เวินหลานฉีเปิดซองจดหมายด้วยความสงสัย ข้างในมีเพียงกระดาษแผ่นหนึ่ง ในกระดาษนั้นเขียนไว้เพียงไม่กี่คำ
‘มอบอำนาจบริหารตงหยวนมา มิฉะนั้นไปเจอกันในศาล’
เวินหลานฉีอดยิ้มเย็นไม่ได้ ฮั่วเทียนเย่ว์นี่ช่างน่าเบื่อจริงๆ คิดว่าเธอเวินหลานฉีเป็นเด็กน้อยสามขวบหรือไง ทำแบบนี้คิดว่าจะหลอกกันได้งั้นเหรอ
เจอกันในศาลเหรอ เหอะ เจอกันในศาลแล้วยังไง หรือฮั่วเทียนเย่ว์ยังคิดว่าเธอจะกลัวเขางั้นเหรอ
ซั่งกวนเชียนกับเฉิงหมิงมองตัวหนังสือสองสามบรรทัดนั้นอย่างสงสัย พวกเขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าฮั่วเทียนเย่ว์ทำรายการอะไรกันแน่
“คุณนาย แล้วนี่จะทำยังไง” เฉิงหมิงถาม
“คนมาส่งจดหมายเมื่อกี้ล่ะ เขายังอยู่ไหม” เวินหลานฉีถามรปภ.
“ยังอยู่ครับ อยู่หน้าประตู ผมเห็นตัวหนังสือบนซองจดหมาย ก็เลยให้คนนั้นอยู่ก่อน”
เวินหลานฉีฉีกกระดาษเป็นชิ้นๆ ภายในสองสามครั้ง จากนั้นก็ใส่กลับลงไปในซองจดหมายดังเดิม แล้วยื่นให้รปภ.พร้อมพูดว่า “เอากลับไปให้คนนั้น ให้เขาส่งคืนคนของเขา”
เฉิงหมิงและซั่งกวนเชียนไม่ค่อยเข้าใจนัก ว่าคุณนายทำแบบนี้ไปทำไม
“ในเมื่อฮั่วเทียนเย่ว์ยืนกรานแบบนี้ ฉันไม่ถือสาที่จะปล่อยมือจากหม้อแตก [1] กับเขาหรอกนะ” เวินหลานฉีพูดอย่างเย็นชา
เธอไม่อยากจะคาดเดาเลยล่ะ ว่าฮั่วเทียนเย่ว์เป็นพ่อของฮั่วฉินเยี่ยนจริงหรือเปล่า มีพ่ออย่างเขา เธอเองก็รู้สึกเห็นใจฮั่วฉินเยี่ยนอยู่บ้าง มีกินมีใช้ตลอดทั้งวันนั้นล้วนเป็นของฮั่วฉินเยี่ยน แต่เขากลับไม่พอใจ ยังหาเรื่องวุ่นวายมาให้ฮั่วฉินเยี่ยนอีกมากมายขนาดนั้น แก่แล้วยังไม่ทำตัวให้ดีอีก
เวินหลานฉีรู้สึกจนปัญญาอยู่บ้างจริงๆ เธอไม่เข้าใจเลย ว่าฮั่วเทียนเย่ว์ใช้ชีวิตว่างๆ สุขสบายอยู่ในบ้านไม่ได้เหรอ ถึงต้องทำให้เจ็บปวดขนาดนี้
คนที่ฮั่วเทียนเย่ว์สั่งให้ออกไป กลับมาพร้อมซองจดหมายฉบับนั้น พอฮั่วเทียนเย่ว์เปิดดู ก็พบว่าข้อความของตนนั้นโดนฉีกออกเป็นเศษๆ เขาโมโหจนคิ้วขมวดแน่นเข้าหากันเป็นปม
ตอนแรกเขาก็ไม่ได้มุ่งหวังให้ผู้หญิงคนนั้นกลัว เขาเพียงแค่อยากใช้อำนาจคุกคามเธอเท่านั้น แต่นึกไม่ถึงว่าเธอจะบีบเขาจนถึงทางตันเช่นนี้ ฮั่วเทียนเย่ว์ทนไม่ไหวแล้วจริงๆ
ลูกน้องที่เขาเรียกมายืนอยู่ข้างกายเขา “ช่วยฉันติดต่อทนายให้หน่อย เย็นนี้ฉันต้องได้เห็นหนังสือจากทนายความ” ในน้ำเสียงนั้นเย็นชาไม่มีแม้แต่อุณหภูมิ บรรยากาศเปลี่ยนอย่างฉับพลัน ทำเอาคนตกใจกลัวอยู่บ้าง
