“ห้องพักผู้ป่วยของอาเยี่ยนคือห้องไหน” เวินหลานฉีวางเอกสารในมือลง แล้วเงยหน้าถาม
“คุณนาย ตอนนี้ร่างกายของคุณยังไม่ฟื้นฟูดีเลยนะ…” เฉิงหมิงพูดอย่างเป็นห่วงอยู่บ้าง
“คุณดูพวกเขาเป็นอย่างนี้สิ จะให้ฉันพักผ่อนดีๆ ได้เหรอ” มุมปากของเวินหลานฉีกระตุกยิ้มเหยียดหยาม
จะว่าไปก็ถูก…วันนี้ฮั่วเทียนเย่ว์จัดงานแถลงข่าวตลอดทั้งช่วงเช้า ตอนคุณนายเพิ่งตื่นขึ้นมาก็เปิดทีวีดูข่าว จนตอนนี้แม้แต่เวลาพักผ่อนยังไม่มีโดยสิ้นเชิง
เฉิงหมิงถอนหายใจ แล้วบอกเวินหลานฉี
“เรียกให้พยาบาลเข้ามาดึงสายน้ำเกลือออกเถอะ ขวดนี้มันหมดแล้ว” น้ำเสียงของเวินหลานฉีเย็นอย่างกับไม่มีอุณหภูมิเลยสักนิด
“ครับ” เฉิงหมิงตอบรับ และเดินออกจากห้องไป
“ฉี…คุณไม่เป็นไรจริงๆ ใช่ไหม” จิ่งหลานถามอย่างเป็นห่วง
“ฉันไม่เป็นไร ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก หลาน…ทางด้านจงเทียนฉันฝากนายด้วยนะ ขอร้องล่ะ” เวินหลานฉีพูดด้วยจิตใจร้อนรุ่นกระสับกระส่ายอยู่บ้าง
ท่าทางในตอนนี้ เกรงว่าช่วงนี้เธอคงไม่มีเวลากลับไปจงเทียน
“ฉี คุณวางใจได้ ผมสั่งให้คนไปดูแลแล้ว เดี๋ยวผมจะไปดูให้ก่อน ส่วนคุณก็ตั้งใจจัดการด้านตงหยวนก่อนเถอะ มีอะไรก็มาหาผมได้เสมอ ไม่ว่ายังไงสกุลจิ่งก็เป็นตระกูลมีหน้ามีตาในเมืองหลวงอยู่แล้ว ฮั่วเทียนเย่ว์เขายังพะว้าพะวัง ไม่กล้าตั้งตนเป็นศัตรูกับผมอยู่บ้าง”
เวินหลานฉีพยักหน้า
พยาบาลเข้ามาถอดสายน้ำเกลือ และแก้ผ้าก๊อซบนหัวเวินหลานฉีออกเปลี่ยนเป็นผืนใหม่ จากนั้นเวินหลานฉีก็เดินออกไป
ภายในห้อง ICU ฮั่วฉินเยี่ยนสวมชุดคนไข้สีขาวนอนอยู่อย่างสงบเงียบ ดวงตาทั้งสองข้างปิดแน่นสงบเยือกเย็นราวกับหลับอยู่ก็มิปาน
นอกจากผ้าก๊อซบนหัวกับสายน้ำเกลือบนตัวแล้ว ยังเป็นเครื่องเตือนใจเวินหลานฉีถึงอุบัติเหตุทางรถยนต์หนึ่งวันก่อนหน้านี้ด้วย
เวินหลานฉีหวังเป็นอย่างยิ่ง ว่าเวลานี้ฮั่วฉินเยี่ยนจะลืมตาขึ้นมามองเธอ และพูดกับเธออย่างอ่อนโยนว่า ‘ฉีฉี ผมกลับมาแล้ว’
แต่ทว่าเวินหลานฉีรู้ ว่าเธออาจจะไม่ได้ยินประโยคนี้ไปอีกชั่วชีวิต
หากแต่ก็ยังดี สวรรค์ยังไม่ใจร้ายเกินไปนัก ตอนนี้ยังให้เธอได้สัมผัสฮั่วฉินเยี่ยน และรับรู้ถึงอุณหภูมิร่างกายของเขาได้บ้าง ถึงแม้ว่าจะเป็นเจ้าชายนิทรา แต่ก็ยังมีอุณหภูมิอยู่
“อาเยี่ยน…คุณต้องฟื้นขึ้นมานะ…ฉันจะรอคุณตลอดไป คุณวางใจได้…ฉันจะช่วยคุณพยุงตงหยวนจนกว่าคุณจะกลับมา อีกอย่างตอนนี้ฉันไม่ได้ตัวคนเดียวแล้วนะ อาเยี่ยนเดี๋ยวคุณฟื้นขึ้นมาก็จะเห็นเขาเอง~” เวินหลานฉียิ้มจางๆ
