธิดาแล้วล่ะก็ ข้ายินยอมแลกชีวิตกับเจ้า!”
จากนั้น หลวงจีนเฉวียนหมิงก็ได้ยินเสียงต่อสู้กันอย่างดุเดือดอีกครั้ง ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องของจิงเหยี่ยว หลวงจีนเฉวียนหมิงถึงกับถอนหายใจออกมา เพราะรู้ดีว่าถึงอย่างไรจึงเหยี่ยวก็ต้องถูกสังหารตายในคืนนี้อย่างแน่นอน!
แล้วเสียงต่อสู้ก็เงียบหายไป..
มีเพียงเสียงของพายุฝนที่ยังคงกระหน่ำลงมาอย่างหนัก หลวงจีนเฉวียนหมิงไม่กล้าแม้แต่จะหันกลับไปมองด้านหลัง เพราะพายุฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างบ้าคลั่งนั้น ทําให้เขาต้องเร่งรีบออกไปช่วยเด็กทารกให้ได้เสียก่อน อีกทั้งเขาเองในเวลานั้นก็ได้รับ
บาดเจ็บสาหัส และรู้ตัวว่าคงจะมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกไม่นานนัก จึงต้องการหาหลิงหยุนให้พบโดยเร็วที่สุด
หลวงจีนเฉวียนหมิงหลบหนีออกมาด้วยความรู้สึกเจ็บปวดอย่างที่สุด และตรงดิ่งไปยังสถานที่ที่จิงเหยี่ยวได้บอกเขาไว้
แต่เมื่อไปถึง.. หลวงจีนเฉวียนหมิงก็ถึงกับตกตะลึง เพราะที่นั่นมีหญิงรูปร่างและใบหน้างดงามมากคนหนึ่ง กําลังยืนใบหน้าซีดเซียวและร่างกายเปียกปอน ในมือที่สั่นเทานั้นได้อุ้มร่างของเด็กคนหนึ่งเอาไว้
แต่ช่างประหลาดนักที่เด็กทารกในอ้อมแขนของนางนั้นกลับนอนนิ่งไม่ร้องไห้ และไม่สร้างปัญหาใดๆเลย ภายในบริเวณนั้นมีเพียงความเงียบสงัด และข้างๆฉินจิวยือก็มีกล่องไม้ยาววางอยู่
หลวงจีนเฉวียนหมิงเห็นเช่นนั้นจึงได้เข้าไปสอบถามเรื่องราว และได้รู้ว่าประสกหญิงท่านนั้นมีนามว่าฉินจิวยื่อ นางขึ้นเขามาเพื่อไหว้พระขอพรจากพุทธองค์
เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนั้น หลวงจีนเฉวียนหมิงจึงขอให้ฉินจิวยื่อช่วยนําหลิงหยุนไปเลี้ยงดู ตอนนั้นฉินจิวยื่อเองก็เพิ่งจะให้กําเนิดหนิงหลิงยู่ นางจึงมีสัญชาติญาณของความเป็นแม่อยู่ อีกทั้งหลิงหยุนเองก็น่าเวทนา นางจึงตกลงรับปากหลวงจีนเฉวียนหมิงไป.
หลวงจีนเฉวียนหมิงรู้ว่าอันตรายยังไม่หมดไป และเกรงว่าคนของพรรคมารจะมาพบเห็นเข้าจึงบอกให้ฉินจิวยอรีบลงจากเขาไปให้เร็วที่สุด ฉินจิวยื่อทําตามอย่างว่าง่าย. นางวางร่างของหลิงหยุนลงในกล่องไม้ แล้วอุ้มกล่องนั่นลงเขาไปทันที
หลวงจีนเฉวียนหมิงรู้ว่าฉินจิวยื่อเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง จึงรู้สึกวางใจไม่น้อย แต่ด้วยความเป็นห่วงว่านางอาจพบเจออันตรายระหว่างทาง ถึงแม้จะได้รับบาดเจ็บสาหัสก็ยังตามไปส่งฉินจิวยื่อจนถึงจิงดู แล้วจึงกลับมาที่วัดหลิงเจี๋วย
ทันทีที่กลับมาถึงที่วัด หลวงจีนเฉวียนหมิงก็ตรงไปยังหน้าผาที่ทั้งสามคนสู้กันก่อนหน้านี้ แต่เขากลับไม่พบร่องรอยอะไรเลย มีเพียงสายฝนที่ยังคงกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย แม้แต่คราบเลือดก็ถูกสายฝนชําระล้างไปจนหมด ไม่พบร่องรอยของซือกงถูและจิงเหยียวแม้แต่น้อย!
