ตอนที่ 159 ตีโต้

พ่ายรักวิวาห์ลวง

“คิดไม่ถึงเลย นังผู้หญิงสมควรตายคนนี้มันท้องตั้งแต่เมื่อไหร่!” ไฟโทสะในใจฮั่วเทียนเย่ว์ไม่มีที่ระบาย ดังนั้นถ้วยชาแต่ละใบจึงโดนเขาปาลงบนพื้นจนแตกอย่างต่อเนื่อง

 

 

เขานึกไม่ถึงอย่างเด็ดขาดว่าเวินหลานฉีจะตั้งท้องงั้น ตอนแรกเขาวางแผนมาอย่างดิบดีว่าฮั่วฉินเยี่ยนกลายเป็นเจ้าชายนิทรา แล้วบริษัทก็จะกลายเป็นของเขา แต่อยู่ๆ กลับมีเด็กปรากฏตัวออกมาเสียอย่างนั้น

 

 

ฮั่วเทียนเย่ว์โมโหจนตัวสั่นเทิ้ม ไม่รู้จะพูดอะไรจริงๆ

 

 

พอเห็นท่าทางเช่นนี้ของเขา คนใช้รอบข้างต่างตกใจจนอกสั่นขวัญหาย ไม่รู้จะทำอย่างไรดี จะเดินก็ไม่กล้า จะอยู่ก็กลัว จึงทำได้เพียงหยิบเศษแก้วขึ้นมา และเก็บกวาดเศษแก้วเกลื่อนพื้นอย่างงกๆ เงิ่นๆ

 

 

ก่อนหน้านี้ก็จิ่งหลานแล้วคนหนึ่ง ตอนแรกคิดว่าแค่จัดงานแถลงข่าวขึ้น ก็จะสามารถประกาศอำนาจสิทธิ์ขาดในการปกครองแก่คนพวกนั้นได้แล้ว แต่ผลสุดท้ายเพราะประโยคนั้นของเวินหลานฉี มันตั้งใจทำให้คำพูดของเขาเมื่อเช้าเสียเปล่าไม่ใช่หรือไง ไหนจะผู้วางแผนกระทำมิดีมิร้ายอะไรนั่นอีก คนมีสมองคงฟังกันออก ว่าเธอหมายถึงเขา!

 

 

เขาจะไม่ยอมแพ้ให้เธอง่ายๆ แบบนี้หรอก! แค่ผู้หญิงไม่เกี่ยวข้องกับสกุลฮัวคนหนึ่ง ถือสิทธิ์อะไรมาแย่งตงหยวนไปแบบนี้

 

 

ขณะฮั่วเทียนเย่ว์กำลังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ในบ้านนั้น เวินหลานฉีก็มาถึงภายในตงหยวนนานแล้ว

 

 

เมื่อได้ยินว่าประธานประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ไม่ได้สติ จิตใจของคนในตงหยวนก็ว้าวุ่นอยู่นานแล้ว ทุกคนต่างเป็นห่วงว่าตนจะไปอยู่ที่ไหน ใครบ้างจะไม่รู้ว่าฮั่วฉินเยี่ยนไปมาอย่างอิสระคนเดียวมาโดยตลอด แล้วเขาดันประสบอุบัติเหตุแบบนี้ ไม่รู้ใครจะมาช่วยพวกเขา

 

 

เช้าตรู่วันนี้พอได้ยินว่าฮั่วเทียนเย่ว์จะเข้ายึดควบคุมตงหยวน พวกหุ้นส่วนบางส่วนก็เตรียมจะถอนหุ้นออก ฮั่วเทียนเย่ว์ไร้ความสามารถแค่ไหน ใครบ้างจะไม่รู้ล่ะ พูดให้ดูดีหน่อยนั่นก็เป็นประมุขบ้านสกุลฮั่ว เป็นพ่อของฮั่วฉินเยี่ยน แต่พูดให้แย่หน่อยเขาก็แค่คนที่โดนลอยแพสิทธิ์ และพึ่งพาลูกชายใช้ชีวิตอยู่บ้านไปวันๆ เท่านั้น