มือของเธอกุมมือฮั่วฉินเยี่ยนแน่น ดวงตาปิดลงช้าๆ แล้วซบลาดไหล่เขาอย่างเงียบสงบ
ถ้าไม่มีอุบัติเหตุทางรถยนต์นั้น ตอนนี้พวกเขาอาจจะกอดกันอยู่ในบ้านด้วยท่วงท่าเช่นนี้ละมั้ง
น้ำตาไหลออกมาช้าๆ ตามขอบตาปิดสนิทของเวินหลานฉี และค่อยๆ ชุ่มโฉกตามแขนเสื้อของเธอ ทั้งยังเปียกซึมไปถึงขอบเสื้อของฮั่วฉินเยี่ยนด้วยเช่นกัน
ราวกับเธอผู้แข็งแกร่งคนเมื่อกี้หายวับไปกับตา ตอนนี้เวินหลานฉีผู้อยู่ข้างกายฮั่วฉินเยี่ยน และเต็มใจเป็นเพียงแค่ผู้หญิงคนหนึ่งที่จะพึ่งพาเขาได้ เธอจะไม่คิดไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ถึงแม้ว่าความเป็นจริงอันโหดร้ายนี้จะไม่ยอมให้เธอเป็นเช่นนั้น แต่ยามอยู่ข้างกายเขา ก็ขอให้เธอได้พักผ่อนสักหน่อยเถอะ
เพิ่งผ่านอุบัติเหตุทางรถยนต์มาหยกๆ ก็ต้องไปเผชิญหน้ากับเรื่องพรรค์นี้อีก ต่อให้เธอจะแข็งแกร่งแค่ไหน แต่เธอก็ยังเป็นเพียงแค่ผู้หญิงคนหนึ่งละนะ เธอจะแข็งแกร่งไปได้สักแค่ไหนกัน ตอนนี้ผู้ชายที่เธอรักที่สุดนอนอยู่บนเตียงคนไข้ และยังไม่รู้ว่าจะฟื้นขึ้นมาอีกไหม ส่วนพ่อของเขากลับสอดแนมบริษัทของเขาแบบนี้อีก…
“อาเยี่ยนคุณวางใจได้ ตอนนี้ฉันมีแต้มต่อมากพอจะไปเผชิญหน้ากับเขาแล้ว คุณวางใจได้เลย ฉันจะต้องปกป้องคุณ ปกป้องตงหยวนอย่างเต็มที่แน่นอน” เวินหลานฉีพูดพลางเงยหน้าขึ้นมองฮั่วฉินเยี่ยน ความรู้สึกลึกซึ้งในดวงตานั้น ราวกับจะละลายไปกับอากาศไม่มีอุณหภูมินี้ก็มิปาน
เวินหลานฉีเดินออกจากห้องพักผู้ป่วย และหันหน้าไปพูดกับเฉิงหมิงผู้คุ้มกันอยู่นอกห้องพักผู้ป่วย “เตรียมรถ ไปตงหยวน”
สีหน้าเฉิงหมิงปรากฏท่าทางดีใจอย่างปิดไม่มิด ประธานของเขานี่มองคนไม่ผิดจริงๆ ผู้หญิงทั่วไปที่ไหนจะมีอำนาจอย่างเวินหลานฉีได้ขนาดนี้
เวินหลานฉีกลับมาถึงห้องพักผู้ป่วย เธอแต่งหน้าบางๆ อย่างเรียบง่ายเพื่อปกปิดสีหน้าขาวซีดและหม่นหมองของเธอ ปล่อยผมยาวสีดำลงมาทั้งสองข้าง เพื่อปิดบังผ้าก๊อซบนหน้าผากของเธอเล็กน้อย
กระโปรงสั้นสีดำเข้าคู่กับรองเท้าส้นสูงสีดำคู่หนึ่ง บวกกับกระเป๋าสะพายข้างสีขาวใบหนึ่ง เรียบง่ายมากความสามารถ เธอต้องใช้ภาพลักษณ์แบบนี้บอกคนที่มุงดูเรื่องสนุกครึกครื้นเหล่านั้น ว่านับจากนี้ตงหยวนจะไม่เสื่อมสลาย นับวันจะยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ และตงหยวนก็ไม่ได้อยู่ในมือของฮั่วเทียนเย่ว์ด้วย
เวินหลานฉียิ้มกับกระจก แล้วเดินออกมาจากห้องพักผู้ป่วย จากนั้นก็เดินตามเฉิงหมิงออกไปจากโรงพยาบาล