ในเวลานั้น หลังจากที่แบกรับอาการบาดเจ็บสาหัสมานาน ร่างกายของหลวงจีนเฉวียนหมิงเองก็เริ่มไม่ไหวแล้วเช่นกัน เขาจึงกลับไปที่กุฏิของตนเอง จากนั้นจึงเริ่มเขียนจดหมายฉบับหนึ่งและเรียกให้คนไปตามศิษย์น้องของเขาซึ่งก็คือหลวงจีนเฉวียนจื้อให้รีบมาพบ..
เมื่อหลวงจีนเฉวียนจื้อมาถึง เขาก็ไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป ในลมหายใจเฮือกสุดท้ายนั้น หลวงจีนเฉวียนหมิงได้มอบทุกอย่างให้กับหลวงจีนเฉวียนจื้อ แล้วสิ้นใจตายในทันที
“จากที่เล่ามา.. จอมยุทธหญิงที่ชื่อจินเหยี่ยวนั้นน่าจะเป็นคนใกล้ชิดของมารดาแท้ๆของประสก และชายที่ชื่อซือกงถูก็น่าจะเป็นผู้ที่มีวรยุทธ์สูงสุดในพรรคมาร ข้าเองก็รีบลงเขาไปเพื่อหาศพของคนทั้งสอง แต่ก็ไม่พบร่องรอยอะไรเลย และไม่รู้ว่าทั้งคู่นั้นยังมีชีวิตอยู่ หรือว่าเสียชีวิตไปแล้ว”
“ศิษย์พี่ของข้าเล่าว่า เส้นลมปราณหยางเจ๋วยของเด็กทารกผู้นั้นถูกทําลาย และยากนักที่จะมีชีวิตอยู่จนถึงอายุยี่สิบปี แต่กลับคิดไม่ถึงว่า.. เวลานี้ไม่เพียงประสกจะมีสุขภาพที่แข็งแรงอย่างมาก แต่ยังมีวรยุทธและกําลังภายในที่ลึกล้ำอีกด้วย แม้แต่หลวงจีนชราอย่างข้ายังไม่สามารถดูออก!”
หลวงจีนเฉวียนจื้อสูดลมหายใจเข้าลึก ในขณะที่หลิงหยุนกํามือและขบฟันแน่น แววตาทั้งคู่ของเขาก็เต็มไปด้วยความเคียดแค้นรุนแรง..
หลังจากนิ่งไปครู่ใหญ่ หลิงหยุนจึงยืดอกขึ้น และค่อยๆโน้มตัวลงเล็กน้อยพร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า
“ขอบคุณท่านมาก!”
ในที่สุดหลิงหยุนก็ได้รู้เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในคืนที่ฉินจิวยื่อเก็บเขามาเลี้ยงแล้ว
หลิงหยุนรู้สึกเศร้าใจอย่างมาก เขาต้องการกลับไปหาธิดาพรรคมารซึ่งเป็นแม่แท้ๆของตัวเองหลายปีที่ผ่านมานี้ ไม่รู้ว่าจะมีเรื่องเลวร้ายอะไรเกิดขึ้นกับนางบ้าง และจินเหยี่ยวที่ทุ่มเทกายใจปกป้องชีวิตของเขานั้น ตอนนี้จะเป็นหรือตายก็ยังไม่อาจรู้ได้ และอยู่ที่ไหนก็ไม่มีใครรู้ แม้กระทั่งว่าแม่แท้ๆของตนเองยังมีชีวิตอยู่หรือไม่นั้น หลิงหยุนเองยังไม่รู้
ความรู้สึกของหลิงหยุนเวลานี้จึงไม่เกินที่ใครๆจะคาดเดาได้!
“ซือกงถู.. หากตอนนี้เจ้าไม่มีชีวิตอยู่ก็นับว่าเป็นโชคดีของเจ้าแล้ว ไม่เช่นนั้นข้านี่ล่ะจะจัดการกับเจ้าด้วยตัวข้าเอง!”
รังสีสังหารรุนแรงแผ่กระจายออกมาจากร่างของหลิงหยุน!
จากนั้นเขาจึงถอนหายใจยาวก่อนจะจ้องมองหลวงจีนเฉวียนซือพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ไม่ทราบว่ากุฏิของหลวงจีนเฉวียนหมิงอยู่ที่ใหน? ข้าอยากจะขอเข้าไปดูหน่อย..”