ตอนที่ 457 เรือนหลวง
ภายในรถม้าคันใหญ่ได้ตั้งเตาถ่านเอาไว้ 2 เตา
พวกนางทั้งสามมิค่อยเข้าใจว่าเพราะเหตุใดสามีถึงได้สนใจเรือนตรงนั้นขึ้นมา… เป็นไปได้หรือไม่ว่าเขาอยากปรับปรุงพื้นที่ตรงนั้นแล้วย้ายเข้าไปอยู่ ?
จิตใจของฟู่เสี่ยวกวนหนักอึ้งขึ้นมาเล็กน้อย
แต่เขาก็มิสามารถเอาความหนักอึ้งนี้แบ่งไปให้แก่ทั้งสตรีทั้งสามคนที่อยู่ข้างกายของเขาได้
ดังนั้นเขาจึงกล่าวยิ้ม ๆ ว่า “เยี่ยงไรเสียสถานที่ตรงนั้นในบัดนี้ก็ได้เป็นทรัพย์สินของตระกูลเราแล้ว สมควรต้องไปดูอยู่แล้ว…”
เขานำซุปไก่ที่อุ่นไว้บนเตาลงมาวางไว้บนโต๊ะ และกล่าวอีกว่า “พวกเราลงทุนในสถานที่ที่ห่างไกลไปทั่วสารทิศ สถานที่เบื้องหน้าที่มิใกล้มิไกลนี้หากสามารถนำมาใช้งานได้ จะสะดวกต่อการจัดการมากยิ่งกว่าหรือไม่ ? ”
“สามีหมายความว่า… ต้องการสร้างโรงงานขึ้นที่นั่นเยี่ยงนั้นหรือ ? ” ดวงตาของต่งชูหลานเป็นประกาย นี่ย่อมเป็นความคิดที่ดี เพียงแต่มิรู้ว่าสถานที่ตรงนั้นจะกว้างขวางเพียงพอหรือไม่
“อือ… เหมือนกับที่ซีซาน เสบียงอาหารของเศรษฐีที่ดินนั้นมีมากมายจนเกินไป มิปลอดภัยเท่าใดนักหากจะเก็บทั้งหมดไว้ในยุ้งฉางที่ซีซาน หากภูเขาหนานซานนี้มิเลว พวกเราก็ไปจัดเก็บเรือนหนานซานนี้เสียหน่อยเถิด ส่วนด้านนอกสร้าง… โรงงานชุดชั้นในและโรงงานน้ำหอมทั้งยังมีโรงกลั่นสุรา ข้ารู้สึกว่ามิเลวเลยทีเดียว”
“หากเป็นไปได้ อุตสาหกรรมตรงนี้ให้พี่ชูหลานฝึกฝนให้กับข้า ท่านเห็นเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ”
เยี่ยนเสี่ยวโหลวกระตือรือร้นอยากที่จะทดลองทำกิจการ เพราะนางคือสตรีของจวนฟู่ หยูเวิ่นหวินตั้งครรภ์อยู่แต่นางก็ยังสามารถดูแลเรื่องภายในจวนได้เป็นอย่างดี ส่วนต่งชูหลานกลับได้ดูแลอุตสาหกรรมเกือบจะทั้งหมด นางได้ดูแลเพียงธนาคารซื่อทงเท่านั้น
แน่นอนว่านางมิได้ทำเพื่อให้ได้รับสิทธิ์อันใด เพียงแค่มิอยากให้ฟู่เสี่ยวกวนเพิกเฉยใส่นางก็เท่านั้น และบัดนี้ความกดดันของนางก็มีมากอย่างยิ่งขึ้นไปอีก ท้องก็ยังมินูนออกมา ทั้งยังมิสามารถช่วยเหลืออันใดได้เลย มองดูแล้วเหมือนคนที่กินแต่ข้าวเปล่า !
พวกนางเมินเฉยต่อสตรีทั่วทั้งใต้หล้านี้ เมื่อได้อภิเษกสมรสไปแล้ว งานที่แท้จริงคือการจัดการเรื่องภายในจวน และช่วยเหลือสามีสั่งสอนบุตรนั่นเอง
ในสังคมภายนอก นี่มิใช่ภรรยาที่มีสติควรพึงกระทำ !
