ตอนที่ 200 เขาพังถล่ม / ตอนที่ 201 ห้าปีก่อน ณ อเมริกา

(Yaoi) เดิมพันอันตรายคุณชายจอมเจ้าเล่ห์

ตอนที่ 200 เขาพังถล่ม 

 

 

           ไป๋จิ่งลืมตาขึ้นมาในทันใด เขามองท้องฟ้ามืดมิดยามราตรี แล้วถอนหายใจเบาๆ อดจะคิดไม่ได้ว่าในตอนนั้นที่รับปากยอมให้หลินฝานอยู่ข้างกายตัวเอง เขาทำผิดไปแล้วหรือเปล่า 

 

 

           เดิมทีหลินฝานเป็นเด็กดีที่สดใสร่าเริง บางทีอาจมีสักวันที่ได้เจอคนที่ดีกับเด็กคนนั้นจริงๆ และคนนั้นไม่ใช่เขาแน่นอน 

 

 

           เพียงแต่น่าเสียดาย พวกเขาเจอกันผิดเวลา สุดท้ายเด็กคนนั้นก็จากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ จนถึงวันนี้เขาก็ยังหาร่องรอยของเด็กคนนั้นไม่เจอ 

 

 

           ไป๋จิ่งฝืนยิ้ม หลินฝานคงไม่อยากจะเจอเขาไปตลอดชีวิตเลยสินะ 

 

 

           ไป๋จิ่งสูบบุหรี่เข้าไปอีกสองครั้ง แล้วถึงกดบุหรี่ลงที่เขี่ยบุหรี่เพื่อดับไฟ หลังจากกลิ่นบุหรี่จางลงแล้ว ถึงได้กลับเข้าห้องไป 

 

 

           …… 

 

 

           กว่าซือเหยี่ยนจะลงจากเครื่องบินมา ฟ้าก็ใกล้จะสว่างแล้ว รถที่เตรียมไว้ล่วงหน้าจอดรอเขาที่สนามบินเรียบร้อยแล้ว ซือเหยี่ยนขึ้นรถมาก็ไม่ได้ให้พวกเขาไปส่งที่โรงแรม แต่ให้มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่เจียงมู่เฉินอยู่ทันที 

 

 

           ซือเหยี่ยนผู้ไม่ได้นอนทั้งคืน นั่งพิงพนักที่นั่งหลับตาพักผ่อนร่างกายสักพักหนึ่ง รถที่ขับมานิ่งๆ จู่ๆ ก็เบรกกะทันหัน 

 

 

           “ประธานซือครับ ทางข้างหน้าพังถล่ม ผ่านเข้าไปตอนนี้ไม่ได้ครับ” 

 

 

           ซือเหยี่ยนลืมตามองข้างนอก แนวเขาด้านข้างพังถล่มลงมา เศษหินกระจัดจายปิดทางเอาไว้ ไม่มีทางจะผ่านเข้าไปได้ 

 

 

           “ที่นี่ห่างจากที่นั่นอีกเท่าไหร่” 

 

 

           “ยังอีกประมาณเก้าสิบกว่ากิโลเมตรครับ” 

 

 

           ซือเหยี่ยนคำนวณเวลาเดินเท้า แล้วรีบเอ่ย “รีบหาคนมาเคลียร์เส้นทาง” 

 

 

           ถนนทางเข้าภูเขาถูกปิดช่องทางด้วยหินที่ถล่มลงมา ซือเหยี่ยนถูกปิดกั้นให้อยู่รอบนอกชั่วคราว เขามองดูเวลา ต้องเสียเวลาอีกกี่ชั่วโมงกัน 

 

 

           เขาก้มหน้าลงกลุ้มใจอยู่ไม่เบา ไม่รู้ว่าเจียงมู่เฉินเจ้าหมอนั่นตอนนี้จะเป็นอย่างไรบ้าง 

 

 

           ซือเหยี่ยนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเจียงมู่เฉินที่เขาเป็นห่วงนักเป็นห่วงหนา ตอนนี้กำลังนอนหลับสบายอยู่บนเตียง ไม่รู้เลยสักนิดว่าเขาถูกปิดกั้นอยู่ข้างนอกห่างไกลออกไปอีกกี่สิบกิโลเมตร เข้ามาหาไม่ได้ 

 

 

           ตอนที่ซังจิ่งมาเคาะประตูหา เจียงมู่เฉินยังไม่ตื่นนอน 

 

 