ส่วนเวินหลานฉีก็ไม่ยอมนิ่งเฉยอยู่แล้ว เธอเดาได้นานแล้วว่าฮั่วเทียนเย่ว์อาจจะหยิบยกเรื่องพินัยกรรมมาพูด ไม่แน่ถึงตอนนั้นอาจจะบีบให้เธอตรวจ DNA ก็ได้ใครจะไปรู้
ประตูห้องทำงานถูกใครบางคนผลักเข้ามา หากแต่ครั้งนี้คนที่เดินเข้ามาคือจิ่งหลาน นอกจากนี้ข้างหลังของจิ่งหลานยังมีชายหนุ่มวัยรุ่นคนหนึ่งดูสุภาพเรียบร้อย มีความรู้ความสามารถ แต่อ่อนปวกเปียกตามหลังมาด้วย
“ฉี นี่คือทนายของบริษัทผม และเป็นเพื่อนสนิทสมัยมหาลัยของผมด้วย คุณวางใจได้ ความสามารถของเขาไม่มีปัญหาอย่างเด็ดขาด”
“ผมชื่อฉู่หราน ผมก็ไม่ได้เก่งขนาดอาหลานพูดหรอกนะ แต่เพื่อนของเขาก็คือเพื่อนของผม ผมจะพยายามช่วยคุณสุดความสามารถ” หนุ่มวัยรุ่นพูดแนะนำตัวเอง
“หลาน ขอบคุณมาก”
“คุณยังเกรงใจอะไรผมอีกเหรอ” จิ่งหลานยิ้ม
“คุณเวินปัญหาหลักๆ ตอนนี้คืออะไรเหรอ” ฉู่หรานถาม
“ฉันอยากจะสอบถามเรื่องเกี่ยวกับพินัยกรรม คาดว่าคุณเองก็รู้เรื่องของสกุลฮั่วช่วงนี้อยู่แล้ว ดังนั้นฉันจะไม่อธิบายอะไรเยอะแล้วกัน” เวินหลานฉียิ้มอย่างเจ็บปวด แล้วพูดต่ออีกครั้ง “ในพินัยกรรมของคุณปู่ฮั่วระบุเอาไว้ ว่าถ้าฮั่วฉินเยี่ยนไม่มีทางบริหารจัดการบริษัทได้อีกต่อไป ให้ยกให้บุตรผู้สืบทอดของเขารับช่วงต่อ ฉันอยากจะถามเกี่ยวกับตรงนี้แหละ เขาไม่ได้ระบุอายุที่แน่ชัด และตอนนี้ฉันก็ท้องลูกของอาเยี่ยนอยู่ แบบนี้ถ้าพ่อของอาเยี่ยนอยากจะแย่งชิงอำนาจบริหารบริษัทไป ฉันจะใช้ฐานะแม่มาบริหารบริษัทแทนลูกของฉันชั่วคราวก่อนได้ไหม”
เวินหลานฉีพูดสิ่งที่เธออยากถามรวดเดียวจนจบ เธอแค่อยากมั่นใจก่อนจะไปเผชิญหน้ากับฮั่วเทียนเย่ว์มากกว่าเดิม ถึงอย่างไรไอ้แก่นั่นก็ไม่ใช่จะกวนโมโหอะไรได้ง่ายๆ
“อืม…เรื่องคร่าวๆ พวกนี้ของคุณเวินผมพอจะเข้าใจบ้างแล้ว ตามหลักแล้วตอนนี้ประธานฮั่วยังไม่ได้สติอยู่ ซึ่งไม่มีทางบริหารบริษัทต่อได้อยู่แล้ว ดังนั้นข้อนี้ก็สอดคล้องกับเงื่อนไขของพินัยกรรม ในพินัยกรรม สาเหตุในพินัยกรรมไม่ได้กำหนดเฉพาะ เพียงแค่บอกว่าไม่อาจบริหารต่อไปได้ ฉะนั้นตรงนี้จึงไม่มีข้อคิดเห็นแย้ง ตามหลักกฎหมายแล้ว คุณเวินคุณเป็นภรรยาถูกต้องตามกฎหมายของประธานฮั่ว ดังนั้นถ้าประธานฮั่วประสบอุบัติเหตุ ทรัพย์สมบัติของเขาก็ต้องเป็นของคุณแน่นอนอยู่แล้ว”