 

 

ถ้าตงหยวนอยู่ในมือเขาละก็ ต่อจากนี้จะพัฒนาเป็นอย่างไรก็ไม่แน่

 

 

ขณะทุกคนกำลังแตกตื่นอยู่นั้น การปรากฏตัวของเวินหลานฉี ราวกับนำพาความหวังมาให้ทุกคนก็มิปาน

 

 

“คุณนาย คุณมาแล้วเหรอ” ซั่งกวนเชียนถ่างตาหมีแพนด้า พร้อมผมกระเซอะกระเซิงออกมาต้อนรับเวินหลานฉี

 

 

เมื่อเห็นท่าท่างเช่นนั้นของเขา เวินหลานฉีก็รู้สึกทนไม่ไหวอยู่บ้าง ตั้งแต่ฮั่วฉินเยี่ยนประสบอุบัติเหตุ คาดว่าแม้แต่เวลานอน เขาก็คงไม่มีละมั้ง คงมัวแต่วุ่นครุ่นคิดเกี่ยวกับระบบของบริษัท

 

 

และความจริงก็เป็นเช่นนั้น พอได้ยินว่าฮั่วฉินเยี่ยนประสบอุบัติเหตุ ปฏิกิริยาโต้ตอบแรกของซั่งกวนเชียน คือเสริมเครือข่ายภายในบริษัทให้แข็งแรง และปกป้องความลับภายในให้ดี คนที่ตงหยวนผู้มีรากฐานมั่นคงจ้องมองอยู่ในยามปกตินั้นไม่ใช่น้อยๆ เลย ส่วนคนที่อยากจะฉวยโอกาสนี้เข้ามาตีชิงตามไฟก็ไม่ใช่จำนวนน้อยยิ่งกว่า

 

 

เรื่องนี้ต้องมีฮีโร่หลังม่านอย่างเขาเข้ามาสนับสนุน

 

 

ไม่ใช่แค่เขาคนเดียวเท่านั้น แต่หลายคนยังกอดเก็บจิตใจอันเป็นทุกข์ทำงานล่วงเวลามากกว่าเดิม โดยไม่ทอดทิ้งเพราะเหตุผลเช่นนี้

 

 

“ตลอดสองวันนี้…ลำบากคุณแล้ว” เวินหลานฉีเห็นพวกเขาทุ่มเทกำลังเพื่อตงหยวนขนาดนี้ ในใจก็ตื้นตันใจไม่รู้จักเท่าไร

 

 

ดูท่าปกติฮั่วฉินเยี่ยนจะไม่ได้เลี้ยงดูบุคลากรพวกนี้เสียเปล่าสินะ ช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้จะดูออกเสมอ ว่าใครปฏิบัติต่อคุณอย่างจริงใจ และใครไม่จริงใจ

 

 

“ประธานฮั่วเขา…เป็นยังไงบ้าง…” ขอบตาของซั่งกวนเชียนแดงก่ำ อย่างไรเสียเขาก็ติดตามฮั่วฉินเยี่ยนมานานหลายปีขนาดนี้ ถึงแม้จะเป็นลูกน้องของเขา หากแต่ตลอดหลายปีมานี้ฮั่วฉินเยี่ยน ก็ปฏิบัติต่อพวกเขาเหมือนพี่น้อง ปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไม่ดูแคลน

 

 

พอได้ข่าวว่าฮั่วฉินเยี่ยนประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ นอกจากเวินหลานจะเป็นคนทุกข์ใจที่สุดแล้ว ก็ดูเหมือนจะมีพวกเขาเหล่านี้นี่แหละ

 

 