“ย่อมได้ แต่อย่าหักโหมจนเกินไปล่ะ ควรจ้างสาวใช้มาดูแลจวนให้มากขึ้นอีกเล็กน้อย และต้องไว้วางใจได้ ต่อจากนั้นก็ยังต้องส่งออกไปดูแลในแต่ละเขต ข้ามิอยากให้พวกเจ้าต้องออกไปทำงานข้างนอก”
ต่งชูหลานกลอกตาใส่ฟู่เสี่ยวกวน ยิ่งกิจการของครอบครัวมีมากมายเท่าใดเรื่องวุ่นวายก็จะมากตาม แต่ถ้าให้ผู้อื่นมาดูแลกิจการแล้วคนผู้นั้นเป็นคนมิดีก็จะเกิดปัญหาขึ้นมาได้
ซูซูเป็นผู้ขับรถม้า และในวันนี้นางก็แทบจะมิได้เอ่ยอันใดออกมาเลยด้วยซ้ำ
ฟู่เสี่ยวกวนคิดว่าเป็นเพราะอาการบาดเจ็บของซูเจวี๋ย เขาเองก็ทำได้เพียงเอ่ยปลอบเท่านั้น อีกทั้งเขามิได้ทราบถึงความรู้สึกที่แท้จริงของนาง
ซูซูเอ่ยน้อยลงมากนัก แม้แต่ถังหูลู่ก็ยังกินน้อยลงกว่าเดิม ราวกับตั้งแต่ที่ฟู่เสี่ยวกวนสมรสไป ยามราตรีของนางก็ยาวนานขึ้นมากนัก
วรยุทธ์ของนางได้พัฒนาขึ้นไปมิน้อย ซูโหรวกล่าวว่าที่เมืองกวนหยุน ซูซูได้ฟาดฟันกับเยี่ยนกุยลูกศิษย์ของเป่ยหวังฉวนผู้นั้น และในปัจจุบันนี้ได้ก้าวเข้าสู่ขอบเขตของระดับสูงสุดขั้นสองแล้ว นั่นทำให้ฟู่เสี่ยวกวนต้องมองซูซูอย่างชื่นชม… เพราะเขาเอง ยังเป็นมือใหม่ที่เพิ่งเข้าขั้นสามก็เท่านั้น
ซูซูขับรถม้าอยู่ท่ามกลางหิมะที่หนาวเหน็บ นางยังคงสวมใส่อาภรณ์ที่เบาบาง… นางสวมใส่เพียงชุดผ้าป่านสีเทา ชุดกระโปรงสีสันสดใสที่นางเคยซื้อเหล่านั้น นางได้เก็บใส่หีบผ้าไปจนหมดสิ้นแล้ว
เท้าขาวราวกับหยกคู่หนึ่งยังคงเปลือยเปล่า ในยามนี้ที่กำลังขับรถม้า สองขากวัดไกวไปมา ความคิดในหัวของนางก็คือ
ระดับสูงสุดขั้นสอง…
หากจะสังหารคนผู้นั้น อย่างน้อยก็ต้องเข้าขั้นปรมาจารย์ไปครึ่งก้าว
แต่หลายปีที่ผ่านมานั้น ก็มิทราบว่าคนผู้นั้นได้ทะลวงประตูปรมาจารย์ไปแล้วหรือยัง !