ทันทีที่เพิ่งออกมาจากโรงพยาบาล ก็โดนนักข่าวเข้ามารุมล้อม พวกเขาต่างรู้จักเวินหลานฉีดีอยู่แล้ว ตอนฮั่วฉินเยี่ยนบอกพวกเขา ว่าเวินหลานฉีเป็นภรรยาของเขาตอนแรกนั้น พวกเขาก็เคยเจอมาแล้ว
“ประธานเวิน ไม่ทราบว่าพอเกิดเรื่องแบบนี้กับประธานฮั่วแล้ว แทนที่คุณจะอยู่เป็นเพื่อนเขา นี่คุณกำลังจะไปไหนเหรอคะ”
“ประธานเวิน เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ขนาดนี้แล้ว ทำไมตามตัวคุณถึงไม่บาดเจ็บอะไรเลยล่ะ”
คำถามที่พวกนักข่าวกรูกันเข้ามาถาม ทำให้เฉิงหมิงเป็นห่วงเวินหลานฉีอยู่บ้าง แต่หลังจากนั้นเขาก็พบว่า เธอไม่ต้องการความเป็นห่วงเหล่านี้ของเขาเลย
“อาเยี่ยนต้องการฉันก็จริง แต่ตงหยวนต้องการฉันยิ่งกว่า” เวินหลานฉียิ้ม โดยไม่ได้พูดอะไรมากกว่านี้ หากแต่ก็เท่ากับบอกพวกนักข่าวกลายๆ ว่าเธอต้องไปตงหยวน
เฉิงหมิงและเวินหลานฉีขึ้นรถ โดยทิ้งพวกนักข่าวไว้ข้างหลัง ทันทีที่พวกนักข่าวดึงสติกลับมาได้ ก็รีบวิ่งไปขึ้นรถ แล้วตามพวกเขาไปตงหยวนติดๆ
พอรถขับมาถึงตงหยวน ก็เห็นกองทัพนักข่าวปิดล้อมประตูหน้าของตงหยวนไว้ แถมยังมีรปภ. พยายามขัดขวางอย่างสุดชีวิต
ดวงตาสีน้ำตาลของเวินหลานฉีทอประกายอ่อนๆ อย่างไม่อาจคาดเดา เธอจัดผมเล็กน้อยแล้วเดินลงจากรถตามแรงประคองของเฉิงหมิง
เธอจงใจให้คนขับรถขับรถช้าหน่อย เพื่อรอให้นักข่าวพวกนั้นมาถึงก่อน และผลรับในตอนนี้ก็เป็นไปดังคาด
ทันทีที่ลงจากรถ กองทัพนักข่าวก็เข้ามารุมล้อม และกรูเกรียวกันเข้ามาถามคำถามเป็นระลอกๆ อัดแน่นจนเธอแทบจะหายใจไม่ออก
เวินหลานฉีโบกมือเป็นสัญญาณให้พวกนักข่าวเงียบลงหน่อย เพื่อฟังเธอพูด
“ฉันรู้ว่าเพื่อนนักข่าวทุกท่านมีคำถามอยากจะถามฉันมากมาย ไม่ทราบว่าให้ฉันได้พูดก่อนสักสองสามประโยคได้ไหม” เวินหลานฉียิ้มน้อยๆ
“ฉันรู้ว่าหลายคนอยากถามฉัน ว่าทั้งที่สามีตัวเองยังนอนอยู่ในโรงพยาบาล แต่ทำไมฉันกลับมาโผล่อยู่ที่นี่ ใช่ ไม่ผิดหรอก ตอนนี้อาเยี่ยนยังอยู่ในห้อง ICU และอาจจะไม่ได้สติแบบนี้ตลอดไป ฉันเลยมาโผล่อยู่ที่นี่เพราะอาเยี่ยน ตงหยวนเป็นผลพวงความขยันและต่อสู้สุดชีวิตอย่างยากลำบากของอาเยี่ยน ตอนนี้เขายังไม่ได้สติ ถ้าเพราะเรื่องนี้ทำให้ฉันล้มแล้วลุกขึ้นมาไม่ได้ตั้งแต่ตอนนี้ แล้วจะให้ใครมาประคับประคองตงหยวนล่ะ ฉันจะทำให้ผลพวงความขยันของอาเยี่ยนต้องพินาศลงในชั่วพริบตาไม่ได้! ยิ่งไปกว่านั้นเพื่อเขาแล้ว ฉันจะต้องพยายามมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างดี เพื่อรอฮั่วฉินเยี่ยนฟื้นขึ้นมา” เวินหลานฉีพูด พลางลูบท้องน้อยของตัวเองเบาๆ คล้ายกับจะบอกเป็นนัยอะไรบางอย่าง