“คุณหมอบอกว่าอาเยี่ยนอาจจะไม่ได้สติไปตลอด…โอกาสฟื้นขึ้นมานั้นมีน้อยมาก” เวินหลานฉีเบนหน้าหนีไม่มองพวกเขา เวลานี้เธอไม่อยากให้อารมณ์ของตัวเองกระทบต่อพวกเขาอีก สิ่งที่เธอควรทำคือช่วยให้ขวัญกำลังพวกเขามีเสถียรภาพ

 

 

เพราะฮั่วฉินเยี่ยนไม่ได้สติ ความหวังทั้งหมดของพวกเขาตอนนี้จึงตกอยู่ที่เธอ เหตุผลเหล่านี้ทำไมเวินหลานฉีจะไม่เข้าใจล่ะ

 

 

เวินหลานฉีสูดลมหายใจลึก แล้วหันหน้ากลับมามองทุกคน สายตาของเธอล้ำลึกดั่งสายน้ำ ทว่ากลับฉายแววแน่วแน่อย่างไม่มีใครเทียบได้ ศรัทธาแน่วแน่แบบนี้แพร่ขยายออกมาเหมือนอากาศธาตุ แล้วหยุดอยู่ในใจของทุกคน

 

 

ให้พวกเขารับรู้ได้อย่างชัดเจน ว่าผู้หญิงตรงหน้าคนนี้จะนำพาตงหยวนเดินไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองต่อไป จะไม่ให้ด้อยไปกว่าฮั่วฉินเยี่ยนเลยแม้แต่น้อย

 

 

อย่างไรเสีย…เธอก็เป็นภรรยาท่านประธานของพวกเขาละนะ คนที่ท่านประธานชอบพอจะผิดพลาดไปได้อย่างไร

 

 

สีหน้าของซั่งกวนเชียนและคนอื่นๆ กลับมามีรอยยิ้มอีกครั้ง รอยยิ้มจางๆ นี้อยู่ในสายตาลึกซึ้งของเวินหลานฉีทั้งหมด ตลอดสองวันมานี้ทุกคนไม่ได้หลับตาเลย ใครจะไม่อยากให้ตงหยวนดีขึ้นล่ะ

 

 

“ค่อยว่ากันบนตึกเถอะ ตรงนี้มากคนมากความ เรื่องบางเรื่องไม่เหมาะจะพูดออกมา” หลังจากเวินหลานฉีพูดจบก็เดินไปข้างหน้า ส่วนซั่งกวนเชียนและคนอื่นเองก็ตามขึ้นตึกไปด้วยกัน

 

 

“พวกคุณคิดว่าปัญหาหลักที่เผชิญหน้าอยู่ตอนนี้คืออะไร” เวินหลานฉียืนอยู่ริมหน้าต่าง ในห้องทำงานของฮั่วฉินเยี่ยน แล้วเอามือไพล่หลังถามพวกเขา

 

 

“เรื่องสำคัญที่สุดตอนนี้คืออำนาจบริหารของบริษัท คุณนายคุณก็รู้ว่าพ่อของท่านประธาน ไม่ลงรอยกับท่านประธานมาโดยตลอด และครั้งนี้เขาก็อยากใช้โอกาส ตอนท่านประธานประสบอุบัติเหตุมารับช่วงตงหยวน เรื่องนี้จะต้องไม่ให้แผนชั่วของเขาประสบความสำเร็จเด็ดขาด”

 

 

“ตอนนี้ในท้องของฉันมีลูกอยู่ ยังไม่พออีกเหรอ”

 

 

“นั่นไม่ใช่แค่เพราะจะโกหกพวกเขาหรอกเหรอ นั่นไม่ใช่แผนยั่งยืนเลยนะ…” ซั่งกวนเชียนพูดอย่างฉงน

 

 

เวินหลานฉีหมดคำจะพูด…เธอร่วมมือกับคนกลุ่มนี้ ซึ่งคิดว่าเมื่อกี้เธอแค่เล่นละครให้พวกนักข่าวดูอย่างนั้นเหรอ

