ตอนที่ 458 บูรณะเรือนหนานซาน
เรือนหลังนี้กว้างขวางกว่าที่ซีซานถึง 4 เท่าตัว !
พื้นที่ทั้งหมดมากกว่า 9 หมู่ !
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนเห็นดังนั้นก็ได้สูดหายใจลึก ต่งชูหลานเองก็ตกตะลึงมากเช่นกัน ในใจนางคิดไปว่าหากจะบูรณะที่แห่งนี้จะต้องใช้เงินจำนวนเท่าใดกัน !
แน่นอนว่าเรือนนี้ช่างงดงามและประณีตมากยิ่งนัก เพียงแต่หลายปีมานี้ท้องพระคลังของราชวงศ์หยูนั้นมีเหลืออยู่น้อยมากยิ่งนัก ไทเฮาจึงมิได้เดินทางมาพักที่นี่เป็นเวลานานโข ดังนั้นที่แห่งนี้จึงมิได้ถูกเก็บกวาดอย่างดีสักเท่าใดนัก บัดนี้มีเพียงนางในอาวุโสสองคนเท่านั้นที่ดูแลที่สถานที่แห่งนี้
ชุนเจียวและซูเซียงอยู่ที่นี่มาได้ยี่สิบกว่าปีแล้ว พวกนางได้เห็นเรือนหนานซานแห่งนี้ตั้งแต่เมื่อครายังรุ่งโรจน์จนกระทั่งเสื่อมสภาพลงเช่นนี้ เดิมทีพวกนางคิดว่าเรือนกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้จะต้องเสื่อมโทรมลงไปเรื่อย ๆ เป็นแน่ จวบจนกระทั่งพวกนางจากโลกนี้ไป เรือนแห่งนี้ก็คงจะทรุดล้มลงตามไปด้วยเป็นแน่ คาดมิถึงว่าในวันนี้จะมีผู้ครอบครองคนใหม่เข้ามา
พวกนางมิรู้จักฟู่เสี่ยวกวน แต่พวกนางรู้จักองค์หญิงเก้าเป็นอย่างดี
จากการต้อนรับของทั้งสอง ฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ ใช้เวลาถึงครึ่งชั่วยามในการเดินชมเรือนแห่งนี้ และได้มาหยุดนั่งลงตรงที่ศาลากลางเรือน
ชุนเจียวหยิบเตาผิงออกมา ส่วนซูเซียงนั้นเดินเข้าไปรินน้ำชา ทั้งสองคนยืนอยู่ด้านหลังของหยูเวิ่นหวินตามประเพณี
ฟู่เสี่ยวกวนขมวดคิ้วขึ้นครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาว่า “พวกท่านดูแลเรือนได้ดีมากยิ่งนัก พวกเราจะทำการปรับปรุงด้านหน้าบริเวณพื้นที่ 3 หมู่นั้นก่อน วันรุ่งขึ้นข้าจะไปหาเสนาบดีกรมอุตสาหกรรมท่านปี้ตง แล้วจะไหว้วานให้เขาส่งคนจากกรมอุตสาหกรรมมาวางแผนและดูแลงาน แต่คนงานเหล่านั้นจะต้องไปค้นหามาจากเขตสลัม ค้นหาบรรดาช่างสัก 100 คนคาดว่าน่าจะพอ”
ต่งชูหลานคำนวณอย่างรวดเร็วในใจ นางมองดูฟู่เสี่ยวกวนแล้วกล่าวอย่างจริงจังว่า “ค่าใช้จ่ายในการบูรณะพื้นที่ 3 หมู่นี้ คาดว่าจะมากถึง 100,000 ตำลึง”