และการกระทำนี้ก็ถูกนักข่าวผู้มีสายตาอันเฉียบแหลมจับได้ “ประธานเวิน ไม่ทราบว่าคุณตั้งครรภ์ลูกของประธานฮั่วเหรอ”
“ใช่แล้ว…ตอนแรกอาการสลบไสลของฮั่วฉินเยี่ยนนั้น ก็มากพอที่จะทำให้ฉันไม่สบายใจแล้ว แต่การปรากฏตัวของเด็กคนนี้ ทำให้ฉันมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง ตอนนี้ฉันจะทำยังไงได้ล่ะ ฉะนั้นเรื่องเดียวที่ฉันจะทำให้เขาได้ ก็มีเพียงปกป้องเลือดเนื้อที่อาเยี่ยนต่อสู้มาอย่างสุดชีวิตนี้ไว้ให้ดี ปกป้องเลือดเนื้อเชื้อไขที่เขาหลงเหลือไว้ให้อย่างดี…” พอเวินหลานฉีพูดมาถึงตรงนี้ น้ำเสียงก็สั่นเครือ แต่ทว่าคำพูดยังคงเด็ดเดี่ยวแน่วแน่อย่างน่าประหลาด
นี่ไม่ใช่สิ่งที่เธอเสแสร้งออกมาให้พวกนักข่าวดูหรอก คำพูดของเธอพูดถึงแค่นี้จริงๆ ความรู้สึกโศกเศร้า เสียใจและน้อยใจประเดประดังกันออกมาในรวดเดียว เธอก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่ง ต้องมาแบกเรื่องราวหนักหนาขนาดนี้ในคราวเดียว จะไม่เหนื่อยได้อย่างไร
แต่เพื่อผู้ชายที่เธอรักแล้ว เธอจะไม่เก็บเอาคำพูดคับแค้นใจนั้นมาใส่ใจ
เมื่อพวกนักข่าวฟังถึงตรงนี้ ก็รู้สึกเศร้าสลดอยู่บ้าง ใช่สิ แม้เธอจะเป็นบอสของจงเทียน แต่ภารกิจอันสำคัญทั้งสองของจงเทียนกับตงหยวนนั้นล้วนกดทับอยู่บนตัวเธอ…สำหรับผู้หญิงคนหนึ่งแล้วกลับยากอยู่บ้าง
ในตอนนี้เองอยู่ๆ ก็เหมือนจะมีนักข่าวนึกอะไรบางอย่างออก จึงรีบถาม “ประธานเวิน เมื่อเช้าพ่อของประธานฮั่วจัดงานแถลงข่าวขึ้น เรื่องนี้คุณก็น่าจะรู้ใช่ไหม พ่อของประธานฮั่วบอกว่าเขาจะเข้าควบคุมตงหยวน เรื่องนี้คุณมีความเห็นว่ายังไงบ้าง”
เวินหลานฉีเก็บอารมณ์ “เรื่องนี้ฉันเองก็เห็นแล้ว และเชื่อว่าทุกท่านเองก็เข้าใจดี ในพินัยกรรมของคุณปู่ระบุไว้อย่างชัดเจน ว่าถ้าอาเยี่ยนไม่สามารถรับช่วงดูแลตงหยวนได้ ให้บุตรผู้สืบทอดของเขาเป็นผู้ดูแล ตอนนี้แม้ลูกในท้องของฉันยังไม่เกิด แต่ก็เป็นเลือดเนื้อของอาเยี่ยน ตามความคิดและเหตุผลแล้ว ในภายภาคหน้าตงหยวนก็ต้องให้ผู้สืบทอดของเขาเป็นผู้ดูแล ส่วนตอนนี้แม่อย่างฉันคนนี้จะต้องพยายามพัฒนาตงหยวน แทนเข้าไปก่อนแน่นอนอยู่แล้ว อีกอย่างฉันก็เป็นภรรยาถูกต้องตามกฎหมายของอาเยี่ยน ทั้งยังเป็นคนในสกุลฮั่วอีกด้วย ฉันมีสิทธิ์จะทำแบบนี้ได้ และฉันเชื่อว่าถ้าตอนนี้อาเยี่ยนยังตื่นอยู่ ก็คงจะอยากเห็นผลลัพธ์แบบนี้เหมือนกัน” เวินหลานฉีพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