ฉู่หรานหยุดไปพักหนึ่ง แล้วพูดต่อ “ปัญหาตอนนี้คือ ตงหยวนกรุ๊ปไม่อาจถือได้ว่าเป็นทรัพย์สมบัติส่วนตัวของประธานฮั่ว เพราะตงหยวนก่อตั้งมาตั้งแต่รุ่นพ่อ ดังนั้นตามหลักแล้ว น่าจะถือเป็นสมบัติของตระกูล แต่ในพินัยกรรมของคุณปู่ฮั่วระบุไว้อย่างชัดเจน ว่าผู้สืบทอดของตงหยวน ฉะนั้นตรงนี้จึงไม่มีปัญหาอะไร น่าจะให้ผู้สืบทอดของประธานฮั่วรับช่วงต่อกิจการจริง”
เวินหลานฉีถอนหายใจ “ฉันแค่กลัวว่าฮั่วเทียนเย่ว์จะหยิบเอาเรื่องอายุมาอ้าง ถึงยังไงแม้ในท้องฉันจะมีเด็กจริง แต่ตงหยวนเป็นสมบัติของตระกูลฮั่ว ถึงแม้ฉันจะเป็นภรรยาของอาเยี่ยน แต่ถึงยังไงก็ไม่ใช่คนของสกุลฮั่ว”
“ใช่คุณเวิน สิ่งที่คุณกังวลนั้นเป็นปัญหาจริง แต่ถึงยังไงคุณก็เป็นแม่เด็ก และเป็นภรรยาของประธานฮั่วด้วย ดังนั้นคุณมีสิทธิ์บริหารบริษัทแทนลูกในท้อง” ฉู่หรานพูด
“งั้นก็ดี” เวินหลานฉีถอนหายใจ
“แต่คุณนาย ถ้าฮั่วเทียนเย่ว์อยากให้คุณพิสูจน์ว่าเด็กเป็นลูกของประธานฮั่วหรือเปล่าล่ะ” ซั่งกวนเชียนยังคงกังวลเรื่องนี้อยู่บ้าง
“ก็ให้เขาตรวจไปสิ ฉันจะไปตรวจที่โรงพยาบาลให้เขา ให้โรงพยาบาลออกใบรับรองให้ แล้วใบรับรองนี้ฉันจะเป็นคนประกาศออกไปเองด้วย จะได้ผลักหัวหอกทั้งหมดไปลงที่ฮั่วเทียนเย่ว์ ถึงตอนนั้นฉันจะคอยดู ว่าเขาจะอธิบายอย่างแน่ชัดว่ายังไง” เวินหลานฉีพูดทั้งยิ้มเย็น
จิ่งหลานมองเวินหลานฉีอย่างปวดใจอยู่บ้าง ระยะนี้เธอทั้งผ่านประสบการณ์และแบกรับอะไรมากเกินไป เขาไม่รู้จะทำอย่างไร จึงได้แต่พยายามช่วยเธอแก้ไขปัญหาเหล่านี้อย่างเต็มที่ ช่วยเธอแบ่งเบาไปบ้าง
“ฉี เดี๋ยวผมไปเป็นเพื่อนคุณให้น้ำเกลือที่โรงพยาบาล หมอบอกว่าคุณออกจากโรงพยาบาลได้ แต่ต้องไปให้น้ำเกลือทุกวัน อย่างไรเสียร่างกายของคุณก็ยังฟื้นตัวได้ไม่ดี” จิ่งหลานมองเวินหลานฉีอย่างเป็นห่วงอยู่บ้าง
เวินหลานฉีพยักหน้าเบาๆ “งั้นเราไปกันเถอะ”
“งั้นเรื่องที่นี่ก็ฝากฝังพวกคุณแล้ว ถ้ามีเรื่องอะไรโทรหาฉันได้ทันที” หลังจากเวินหลานฉีพูดกับซั่งกวนเชียนและเฉิงหมิงจบ ก็จากไปกับจิ่งหลาน
พวกนักข่าวยังคงดักรออยู่หน้าบริษัทดังเดิม แต่ครั้งนี้เวินหลานฉีไม่ได้สนใจพวกเขา และมุ่งตรงไปขึ้นรถทันที
เช่นเดียวกัน บ้านใหญ่สกุลฮั่วและหน้าโรงพยาบาลเองก็มีนักข่าวและปาปารัสซี่ดักรออยู่เต็มเช่นกัน ทุกครั้งที่สกุลฮั่วมีข่าวอะไร สื่อข่าวทั่งทั้งเมืองหลวงต่างเอะอะวุ่นวายกันอย่างกับหม้อทอด สื่อข่าวทุกสำนักต่างง่วนอยู่กับการแย่งกันถือเอกสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียว พวกนักข่าวแต่ละคนต่างวิ่งกันอย่างกระตือรือร้นกว่าเวลาปกติเสียอีก