ที่แห่งนี้มิสามารถทำผลผลิตกำไรได้ อีกทั้งมองดูจากสถานการณ์แล้ว พวกเขาคงมิได้มาพักที่นี่บ่อยนัก หากจะลงทุนมากมายถึงเพียงนี้สำหรับต่งชูหลานแล้วนางคิดว่าเป็นการลงทุนที่ไร้ประโยชน์ ดังนั้นนางจึงมีท่าทีขัดแย้ง
“อ่า…สิ่งสำคัญมิใช่ด้านใน แต่เป็นด้านนอก ที่แห่งนี้มีสภาพแวดล้อมคล้ายคลึงกับซีซาน ดังนั้นข้าจะก่อสร้างอุตสาหกรรมขึ้นมาที่นี่ เมื่อถึงเวลาแล้ว พวกเจ้าจงย้ายโรงงานเสื้อผ้ามาไว้ที่นี่ คาดว่าจะต้องขยายใหญ่ขึ้นไปอีก”
“หากเริ่มลงมือตอนนี้ คาดว่าฤดูร้อนในปีหน้าก็จะสามารถเริ่มผลิตได้แล้ว เมื่อถึงเวลานั้นยามเมื่อพวกเราเดินทางมาดูงาน มีที่พักอาศัยก็คงจะดีมิน้อย”
หลังจากที่ฟู่เสี่ยวกวนชมดูเรือนหนานซานแล้ว เขาก็ได้ตัดสินใจและวางแผนงานสำหรับที่นี่แล้วเรียบร้อย ยามที่พวกเขาเดินทางกลับไปยังจวนฟู่ที่เมืองจินหลิง หิมะยังคงตกหนัก ท้องนภาก็เริ่มมืดมิดมากแล้ว
หลู่เสี่ยวตงเดินทางมาถึงประตูจวนฟู่ตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว
เขายืนหลบหิมะที่ตกลงมาอย่างหนักอยู่บริเวณขอบประตูจวน มือทั้งสองข้างซุกไว้ในกระเป๋าเสื้อ เขางอตัวและเดินไปเดินมาอยู่อย่างนั้น
ช่างหนาวเหน็บเสียเหลือเกิน อีกทั้งยังเป็นกังวลยิ่ง
กังวลว่าคุณชายฟู่จะยอมให้คนยากจนชาวสลัมไร้การศึกษาเยี่ยงเขาเข้าพบหรือไม่ และกังวลว่าตนจะมีโอกาสได้พบคุณชายฟู่ที่มีธุระมากมายต้องจัดการหรือไม่
เขายืนอยู่ที่นี่กว่าครึ่งค่อนวันแล้ว หลี่เจิ้งที่เป็นคนเฝ้าประตูจวนฟู่เฝ้ามองเขามาครึ่งวัน จนกระทั่งยามเว่ยจึงได้เดินออกมา
“เจ้ารอผู้ใดอยู่เยี่ยงนั้นหรือ ? ”
หลู่เสี่ยวตงตื่นตกใจขึ้นมาทันพลันแล้วรีบยกยิ้มขึ้นพร้อมกับตอบว่า “ข้าน้อยอยากขอเข้าพบคุณชายฟู่”
เข้าพบเจ้านายใหญ่ของข้าเยี่ยงนั้นหรือ ?
หลี่เจิ้งหัวเราะเบา ๆ แล้วตอบว่า “มีเรื่องอันใดกัน ? ”
“…เอ่อ ข้าน้อยอยาก ร้องขอคุณชายฟู่ให้เมตตาอาหารสักมื้อ”
อ้อ หางานทำ…หลี่เจิ้งครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ บัดนี้ในจวนมิต้องการคนงานเพิ่มแล้ว เขาควรจะทำเยี่ยงไรดี ?