เธอไม่อยากให้โอกาสนักข่าวพวกนี้ได้โต้แย้งอะไร ถึงตอนนั้นอาจจะต้องอธิบายกับพวกเขามากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ เมื่อคิดถึงสีหน้าโมโหหลังจากรู้เรื่องของฮั่วเทียนเย่ว์แล้ว เวินหลานฉีถึงกับยิ้มเย็นอยู่ในใจอย่างเงียบๆ
“งั้นทำไมพ่อของประธานฮั่วถึงยังพูดแบบนั้นล่ะคะ” นักข่าวคนหนึ่งอดถามขึ้นมาอย่างสงสัยไม่ได้
“ก่อนหน้านี้แทบไม่มีใครรู้เรื่องฉันท้องเลย เพราะกลัวว่าจะถูกคนวางแผนกระทำมิดีมิร้าย หยิบยกขึ้นมาเป็นข้ออ้าง” เวินหลานฉีพูดยิ้มๆ
“ถือเป็นเรื่องมงคลสินะคะ น่าจะประกาศให้ทุกคนรู้เร็วกว่านี้ว่าไหม” นักข่าวคนหนึ่งยังคงพูดขึ้นมาโดยไม่สนสี่สนแปด ราวกับจะพลิกทรัพย์สินในบ้านสกุลฮั่วก็มิปาน
“ฉันแค่อยากปกป้องลูกของอาเยี่ยนไว้ให้ดี ถึงยังไงเศรษฐกิจของตงหยวนก็พัฒนาไปได้อย่างงอกงาม ฉันต้องป้องกันผู้มีจุดมุ่งหมายบางคน”
เวินหลานฉีไม่อยากอธิบายอะไร ถือเป็นครั้งแรกที่เธอพูดมากขนาดนี้ เธอเองก็เหนื่อยเหมือนกัน ถึงแม้เธอจะบาดเจ็บแค่เล็กน้อย แต่ร่างกายเธอยังไม่ฟื้นตัวดีนัก เธอออกจากโรงพยาบาลเร็วขนาดนี้ก็เพื่อทำลายแผนร้ายของฮั่วเทียนเย่ว์ทั้งสิ้น
เวินหลานฉีโบกมือ แล้วหมุนตัวเดินเข้าตงหยวนไป
ทันทีที่การสัมภาษณ์สั้นๆ นี้ถูกปล่อยออกมา ปาปารัสซี่และนักข่าวของเมืองหลวงก็พรูกันไปออข้างนอกบ้านใหญ่สกุลฮั่ว เพื่อเตรียมดูเรื่องตลกขบขันของฮั่วเทียนเย่ว์
หลังจากผ่านเรื่องคลิปวิดีโอครั้งก่อนมา ตอนนี้ผู้คนในเมืองหลวงต่างรู้จักการปฏิบัติตัวของฮั่วเทียนเย่ว์ รวมไปถึงความแตกแยกภายในสกุลฮั่วกันทั้งนั้น
งานแถลงข่าวของฮั่วเทียนเย่ว์เมื่อเช้านั้น ถึงแม้เขาจะโศกเศร้าอีกแค่ไหน แต่อย่างไรเสียภาพลักษณ์ของเขา ก็หลงเหลือเป็นความทรงจำลึกซึ้งในใจผู้คนไปแล้ว ดังนั้นผู้ไม่สนับสนุนเขายังนับว่ามีจำนวนมากเหมือนกัน
ภายในบ้านใหญ่สกุลฮั่ว ฮั่วเทียนเย่ว์ขมวดคิ้ว นั่งอยู่บนม้านั่งอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน มือที่จับถ้วยชาอดสั่นเทาเล็กน้อยไม่ได้
เพล้ง!
ในที่สุดถ้วยชาก็โดนฮั่วเทียนเย่ว์ปาลงบนพื้นอย่างโมโห จนแตกกระจายไปทั่วทิศทาง
คนใช้ยืนอยู่ข้างๆ มองอย่างอกสั่นขวัญหาย แม้ว่าคำพูดเมื่อกี้ของเวินหลานฉีจะทำให้พวกเขามีความสุขยิ่งนัก แต่อย่างไรเสียพวกเขาก็ยังเป็นคนใช้ ตอนนี้ต้องดูสีหน้าของฮั่วเทียนเย่ว์ก่อน