           เคาะไปตั้งนานก็ไม่มีใครมาเปิดประตู ซังจิ่งถอนหายใจเบาๆ คิดว่า คุณชายน้อยคนนี้คงจะไม่ได้นอนหมดสติไปหรอกใช่ไหม เขาเคาะต่ออีกสองที “คุณชายเจียง ตื่นหรือยัง” 

 

 

           ในที่สุดเจียงมู่เฉินก็มีปฏิกิริยากลับมาบ้างแล้ว เขาขยับขาเรียวยาว ลืมตาขึ้นมาอย่างเฉื่อยชา กำลังจะเตรียมพุ่งตัวจากข้างเตียงไปตามความเคยชิน ถึงได้พบว่าที่นี่ไม่ใช่บ้านของตัวเอง  

 

 

           “เจียงมู่เฉิน” 

 

 

           ข้างนอก ซังจิ่งยังเคาะประตูต่ออีก เจียงมู่เฉินเอ่ยเสียงต่ำ “ตื่นแล้ว จะออกไปเดี๋ยวนี้” 

 

 

           เจียงมู่เฉินมองดูห้องนอนที่ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกอะไรเพียบพร้อม แล้วถอนหายใจเบาๆ เขาลงจากเตียงเข้าไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อแล้วถึงออกไป 

 

 

           วันนี้ซังจิ่งใส่ชุดลำลองออกมา ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีพิษมีภัยอะไร เป็นมาดคนดีทีเดียว 

 

 

           “มากินอาหารเช้าก่อน กินเสร็จผมจะพาคุณเข้าไปในเขา” 

 

 

           ไม่ต้องเอ่ยถึงว่ามาสถานที่แบบนี้เป็นครั้งแรก เขายังรู้สึกแปลกที่แปลกทางอยู่จริงๆ เจียงมู่เฉินนั่งกินอาหารเช้าไป พลางพินิจมองรอบๆ ไปด้วย สุดท้ายสายตาก็มาหยุดลงที่ใบหน้าของซังจิ่ง 

 

 

           ซังจิ่งโดนเขาจ้องขนาดนี้ก็ไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่ “จู่ๆ คุณมาจ้องผมขนาดนี้ทำไม” 

 

 

           ในแววตาเจียงมู่เฉินแฝงความอยากหยั่งเชิงอยู่ในที “รู้สึกแปลกๆ นิดนึง” 

 

 

           “แปลกตรงไหน” จู่ๆ ซังจิ่งก็นึกถึงคำพูดเมื่อวานของเขาขึ้นมาได้ รีบเอ่ยเสริม “อย่าบอกผมนะว่า เพราะผมน่าสะอิดสะเอียน เลยรู้สึกแปลกๆ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินบันเทิงแล้ว เมื่อก่อนทำไมถึงไม่ค้นพบว่าซังจิ่งยังพกพรสวรรค์ทางตลกมาด้วยนิดนึงนะ 

 

 

           ซังจิ่งจ้องมองใบหน้าของเขา รู้สึกแปลกใจอยู่ในที “เห็นไม่ได้บ่อยจริงๆ ไม่คาดคิดว่าคุณชายน้อยเจียงจะยิ้มให้ผมแบบนี้เป็นครั้งแรก แถมยังไม่ใช่ยิ้มเยาะด้วย” 

 

 

           เมื่อก่อนครั้งนั้นที่เจอหน้าเขา ทั้งเหน็บแหนม ทั้งเย้ยหยัน สีหน้าท่าทางราวกับรังเกียจเขาเต็มประดา 

 

 

           คิดไม่ถึงว่าคนสองคนที่เพิ่งจะอยู่ร่วมกันวันหนึ่ง จะเริ่มให้ใบหน้าที่มีรอยยิ้มกันแล้ว ซังจิ่งคิดว่า ถ้าอยู่ร่วมกันต่ออีกหลายๆ วัน จะพัฒนาความสัมพันธ์ได้เร็วยิ่งขึ้นใช่ไหมล่ะ 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 201 ห้าปีก่อน ณ อเมริกา 

 

 

           “นายอย่าคิดมากไปเลย ฉันไม่ได้คิดจะเปลี่ยนใจไปรักคนอื่นหรอก” ถึงแม้จะอยู่ในช่วงทำสงครามเย็นกับซือเหยี่ยนอยู่ แต่เขาก็ไม่คิดจะปีนกำแพงไปหาคนอื่น 

 

 

           “ที่จริงผมก็ใช้ได้อยู่ไม่เบา คุณไม่คิดจะลองกับผมจริงๆ เหรอ” ซังจิ่งเอ่ยแนะนำอีกครั้ง 

 

 