ความคิดของซูซูในตอนนี้คือการแก้แค้น สำหรับฟู่เสี่ยวกวน… เขาคือบุคคลที่ยอดเยี่ยมยิ่งในใต้หล้านี้ สูงส่งจนเกินไป นางรู้สึกไร้หนทางจะไปยุ่มย่ามในชีวิตของเขาได้ และไร้หนทางจะขัดเกลาความคิดของเขาได้อีกเช่นกัน
นี่คือข้อสรุปหลังจากที่ซูซูได้ทำการใคร่ครวญโดยละเอียดถี่ถ้วนแล้ว นางมิเหมือนกับภรรยาทั้งสามของฟู่เสี่ยวกวน ถึงแม้นางจะรู้หนังสือ แต่ก็มิได้อ่านตำรามากมายเท่าใดนัก
นางฝึกวรยุทธ์ด้วยตนเองมาตั้งแต่ยังเยาว์ เลยมิรู้อันใดเกี่ยวกับเรื่องมารยาทเหล่านั้นเลย
ฟู่เสี่ยวกวนคือผู้ที่จะกอบกู้ใต้หล้านี้ ส่วนตนเองนั้น… เป็นเพียงสตรีจากยุทธภพที่ต่ำต้อยเท่านั้น
ดังนั้น ข้าและเขา ราวกับอยู่กันคนละโลกหล้า !
ดังนั้น สำหรับฟู่เสี่ยวกวนแล้ว ก็เป็นเพียงงานเดียวที่อาจารย์มอบหมายให้กับนาง… ปกป้องเขาเอาไว้ให้ดี ส่วนเรื่องอื่น ๆ ซูซูจะกำจัดเค้าลางเหล่านั้นเสียให้สิ้น !
รถม้าวิ่งออกไปด้านนอกประตูเมือง และมุ่งหน้าไปบนทางหลักที่กว้างขวางอีกราวครึ่งชั่วยาม จากนั้นจึงได้เลี้ยวโค้ง และเข้าไปในผืนป่า
ภูเขาหนานซาน !
สถานที่แห่งนี้คือลานล่าสัตว์หลวง ดังนั้นจึงมีกองทหารคอยประจำการอยู่ด้านล่างภูเขาหนานซาน
และเส้นทางที่ตรงไปยังเรือนหนานซาน ก็ต้องผ่านด้านข้างของค่ายนั้นไปพอดี
แม่ทัพของทหารเฝ้ายามที่ลานล่าสัตว์นี้มีนามว่าหยางซี คราหนึ่งเมื่อเดือนแรกของปีนี้วันที่ยี่สิบหกได้สังหารกบฏไปถึง 5 คนตอนที่เกิดเรื่องที่สุสานจักรพรรดิ จึงได้รับการเลื่อนตำแหน่งให้เป็นนายกองทหารม้า และให้บัญชาการทหารจำนวน 1,000 นายที่ประจำการอยู่ที่นี่
เขาย่อมรู้จักฟู่เสี่ยวกวน ดังนั้นจึงมิได้คาดคิดว่าฟู่เสี่ยวกวนจะมาปรากฏที่นี่ เขารู้สึกตื่นตกใจอย่างแท้จริง !
นามของเขาเลื่องระบือไปทั่วทั้งใต้หล้า ในยามนี้ฟู่เสี่ยวกวนยังเป็นถึงบุตรเขยของฝ่าบาท !
เขามิกล้าล่าช้าแม้แต่ครึ่งก้าว จึงรีบลงจากม้าและโค้งคำนับ แล้วเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “ข้าน้อย หยางซี ขอบังอาจถามถึงเหตุผลที่ท่านฟู่มายังที่นี่คือ…”
“เรือนหลังนี้ ไทเฮาได้มอบให้กับองค์หญิงเก้าภรรยาของข้าไว้ก่อนที่พระนางจะสิ้นพระชนม์ วันนี้จึงตั้งใจมาดูเสียหน่อย แม่ทัพหยางจะสะดวกหรือไม่ ? ”
หยางซีตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน เขามิเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน ดังนั้นเขาจึงรีบกล่าวอย่างยิ้ม ๆ ว่า “หากกล่าวถึงข้อบังคับ… ท่านฟู่ต้องนำราชโองการของฝ่าบาทมาด้วย แต่ด้วยฐานะของท่านฟู่แล้ว ข้าน้อยมิกล้าทำให้ยากลำบาก เชิญท่านเข้ามาขอรับ ! ”