เขามิได้ขับไสไล่ส่งเฉกเช่นคนเฝ้าประตูที่จวนอื่น ๆ เนื่องจากเขามาทำงานที่จวนฟู่ได้ 1 ปีแล้ว เขารู้ดีว่าคุณชายและฮูหยินมีจิตใจโอบอ้อมอารี พวกเขามิใช่คนใจไม้ไส้ระกำ และน้อยครั้งที่จะเข้มงวดกับพวกเขา
ดังนั้นเมื่อเขาครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน สุดท้ายจึงได้กล่าวออกมาว่า “ช่างบังเอิญเสียจริง ในวันนี้คุณชายเดินทางออกไปตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว เอาเยี่ยงนี้ดีหรือไม่ บัดนี้ยามอู่แล้ว เจ้าเข้ามากินข้าวร้อน ๆ สักถ้วยก่อนเถิด แล้วจงไปรอที่ลานกว้าง ที่นั่นมีเตาผิงอยู่ อากาศหนาวเหน็บถึงเพียงนี้เจ้าสวมใส่เสื้อผ้าเพียงน้อยชิ้น ประเดี๋ยวจะหนาวเสียจนป่วยเอา”
หลู่เสี่ยวตงตกตะลึงเสียจนอ้าปากค้าง”อ่า… ข้าน้อยต่ำต้อยไร้ฐานะ มิกล้าเหยียบเข้าไปในจวนของคุณชายฟู่หรอกขอรับ ข้าน้อย… ข้าน้อยรออยู่ที่ด้านนอกนี้ได้ มิเป็นไร”
หลี่เจิ้งยิ้มให้กับเขาแล้วกล่าวว่า “เจ้าคงมิรู้จักคุณชายและฮูหยินทั้งสามดี หากพวกเขากลับมาแล้วเห็นว่าเจ้ายืนรออยู่ด้านนอกท่ามกลางหิมะเช่นนี้ตลอดทั้งวัน เจ้ารู้หรือไม่ว่าคุณชายและฮูหยินจะต้องดุข้าเป็นแน่ เจ้าอยากให้ข้าตกงานเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“อีกอย่างหนึ่ง นี่ก็ถึงเวลามื้อกลางวันแล้ว ก็เพียงแค่จัดเตรียมถ้วยและตะเกียบเพิ่มอีกชุดหนึ่ง มิได้ลำบากอันใด เข้ามาเถอะ”
หลู่เสี่ยวตงชะงักไปชั่วครู่ เขามองดูโคลนที่ติดใต้รองเท้าแล้วใช้แรงปัดมันออกไป ก่อนจะสะบัดฝุ่นผงตามร่างกายแล้วโค้งตัวและกล่าวว่า “เช่นนั้น ต้องรบกวนท่านผู้ใหญ่ด้วย”
“ข้ามิใช่ผู้ใหญ่แต่อย่างใด เจ้าเรียกข้าว่าเสี่ยวหลี่ก็พอ…”
หลี่เจิ้งพาหลู่เสี่ยวตงเข้าไปในลานเก็บของ “เจ้ามีนามว่าเยี่ยงไร ? ”
“ข้าน้อยแซ่หลู่ นามว่าหลู่เสี่ยวตง”
“พี่หลู่ นี่ก็ใกล้จะปีใหม่แล้ว คาดว่างานคงจะหาได้มิง่ายดายนัก”
หลู่เสี่ยวตงตกตะลึงอยู่ในใจ หลี่เจิ้งกล่าวต่อไปว่า “แต่การที่เจ้าเลือกมาพบคุณชายของพวกเรานั้นนับว่ามาถูกที่แล้ว คุณชายทำอุตสาหกรรมใหญ่ คาดว่าคงจะต้องการคนงานอยู่บ้าง แต่เรื่องเวลา…เกรงว่าคงจะต้องรอให้ผ่านปีใหม่ไปเสียก่อน”
หลู่เสี่ยวตงได้ยินดังนั้นก็รู้สึกเยือกเย็นในจิตใจยิ่ง นี่เพิ่งจะวันที่สามเดือนสิบสอง เวลาอีกเกือบหนึ่งเดือนเต็มเขาจะผ่านมันไปได้เยี่ยงไร ?
