อาซเร่งฝีเท้าขึ้นรถม้าไปพร้อมกับอาเรีย ทันใดนั้นคนขับรถม้าก็ถามที่หมายจากเขา

“ให้กระผมนำไปที่ไหนดีขอรับ”

“ที่ไหนก็ได้”

ทว่าคำตอบที่คนขับรถม้าได้รับกลับไม่ใช่จุดหมายที่ชัดเจน แต่อย่างไรก็ตามคนดูเหมือนว่าขับรถม้าจะเข้าใจคำพูดของอาซจึงตอบกลับแค่เข้าใจแล้วพร้อมกับเริ่มออกรถม้า

“จะไปที่ไหนเหรอคะ”

อาเรียถามจุดหมายที่กำลังจะไปแต่อาซกลับตอบไม่ตรงคำถามพลางเบี่ยงประเด็นไปเรื่องอื่น

“…เลดี้ชอบผู้ชายผมดำ ตาสีฟ้า ตัวสูงอย่างนั้นจริงๆ เหรอครับ เพราะอย่างนั้นเลยเลือกผมเหรอครับ”

“คะ…!”

เขามัวแต่คิดเรื่องนั้นอยู่ตลอดเลยเหรอ แต่ที่จริงแล้วไม่มีทางที่จะเลือกคนรักเพียงเพราะรสนิยมเป็นอย่างนั้นนี่นา เขาก็น่าจะรู้อยู่แล้ว ถึงกับต้องถามแบบนี้ต้องมีเจตนาไม่บริสุทธิ์แน่

“เพิ่งจะทราบเหรอคะ”

เมื่อย้อนถามราวกับจะแกล้งนิดหน่อย อาซจึงหรี่ตาลงพลางขยับเข้ามาใกล้พร้อมกับถามอีกครั้ง

“จริงเหรอครับ หากมีชายที่สีตาและสีผมเหมือนกันกับผม ตัวสูงด้วย หากเขาปรากฏตัวขึ้นมาเลดี้จะทิ้งผมไปเหรอครับ”

“แน่อยู่แล้วล่ะค่ะ ถ้าดิฉันพอใจก็ต้องไปสิคะ”

เมื่อตอบราวกับว่าสามารถทำได้ อาซจึงขมวดคิ้วแน่น ดูเหมือนว่าแม้เขาจะรู้ว่ามันไม่จริงแต่ก็หยุดอารมณ์เสียไม่ได้ซะอย่างนั้น

เพราะอย่างนั้นอาเรียที่คิดว่าจะแกล้งพอหอมปากหอมคอจึงเผยรอยยิ้มอย่างนุ่มนวลพลางพูดต่อ

“ทว่าเมื่อลองคิดย้อนดูจากชีวิตที่แสนยาวนานของดิฉันแล้ว ยังไม่เคยมีชายแบบนั้นปรากฏตัวขึ้นเลยนะคะ แน่นอนว่าถึงจะมีคนที่ลักษณะคล้ายกันอยู่บ้าง แต่กลับไม่ดึงดูดขนาดนี้เลยค่ะ แม้จะตั้งใจมองโดยละเอียดแล้วยังไม่มีชายคนไหนที่ทำให้รู้สึกว่ามีเสน่ห์เลย ดังนั้น โปรดอย่าเป็นกังวลไปเลยค่ะ”

เมื่อบอกว่ามีแค่อาซคนเดียว ทว่าคำตอบของอาซกลับมีแค่สีหน้าที่เต็มไปด้วยความหมาย แต่ไม่ใช่ใบหน้าที่ยินดีเท่าไหร่

ทำไมกัน ต่างจากที่คิดไว้ เธอเรียกชื่ออาซแต่เขากลับถอนหายใจด้วยใบหน้าบึ้งตึง

“…แม้จะคิดไว้อยู่แล้วก็ตาม แต่พอได้ยินด้วยตัวเองเช่นนี้แล้วรู้สึกไม่ค่อยดีเลยครับ”

“อะไร…เหรอคะ”

“ความคิดที่ว่าจะต้องมีชายที่เคยได้เจอกับเลดี้อย่างไรล่ะครับ เลดี้บอกว่าใช้ชีวิตจนอายุยี่สิบห้าปีแล้วก็ย้อนเวลากลับมาไม่ใช่หรือครับ ตอนนี้ก็ยังงดงามเช่นนี้ หากเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วยากที่จะจินตนาการแน่ๆ… ไม่มีทางปล่อยเลดี้ที่งดงามเช่นนี้ไว้ได้หรอกครับ”

อาเรียที่เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองพูดพลาดไปนิดหน่อยได้แต่ปิดปากเงียบ

ดันไปพูดเปรียบเทียบอาซกับชายอื่นเสียนี่ หากอาซพูดว่าเคยเจอผู้หญิงคนอื่นด้วยปากของเขาเอง เธอคงคิดมากแน่นอน คงจะอารมณ์ไม่ดีด้วย

ทว่าอาเรียที่เห็นอนาคตมาก่อนก็รู้อยู่แล้วว่าอาซไม่ได้เกี่ยวข้องกับหญิงอื่นนอกจากไอซิส และได้เห็นด้วยตาตัวเองว่าความสัมพันธ์ตอนนี้ไม่ดีนักเลยไม่สนใจพลางพูดประสบการณ์เกี่ยวกับผู้ชายที่ผ่านมาของเธอเองอย่างไม่รู้ตัว