แม่ทัพผู้นี้ใช้ได้เลยนี่ ฟู่เสี่ยวกวนเหลือบมองหยางซี “เยี่ยงนั้นต้องรบกวนท่านแม่ทัพแล้ว”
“ข้าน้อยมิกล้า”
ฟู่เสี่ยวกวนขึ้นรถม้า รถม้าได้ตรงเข้าไปในหุบเขาแห่งนี้ ไม่นานก็ได้เจอเรือนหลังหนึ่งที่ถูกบดบังด้วยผืนป่าตั้งอยู่ใจกลางหุบเขาขนาดใหญ่
เขาลงจากรถม้า และเดินวนไปรอบ ๆ มองพิจารณาไปรอบด้าน
สถานที่แห่งนี้ยอดเยี่ยมยิ่ง มีแม่น้ำไหลเอื่อยอยู่ด้านนอกป่าท้อ สองฝั่งแม่น้ำเริ่มเป็นน้ำแข็งบ้างแล้ว ตรงกลางยังมิกลายเป็นน้ำแข็ง สายน้ำใสกระจ่าง และไร้สิ่งเจือปน
ในยามนี้เขายังมิได้ข้ามแม่น้ำนั้นไป ด้านที่ยืนอยู่นี้คือผืนแผ่นดินเรียบที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะสีขาว ใจกลางนั้นมีเงาของคันนาอยู่เล็กน้อย คิดว่านี่คือสิ่งที่เรียกว่าทุ่งหลวง เพียงแต่ละเลยมิได้ดูแล แม้แต่ข้าวสาลีในฤดูหนาวก็ยังมิได้หว่าน ถือได้ว่ากลายเป็นพื้นที่รกร้างไปแล้ว
เมื่อข้ามผ่านสะพานหิน นอกจากป่าท้อแล้ว ก็มีแต่ทุ่งนาผืนใหญ่ อีกทั้งยังแห้งแล้งมากยิ่งนัก ดังนั้นก่อนที่ไทเฮาจะสิ้นพระชนม์จึงได้กล่าวไว้ว่า หวังว่าจะสามารถเพาะปลูกบนผืนนาเหล่านี้ได้ หรือนี่จะเป็นเหตุผลของพระนางที่มอบเรือนหลังนี้ให้กับเวิ่นหวิน
เขาคุกเข่าลง หยิบกริชออกมาและใช้มันงัดดินขึ้นมาบีบ ชุ่มชื้นและละเอียด ดีกว่าผืนดินของผิงหลิงและชวูอี้ตั้งมิรู้กี่เท่า
ดังนั้นหากใช้ที่ตรงนี้ปลูกฟู่เอ้อร์ต้าย ผลผลิตจะต้องดีเป็นแน่ แต่ว่า…
ฟู่เสี่ยวกวนมิอยากจะอยู่ในสถานที่แบบนี้ !
เขาจำเป็นต้องแก้ไขการดำรงชีพของผู้คนที่อยู่ในสลัมเหล่านั้น !
ดังนั้นสถานที่แห่งนี้ เกรงว่าจะทำได้เพียงใช้ที่นาหนึ่งผืนมาปลูกฟู่เอ้อต้ายให้ไทเฮาได้ทอดพระเนตรเท่านั้น
อีกมิช้าก็จะข้ามปีแล้ว คงเป็นไปมิได้ที่จะสร้างโรงงานที่นี่ สามารถทำได้เพียงแค่เบื้องต้นก็เท่านั้น
ตัวอย่างเช่นการปรับผืนดินให้เรียบ ปรับฐานของมันไปก่อน แต่ที่แห่งนี้ก็มิสามารถจะใช้คน 30,000 – 50,000 คนได้อยู่ดี !
ควรจะทำเยี่ยงไรดี ?
ฟู่เสี่ยวกวนมองไปยังภูเขาที่อยู่ห่างไกลออกไป หรือไม่ก็…สร้างโรงงานปูนซีเมนต์ขึ้นที่นี่อีกสักแห่งดีหรือไม่ ?
ที่ตรงนี้ค่อนข้างห่างไกลจากจินหลิง แล้วควรจะแก้ไขปัญหาปากท้องของพวกเขาเยี่ยงไรดี ?
ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วครุ่นคิด และเดินตามสตรีทั้งสามเข้าไปในตัวเรือน