ก็นั่นเป็นถึงสกุลฮั่วเลยนะ ถ้าแย่งข้อมูลข่าวพิเศษมาได้ก่อนเป็นเจ้าแรกละก็ จะได้ค่าคอมมิชชั่นมากแค่ไหนกันล่ะ ถือเป็นรายได้มากพอดูเลยทีเดียว นักข่าวแทบทุกคนต่างคิดเช่นนั้น
“คุณท่านหนังสือจากทนายร่างเสร็จแล้วครับ ตอนนี้ต้องทำยังไงต่อ” ชายคนหนึ่งพูดกับฮั่วเทียนเย่ว์
ฮั่วเทียนเย่ว์นั่งอยู่บนเก้าอี้ แล้วยกถ้วยชาขึ้นจิบ เขาอ่านเอกสารอย่างพอใจ ครั้งนี้เขาต้องอาศัยตอนเวินหลานฉียังไม่ทันโต้ตอบ ชิงลงมือก่อนเวินหลานฉีจะตั้งตัวติด เรื่องนี้จำเป็นต้องหาทางออกอย่างรวดเร็วที่สุด และฮั่วเทียนเย่ว์ก็ทนรอไม่ไหวแล้ว
“ในสวนบ้านเรามีนักข่าวสองสามคนดักรออยู่ไม่ใช่เหรอ” ฮั่วเทียนเย่ว์พูด
ถึงแม้การระแวดระวังรักษาทางเข้าออกของสกุลฮั่วนั้นเข้มงวดมาก แต่ก็ยังมีนักข่าวสองสามคนทนไม่ไหว ปลอมตัวเข้ามาในสวน ถูกจับได้ก็ถูกจับได้เถอะ ถ้าได้ข่าวเป็นเจ้าแรกมันก็คุ้มไม่ใช่เหรอ
ผู้ชายอีกด้านเมื่อได้ยินฮั่วเทียนเย่ว์พูดประโยคนั้น ก็พยักหน้า
ฮั่วเทียนเย่ว์หยัดกายยืนขึ้น เดินไปหยิบยาหม่องเขียวข้างตู้ทาปลายนิ้ว จากนั้นก็ปิดฝา แล้วป้ายยาหม่องเขียวบนนิ้วลงบนบางส่วนของหางตา
แม้จะไม่สบาย แต่ก็ถือว่ายังมีประโยชน์อยู่บ้าง ฮั่วเทียนเย่ว์รู้สึกว่าตาของตนเย็นๆ แสบๆ จากนั้นน้ำตาก็ไหลลงมาทันที
ฮั่วเทียนเย่ว์เดินไปยืนริมหน้าต่างห้องนอนอย่างพอใจ เขานั่งลงบนเก้าอี้ โดยจงใจร้องไห้พร้อมทั้งพูดกับลูกน้องด้วยเสียงดังลั่น เขาวางแผนจะเล่นละครตบตานักข่าวพวกนั้น
“คุณท่าน คุณเป็นไรเหรอ”
“เฮ้อ…ลูกชายน่าเวทนาทั้งสองของฉัน ตอนนี้ไม่อยู่แล้วคนหนึ่ง ส่วนอีกคนก็ไม่ได้สติ ไม่รู้ว่าจะฟื้นขึ้นมาเมื่อไหร่น่ะสิ…” ฮั่วเทียนเย่ว์ร้องไห้พร้อมทั้งพูด
“คุณท่าน ลูกชายของคุณท่านไม่ได้สติ แต่ก็ยังมีลูกสะใภ้อยู่ไม่ใช่เหรอ” เมื่อลูกน้องเห็นนักข่าวผู้ดักซุ่มรอสังเกตเห็นทางนี้ แล้วแอบมาหลบซ่อนตัวอยู่หลังทุ่งหญ้า ก็กระแอมไอสองสามครั้ง เพื่อเตือนฮั่วเทียนเย่ว์
ฮั่วเทียนเย่ว์เอายาหม่องเขียวป้ายบนตาอย่างไร้ความปรานี ในชั่วพริบตาน้ำตาก็ไหลพรากลงมาไม่หยุด
“ลูกสะใภ้เหรอ ลูกสะใภ้จะไปมีประโยชน์อะไรล่ะ…อยากจะฉวยโอกาสตอนฉินเยี่ยนประสบอุบัติเหตุ รับช่วงอำนาจบริหารตงหยวนอย่างเดียวเลย แถมยังเอาลูกในท้องของตัวเองมาคุกคามฉันอีก บีบให้ฉันทอดทิ้งตงหยวน…ตกลงลูกในท้องของเธอเป็นลูกของฉินเยี่ยนหรือเปล่า ใครจะไปรู้…ฉินเยี่ยนหาผู้หญิงไม่เป็นโล้เป็นพายข้างนอกมา โดยไม่บอกฉันสักคำ พอตอนนี้ฉินเยี่ยนประสบอุบัติเหตุ เธอก็เผยโฉมหน้าที่แท้จริงออกมาดังคาด…”