           เจียงมู่เฉินลุกขึ้นมาด้วยท่าทีเฉื่อยชา “รีบกินเถอะ ฉันจะรอนายอยู่ข้างนอก”  

 

 

           ซังจิ่งมองตามแผ่นหลังของเจียงมู่เฉินที่ค่อยๆ เดินลับไปไกล แล้วยกยิ้มมุมปากขึ้น จู่ๆ เขาไม่อยากรับภารกิจนี้ต่อแล้ว คุณชายน้อยคนนี้ช่างโดนใจถูกรสนิยมของเขาจริงๆ อยากจะลักพาเจ้าตัวไปเก็บไว้ครอบครองโดยไม่สนใจอะไรเสียจริงๆ 

 

 

           เจียงมู่เฉินเดินออกมาจากห้องอาหารแล้ว ถึงได้พบว่าภูเขาลูกนี้ถือว่าทิวทัศน์งดงามจับตาจริงๆ เมื่อวานมาถึงค่ำเกินไป ฟ้ามืดอะไรก็มองไม่เห็น 

 

 

           ตอนนี้ตื่นมาตอนเช้าถึงได้ค้นพบว่า ถ้าสถานที่แห่งนี้ได้ทำเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจคงจะเป็นทางเลือกที่ไม่เลว แค่เห็นวิวทิวทัศน์ก็ทำให้คนเบิกบานใจแล้ว 

 

 

           “เป็นยังไงบ้าง สถานที่แห่งนี้ไม่เลวเลยใช่ไหม” 

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้า “ไม่เลวจริงๆ” 

 

 

           “ผมจะพาคุณขึ้นไปข้างบน มองลงมาจากข้างบน จะยิ่งสวยกว่านี้อีก” ซังจิ่งพูดไปก็เดินไปเปิดประตูรถ “ไปกันเถอะ เข้าเขากัน” 

 

 

           เจียงมู่เฉินนั่งข้างที่นั่งคนขับ เขารัดเข็มขัดนิรภัยไป พลางหัวเราะเยาะไปด้วย “ทักษะการขับรถนายโอเคไหม ฉันยังไม่อยากตายนะ” 

 

 

           ซังจิ่งยกมุมปากขึ้น “วางใจเถอะคุณชายน้อย ผมก็ทำใจเห็นคุณตายไม่ได้หรอก” 

 

 

           เจียงมู่เฉินหัวเราะ ในเมื่อเขากล้าขึ้นไปนั่งในรถ ก็ต้องเชื่อมือของซังจิ่งอยู่แล้ว ไม่ว่าเป้าหมายของซังจิ่งคืออะไร เวลานี้ไม่มีทางที่เขาจะทำให้ตัวเองเกิดเรื่องได้ 

 

 

           ระหว่างที่ขึ้นเขาไป เจียงมู่เฉินมองไปนอกหน้าต่าง แล้วเอ่ยเสียงเรียบ “นายไม่ได้มาครั้งแรกสินะ” 

 

 

           “เคยมาสองครั้ง ในเมื่ออยากจะลงทุน จะเลือกอะไรก็ได้ไม่ได้อยู่แล้ว” 

 

 

           “แล้วทำไมครั้งนี้ถึงคิดให้ฉันมาด้วย ฉันเข้าร่วมแบ่งน้ำแกง[1]กับนายได้เท่านั้นเองนะ” 

 

 

           ซังจิ่งเลิกคิ้ว “ถ้าผมบอกว่าผมเสนอเรื่องนี้มาคืออยากให้คุณเข้าร่วม เพื่อให้ผมได้ใกล้ชิดคุณ คุณจะเชื่อไหม” 

 

 

           เจียงมู่เฉินเหยียดยืดขาอย่างเอื่อยๆ “เชื่อ ตั้งแต่ตอนหลินไห่ นายก็ทำแบบนี้แล้วไม่ใช่เหรอ” 

 

 

           เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย “ที่จริงเป็นนายที่แนะนำพ่อฉันให้ฉันควบคุมโครงการหลินไห่นี้ด้วยล่ะสิ เพื่อให้ฉันต้องติดต่อกับนาย ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธได้ 

 

 

“คุณชายเจียงฉลาดอย่างที่ผมคิดไว้ไม่มีผิดจริงๆ ผมได้ดินก้อนนี้มา ก็จงใจไปหาเจียงเฉินกรุ๊ปบอกว่าต้องการร่วมทำโครงด้วย โครงการหลินไห่นั่นไม่ได้กำไรเพิ่ม ประธานเจียงก็รู้อยู่แก่ใจ” 