 

 

เฮ้อ ก็โทษพวกเขาไม่ได้ละนะ อยู่ๆ มาบอกตนว่ามีลูก แม้แต่เวินหลานฉีเองยังช็อกเลย

 

 

ตกลงนี่เป็นเรื่องผิดคาด หรือเซอร์ไพรส์กันแน่เนี่ย จะบอกว่าเป็นเรื่องผิดคาด…เด็กคนนี้ก็มาอย่างกะทันหันเกินไป แต่จะว่าเป็นเรื่องเซอร์ไพรส์…ก็ไม่ผิด มีเขาแล้ว เวินหลานฉีค่อยมีแต้มต่อตีโต้ฮั่วเทียนเย่ว์หน่อย

 

 

เธอไม่ใช่คนสกุลฮั่ว แต่ลูกในท้องของเธอถือว่าใช่ละนะ แบบนี้ถึงจะมีเหตุผลไปพูดเกลี้ยกล่อมทุกคนได้

 

 

เวินหลานฉีอธิบายอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “ฉันไม่ได้โกหกพวกเขา นี่คือเรื่องจริง เมื่อวานตอนบ่ายคุณหมอเข้ามาแอบบอกฉัน เพราะคุณปู่ฮั่วมีบุญคุณต่อหมอคนนั้น หมอคนนั้นก็เลยเข้ามาหาฉันเพื่อปรึกษาหารือ”

 

 

เวินหลานฉีพูดจบ ก็หยิบรายงานฉบับนั้นขึ้นมาจากกระเป๋าติดตัว แล้ววางลงบนโต๊ะ “ไม่อย่างนั้น พวกคุณก็ลองดูด้วยตัวเองสิ”

 

 

ที่แท้ก็เป็นเรื่องจริงเองเหรอ ซั่งกวนเชียนกับเฉิงหมิงได้แต่มองหน้ากันไปมา เฉิงหมิงคิดว่าเมื่อกี้เวินหลานฉี แค่คิดแผนรับมือชั่วคราวออกเสียอีกนะ…

 

 

ทั้งสองเข้าไปดูใกล้ๆ เมื่อรู้ว่าสิ่งที่เวินหลานฉีพูดเมื่อกี้นี้คือเรื่องจริง สีหน้าอย่างกับลูกมะระ ก็เปลี่ยนเป็นดีใจในที่สุด

 

 

“คุณนาย นี่คือเรื่องจริง แต่คุณยังต้องป้องกันฮั่วเทียนเย่ว์นะ ตอนนี้เป็นไปได้ว่าเขาอาจจะอยากให้คุณพิสูจน์ ว่าในท้องของคุณมีเด็กจริง แถมยัง…”

 

 

“แถมยังอะไร คุณพูดมาเลย ไม่เป็นไร” จริงๆ เวินหลานฉีเองก็คิดไว้บ้าง แต่เธอแค่อยากฟังความเห็นจากพวกเขาเท่านั้น

 

 

“แถมยังเป็นลูกของประธานฮั่วด้วย” ซั่งกวนเฉียนเอ่ยปากพูดประโยคครึ่งหลังออกมาอย่างช้าๆ

 

 

ความจริงเขารู้สึกลังเลอยู่บ้าง เขากลัวว่าเวินหลานฉีจะเข้าใจผิด คิดว่าเขาไม่เชื่อเธอ แต่พอย้อนกลับมาคิดแล้วเวินหลานฉี ก็ไม่ใช่ผู้หญิงไม่รู้จักเหตุผลหลัก แล้วหาเรื่องทะเลาะโดยไร้เหตุผลพรรค์นั้น จึงคิดว่าพวกเขาควรเตรียมตัวอย่างรอบคอบจะดีกว่า

 

 