หลี่เจิ้งเดินนำทางอยู่ด้านหน้า เขาจึงมิได้เห็นสีหน้าอันขาวซีดของหลู่เสี่ยวตง เขาพาหลู่เสี่ยวตงเข้าไปในโรงอาหาร ที่นี่มีเตาผิงอุ่น ๆ และครึกครื้นยิ่ง
บัดนี้จวนฟู่มีคนสวน 30 คน สาวใช้ 30 คน ผู้ดูแลห้ 50 คน รวมกันได้ 110 คนพอดี
พวกเขากำลังนั่งรับประทานอาหารกลางวันกันอยู่ ในโรงอาหารมีโต๊ะตั้งอยู่ 12 ตัว บนโต๊ะนั้นมีกับข้าวร้อน ๆ วางไว้อยู่
“เจ้าจงไปหาที่นั่งเถิด ข้าจะไปตักข้าวให้”
หลู่เสี่ยวตงเดินไปหาที่นั่งในมุมอับแล้วมองดูอาหารที่ถูกวางไว้จนเต็มโต๊ะ มีเนื้อสามอย่างและผักห้าอย่าง…นี่คืออาหารที่บ่าวรับใช้จวนฟู่กินเยี่ยงนั้นหรือ ?
หลู่เสี่ยวตงสูดดมกลิ่นอาหารอันหอมอบอวล ทำให้ท้องของเขาส่งเสียงร้องดังขึ้นมา
นี่มันเหมือนกับสวรรค์เลยนี่ !
คุณชายฟู่ปฏิบัติต่อบ่าวรับใช้ดีถึงเพียงนี้เชียวหรือ !
อาหารมื้อนี้ หลู่เสี่ยวตงกินมันลงไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น กับข้าวมากมายถึงเพียงนี้ แต่เขากลับกินมันไปมิมากเท่าใดนัก เขากำลังหมกมุ่นอยู่กับความคิด
ยามเว่ยวันนั้นเขารออยู่ที่โรงอาหาร ที่นี่ก็มีเตาผิงเช่นกัน จึงมิได้รู้สึกหนาวเลยแม้แต่น้อย
เขาโหยหาชีวิตเยี่ยงนี้ และปรารถนาอย่างยิ่งที่จะได้เข้าพบคุณชายฟู่
เมื่อฟู่เสี่ยวกวนกลับมาถึงจวน หลี่เจิ้งก็ได้นำเรื่องของหลู่เสี่ยวตงรายงานให้แก่ฟู่เสี่ยวกวนฟัง
ฟู่เสี่ยวกวนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะกล่าวว่า “ไปพาเขามายังหลีเฉินซวน”
หลู่เสี่ยวตงเดินตามหลี่เจิ้งไป เขาก้มหน้าก้มตามิกล้ามองไปทางใดเลยแม้แต่น้อย
นี่คือเรือนของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ส่วนเขาเป็นเพียงราษฎรรากหญ้าผู้หนึ่งเท่านั้น เดิมทีที่แห่งนี้มิใช่ที่ที่คนเยี่ยงเขาจะเหยียบย่ำเข้ามาได้ เขามีแม้กระทั่งความคิดที่จะถอยหนี แต่อาหารเลิศรสมื้อกลางวันนั้นทำให้เขายืนหยัดในความคิดที่เดินทางมาในครานี้
เขาจะต้องคว้าโอกาสนี้เอาไว้ให้จงได้ เพื่อให้ภรรยาและลูกสาว อีกทั้งลูกอีกคนหนึ่งที่ยังอยู่ในท้องได้มีเสื้อผ้าอาหารและที่อยู่อาศัย
ฟู่เสี่ยวกวนต้อนรับหลู่เสี่ยวตงอยู่ที่จวน เขามิได้รู้เลยว่าบัดนี้คณะทูตเจรจาของแคว้นอี๋ได้เดินทางมาถึงนอกประตูเมืองจินหลิงแล้ว…