 

 

           พูดถึงตรงนี้แล้ว ซังจิ่งก็ถือโอกาสพูดทุกอย่างออกมาหมดเสียเลย ถึงอย่างไรเขาจะสารภาพหรือไม่ เจียงมู่เฉินเองก็ทายได้เกือบครึ่งแล้ว 

 

 

           “หลังจากผมกับประธานเจียงเจรจาเรื่องโครงการร่วมกันเสร็จ ก็ระบุให้เขามาร่วมโครงการนี้ด้วย เพียงแต่ว่าผมคิดไม่ถึงว่าประธานเจียงจะให้คุณรับผิดชอบโครงการนี้โดยตรง” ซังจิ่งยิ้มหัวเราะ “ถึงแม้ว่าจะเกินที่ผมคาดการณ์ไว้ แต่ก็ถือว่าเป็นการเหนือความคาดหมายที่น่ายินดี” 

 

 

           “ดังนั้นเป้าหมายของนายก็เป็นฉันมาตั้งแต่แรกเหรอ” 

 

 

           “จะว่าอย่างนี้ก็ได้” 

 

 

           “พวกเราไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อน ทำไมนายต้องตามหาฉันให้ได้ เพราะว่าหน้าตาฉันตรงรสนิยมนายเหรอ” 

 

 

           ซังจิ่งยิ้มหัวเราะ “เมื่อก่อนผมเคยเจอคุณ แต่คุณคงจะลืมไปแล้ว” 

 

 

           เจียงมู่เฉินเลิกคิ้ว “หมายความว่าไง” 

 

 

           “ห้าปีก่อนที่อเมริกา พวกเราเคยเจอกัน” 

 

 

           ‘ห้าปีก่อนที่อเมริกา?’ 

 

 

           เจียงมู่เฉินขมวดคิ้ว เรื่องเมื่อห้าปีก่อน เขาลืมไปตั้งนานแล้ว อะไรก็ไม่จำแล้ว ตอนนี้มานั่งนึกกลับไป อะไรก็นึกขึ้นมาไม่ได้ 

 

 

           ถ้าไป๋จิ่งพูดออกมาขนาดนี้จริงๆ เขาเองก็ไม่มีวิธีใดจะพิสูจน์ได้ 

 

 

           “คุณชายเจียงช่างเป็นคนรวยที่มักจะขี้ลืม[2]จริงๆ จำไม่ขึ้นใจแล้ว” 

 

 

           ได้ยินซังจิ่งพูดมาแบบนี้ จู่ๆ เขาก็ชักจะอยากรู้แล้วว่าเขาเมื่อห้าปีก่อนเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมหลังจากที่ตื่นมา ความทรงจำทั้งหมดทุกอย่างถึงไม่มีอยู่เลย 

 

 

 

 

 

[1] แบ่งน้ำแกง มาจากฉากหนึ่งในนิทานเรื่องเสียงเพลงเมืองฉู่ก้องสี่ทิศ เป็นเรื่องราวการสู้รบระหว่างเซี่ยงอวี่กับหลิวปังที่ดำเนินไปหลายปี ในประวัติศาสตร์ขนานว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างฉู่กับฮั่น มีอยู่ครั้งหนึ่งเซี่ยง อวี่ได้ตีหลิวปังพ่ายแพ้หนัก อีกทั้งจับกุมบิดาและภรรยาของหลิวปัง เซี่ยงอวี่ใช้บิดาของหลิวปังเป็นตัวประกัน เรียกร้องให้หลิวปังยอมแพ้ ขู่หลิวปังว่าถ้าไม่ยอมแพ้ ก็จะสังหารบิดาของเขา แล้วต้มเป็นน้ำแกงกิน คาดไม่ถึงว่า หลิวปังกลับกล่าวต่อเซี่ยงอวี่ว่า”ตอนที่เราร่วมต่อต้านฉินนั้น เราเป็นพี่น้องกัน บิดาข้าพเจ้าก็คือบิดาของท่าน ถ้าเอาบิดาของพวกเราต้มเป็นน้ำแกง ก็อย่าลืมแบ่งให้ข้าพเจ้าสักถ้วย” เซี่ยงอวี่จนปัญญา ได้แต่ส่งตัวบิดาและภรรยาของหลิวปังกลับไป  

 

 

[2] คนรวยมักจะขี้ลืม เป็นสำนวนเปรียบเปรยว่า คนขี้ลืมจะถูกเสียดสีว่าเป็นคนมั่งมี อะไรก็ไม่ใส่ใจจำ