เวินหลานฉีพิงขอบหน้าต่าง เธอรู้สึกเหนื่อยอยู่บ้าง แค่เดี๋ยวเดียวก็ต้องมาจัดการเรื่องมากมายขนาดนี้ มิหนำซ้ำยังต้องเผชิญหน้ากับการลอบกัด หาเรื่องโดยไร้เหตุผลของฮั่วเทียนเย่ว์อีก

 

 

“ทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ น้ำมาใช้ดินต้าน ไม่ว่าจะมาด้วยวิธีไหน ยังไงก็ต้องแก้ไขปัญหา” เวินหลานฉีเงยหน้าครุ่นคิดสักพัก แล้วหันกลับไปพูดยิ้มๆ

 

 

“งั้นตอนนี้พวกเราต้องทำอะไร” ซั่งกวนเชียนถาม

 

 

“เฝ้ามองสถานการณ์ เตรียมรับมือก็พอแล้ว ฉันเชื่อว่าไม่นานฮั่วเทียนเย่ว์จะต้องเคลื่อนไหวแน่” เวินหลานฉีพูดพลางกระตุกมุมปากยิ้มเย็น

 

 

ใช่แล้ว สิ่งที่เธอเดาไว้นั้นแม่นยำมาก

 

 

นอกบ้านใหญ่สกุลฮั่วมีนักข่าวมากมายมารุมล้อม จนนานเข้าฮั่วเทียนเย่ว์ก็ยิ่งไม่สบายใจ ราวกับว่าเขาถูกจับตามองทุกการกระทำ และมักจะรู้สึกว่ามีสายตาจับจ้องเขาอยู่เบื้องหลังตลอด ทำให้เขาไม่รู้จะทำอย่างไร

 

 

ยิ่งนานเข้าฮั่วเทียนเย่ว์ก็ยิ่งใจร้อนขึ้น แต่เขายังคงพยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองเอาไว้ เพราะเขาจะไม่ยอมให้แผนการของตัวเอง ต้องมาพังทลายในน้ำมือของผู้หญิงคนหนึ่งแบบนี้

 

 

ผู้หญิงคนนั้น เธอรู้เรื่องพินัยกรรมของคุณปู่ได้ยังไง ฮั่วเทียนเย่ว์คิดในใจอย่างเคียดแค้น

 

 

หนังสือสั่งเสีย?

 

 

ใช่! หนังสือสั่งเสียแน่!

 

 

แผนการหนึ่งค่อยๆ ผุดขึ้นในใจของฮั่วเทียนเย่ว์ เขาจึงรีบต่อสายโทรศัพท์อย่างรวดเร็ว…

 

 

หลังจากวางสาย มุมปากของฮั่วเทียนเย่ว์ก็ยกยิ้มอย่างลำพองใจ เขาชักอยากเห็น ว่าครั้งนี้นังผู้หญิงคนนั้นยังจะมีวิธีอะไรอีก

 

 

เขาอยากให้เธอรู้ ว่าตงหยวนเป็นของสกุลฮั่ว เด็กยังไม่เกิดในท้องเธอนั้น ตกลงเป็นเรื่องจริง หรือปลอมก็ไม่รู้ ไม่แน่ว่าอาจจะไม่ใช่สกุลฮั่วเสียด้วยซ้ำไป

 

 

เขาเตรียมพร้อมปะทะกับเวินหลานฉีโดยตรงแล้ว เพียงแต่ในสายตาของพวกนักข่าวโง่เขลาเบาปัญญาพวกนั้น เขายังต้องเสแสร้งแกล้งทำเป็นพ่อสุดที่รักอย่างเสียไม่ได้ นั่นทำให้ฮั่วเทียนเย่ว์ไม่สบายใจยิ่งนัก ความเมตตาและอ่อนโยนของเขานั้น จำกัดแค่กับฮั่วจวินตอนเด็กๆ เท่านั้นแหละ

 

 