ยิ่งฮั่วฉินเยี่ยนพูดก็ยิ่งสะเทือนใจ ลูกน้องข้างกายจึงรีบส่งกระดาษทิชชูให้ทันที
“คุณท่าน คุณอย่าเป็นทุกข์เกินไปนักเลย ไม่แน่ลูกในท้องของคุณเวินอาจจะเป็นจริงก็ได้นะ ถ้านั่นเป็นลูกของนายใหญ่จริงล่ะ”
“นายอย่ามาปลอบใจฉันนักเลย…เรื่องพวกนี้ฉันก็ได้แต่เล่าให้นายฟังนั่นแหละ เฮ้อ ฉันทนไม่ทำลายชื่อเสียงเธอไม่ไหวแล้วนะ ถึงยังไงเธอก็เป็นคนที่ฉินเยี่ยนรัก ส่วนฉันก็ทำได้เพียงน้อยใจ และปรารถนาให้เรื่องราวสำเร็จอยู่เช่นนี้”
“คุณท่าน…คุณจะกลุ้มอกกลุ้มใจไปทำไมล่ะ”
“เฮ้อ ถึงแม้ตอนคุณปู่เสียตอนแรกนั้น บอกว่าถ้าอาเยี่ยนไม่อาจเข้าควบคุมบริษัทต่อไปได้ ให้มอบให้บุตรผู้สืบทอดของเขาแทน แต่ก็ต้องมั่นใจว่าเป็นลูกของเขานะ…”
ลูกน้องทำทีเป็นรีบเข้าไปประคองฮั่วเทียนเย่ว์ ฮั่วเทียนเย่ว์ร้องไห้พร้อมทั้งพูดพักใหญ่ ทั้งสองถึงได้เดินเข้าไปในห้อง
ฮั่วเทียนเย่ว์เห็นว่านักข่าวสองสามคน ซึ่งดักรออยู่นอกหน้าต่างนั้นต่างมองหน้ากันไปมา จากนั้นก็แย่งกันแอบย่องออกไป เขาก็ยิ้มอย่างพอใจ
เขาฮั่วเทียนเย่ว์ไม่เสียดายเกียรติของสกุลฮั่ว ถึงได้ใช้ลูกไม้เดิมๆ อีกครั้ง ก็เพื่อตงหยวน เพื่อให้เวินหลานฉีผู้หญิงคนนั้นรู้ ว่าตงหยวนเป็นแค่ของสกุลฮั่วเท่านั้น แต่มันต้องพยายามมากจริงๆ นะ
ฮั่วเทียนเย่ว์อดนึกถึงเรื่องคลิปครั้งก่อนไม่ได้ ตอนแรกเกือบจะชนะฮั่วฉินเยี่ยนอยู่แล้วเชียว สุดท้ายเวินหลานฉีผู้หญิงคนนี้ก็ปล่อยคลิปอีกอันออกมาอีก จนแผนการของเขาล้มเหลวไม่เป็นท่า
แต่เรื่องนี้ก็ต้องโทษไอ้สถุนฮั่วจวินคนนั้นด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะเขาพูดว่าร้ายต่อหน้าคนนอก จะโดนพวกเขาอัดคลิปมาให้เป็นจุดอ่อนเหรอ!
ยิ่งคิดฮั่วเทียนเย่ว์ก็ยิ่งโมโห แต่ยังดีที่ฮั่วจวินโดนเขาจัดการไปแล้ว อารมณ์เขาถึงได้ผ่อนคลายลงหน่อย
——
[1] ปล่อยมือจากหม้อแตก (破罐子破摔) หมายถึง หม้อที่อยู่ในมือมันแตกแล้ว จับไว้ก็ประสานรอยร้าวให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้ แค่ปลอบใจตัวเองว่ามันยังไม่แตกออกเท่านั้น ปล่อยมือในที่นี้คือยอมรับว่ามันแตกแล้ว อุปมาว่า ไม่อาจทำสิ่งที่เป็นอยู่ได้ ไร้ซึ่งทางเลือกใดๆ ทำได้แค่ปล่อยให้เป็นไป ยอมรับชะตากรรม
ตอนต่อไป →