นึกถึงฮั่วจวิน…ฮั่วเทียนเย่ว์อดทอดถอนใจในใจไม่ได้ เขายังคงรู้สึกเป็นทุกข์อยู่บ้าง เพราะอย่างไรเสียฮั่วจวิน ก็เป็นลูกชายสุดที่รักของเขาตั้งแต่เด็กเลยนะ ทุกวันนี้มาถึงขั้นนี้ได้ เขายังรู้สึกขอโทษต่อฮั่วจวินอยู่บ้าง

 

 

ถึงได้บอกว่า ‘เสือถึงแม้จะร้าย ก็ไม่กินลูกตัวเอง’ จิตใจของฮั่วเทียนเย่ว์ตอนนี้มันโหดเหี้ยมยิ่งกว่าเสือเสียอีก บางทีเขาอาจจะหาข้ออ้างให้ตัวเองในใจ ว่าเพราะโดนฮั่วฉินเยี่ยนบีบบังคับให้ทำเช่นนี้

 

 

ตอนนี้ฮั่วเทียนเย่ว์ไม่มีทางให้เดินแล้ว จึงได้แต่ใช้วิธีเดินหมากรุกที่เสียหายที่สุด ตอนนี้เขาต่อสู้ดิ้นรนดั่งสัตว์ป่าถูกปิดล้อมก็มิปาน

 

 

เวินหลานฉียังอยู่ในห้องทำงานของฮั่วฉินเยี่ยน สองวันนี้เรื่องต้องจัดการของตงหยวนนั้นมากเกินไป ทั้งเรื่องหนังสือความเห็นจากพวกหุ้นส่วน และเรื่องธุรกิจบางส่วนอยากจะยกเลิกสัญญากับตงหยวน

 

 

อาเยี่ยนไม่ได้สติอยู่ไม่ใช่หรือไง คิดว่าตงหยวนจะไม่มีคนบริหารจริงเหรอ พอเห็นหนังสือแนะนำเป็นชั้นๆ แล้ว เวินหลานฉีก็โมโหจนโยนเอกสารลงบนโต๊ะ

 

 

เมื่อเห็นท่าทางเช่นนี้ของเวินหลานฉี ซั่งกวนเชียนกับเฉิงหมิงก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ได้แต่จัดการเรื่องของตัวเองอย่างเรียบร้อย ไม่ออกนอกลู่นอกทาง

 

 

ก๊อกๆๆๆ !

 

 

เสียงเคาะจากประตูห้องทำงานดังขึ้น

 

 

“เข้ามา” เวินหลานฉีพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

 

 

“ประธานเวิน มีจดหมายจากกล่องจดหมายหน้าบริษัทเพิ่มมาหนึ่งฉบับ” คนท่าทางคล้ายรปภ.คนหนึ่งเดินเข้ามา

 

 

“จดหมาย? งั้นมอบหมายให้คนจัดการก็ได้นี่ ไม่เห็นต้องเอาขึ้นมาให้ฉัน”

 

 

“แต่…” รปภ.เผยสีหน้ายุ่งยาก “ประธานเวินคุณดูเองเถอะครับ”

 

 

ผลสุดท้ายเวินหลานฉีก็รับจดหมายจากมือรปภ.มา แล้วตัวหนังสือสีดำก็โผล่พรวดขึ้นมาบนซองจดหมาย

 

 

‘เวินหลานฉีเปิดด้วยตัวเอง’

 

 

เวินหลานฉีอดสงสัยไม่ได้อยู่บ้าง เวลานี้ใครจะส่งจดหมายมาให้ตงหยวน แถมยังให้เธอเปิดด้วยตัวเองอีกงั้นเหรอ

 

 

แต่ตอนนี้คนในเมืองหลวงต่างรู้กันดี ว่าประธานของตงหยวนประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จนไม่ได้สติ ตอนนี้ตงหยวนมีเธอออกบัญชารักษาการณ์ด้วยตัวเอง ดังนั้นเขียนมาแบบนี้จะไม่แปลกเกินไปเหรอ