เนื่องจากบรรยากาศที่แย่ลงและอาเรียที่เผยสีหน้าเสียใจทำให้อาซรีบพูดแก้ตัว

“แต่ถึงอย่างไรเสียผมไม่ได้คิดจะซักไซ้อดีตของเลดี้แล้วเก็บไปโกรธเลยนะครับ เพียงแค่… เสียใจที่ทำไมตอนนั้นผมไม่ได้พบเลดี้ก็เท่านั้นเอง”

“ก็… เพราะตอนนั้นดิฉันช่างโง่เขลาและทำตัวแย่มากอย่างไรล่ะคะ เป็นหญิงร้ายที่ไม่บังอาจเข้าเฝ้าเจ้าชายได้หรอกค่ะ …เพียงแค่ต่างคนต่างได้พบคนระดับเดียวกับตัวเองเท่านั้น”

“ได้โปรดอย่าพูดไปเองเช่นนั้นเลยครับ เพียงแค่เวลาและสถานการณ์ตอนนั้นไม่ดีเองครับ”

ขมวดคิ้วพร้อมกับพูดปลอบอาเรีย ที่กำลังโทษตัวเองว่าไม่น่าพูดออกมา เพราะอาเรียมัวแต่บอกว่าตัวเองโง่เขลา

“ถึงเมื่อกี้จะบอกไปแล้วก็ตาม… ในอดีตยังไม่เคยมอบใจให้ชายคนไหนสักคนเลยค่ะ เหล่าเลดี้ทั่วไปก็เป็นอย่างนั้น ไม่ต่างอะไรกับคนที่ผ่านไปมา เพียงแค่เจอกันในงานเลี้ยงแล้วก็พูดคุยกันพอเป็นพิธีเท่านั้นเองค่ะ”

“ระดับแค่พูดคุยกัน… หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ ดูเหมือนว่าผมจะกังวลมากไปหรือเปล่าก็ไม่รู้”

แม้สีหน้ายังบ่งบอกว่ามีความหึงปนอยู่ แต่เมื่ออาเรียพูดแก้ตัวจึงเปลี่ยนสีหน้าราวกับว่าเบาใจลงบ้าง

ต่างจากอาเรีย เพราะที่จริงแล้วไม่ได้จบแค่พูดคุยกันเท่านั้น

ยังดื่มสุราและแตะเนื้อต้องตัวกันนิดหน่อย และยังมีบางสถานการณ์ที่ไปถึงขั้นที่มากกว่านั้น

แน่นอนว่ายังไม่ไปถึงสถานการณ์จริงจัง แต่การกระทำของเธอที่พอนึกออกตอนนั้นช่างเหมาะกับคำว่านังโสมมเสียจริง

ดูเหมือนจะแทงใจดำตัวเองเพราะพูดโกหกออกไป อาเรียจึงพูดแก้ไขคำพูดตัวเองก่อนหน้านี้

“เรื่องนั้นน่ะ… พอคิดดูอีกทีแล้วดูเหมือนจะไม่ใช่แค่พูดคุยกันธรรมดาน่ะค่ะ”

“ถ้าอย่างนั้น”

“…จะบอกว่ามีการสัมผัสกันด้วยนิดหน่อยน่ะค่ะ…”

คำว่าสัมผัสทำให้สีหน้าอาซกลับมาเคร่งขรึมอีกครั้ง

“สัมผัสถึงขั้นไหนเหรอครับ ระดับที่จับมือ หรือเอามือไปแตะเอวเหรอครับ”

เป็นการแตะเนื้อต้องตัวที่หากเป็นคนสนิทกันจะถือว่าเป็นปกติ

เนื่องจากอาเรียบอกว่าสัมผัสนิดหน่อยจึงยกตัวอย่างแบบเบาๆ แต่อาเรียกลับส่ายหน้า

“…ถ้าอย่างนั้นกอดเหรอครับ”

ทันทีที่แสดงออกว่าไม่ใช่อย่างเด็ดขาด อาซจึงพูดน้อยลง ท่าทางดูไม่สบายใจนัก ถึงขั้นลึกซึ้งยิ่งกว่ากอดอีกเหรอ ทำอย่างไรดีล่ะ

กังวลว่าจะโกรธหรือเปล่าเลยไม่พูดอะไรตอบ อาซที่เข้าใจว่าเธอเคยสัมผัสอย่างลึกซึ้งมากกว่านั้นจึงขยับตัวเข้าไปใกล้อาเรีย

ราวกับหึงการกระทำของอาเรียกับชายที่ไม่รู้ชื่อพวกนั้น

“เคยเข้ามาใกล้ถึงขนาดนี้ไหมครับ”

ใบหน้าของอาซขยับเข้ามาใกล้มาก

เนื่องจากเคยได้รับจุมพิตตรงหน้าผากมาก่อนจึงไม่ใช่ครั้งแรกที่ใบหน้าของเขาอยู่ใกล้ขนาดนี้ หรือเป็นเพราะว่าตกใจ หัวใจของเธอเริ่มเต้นเร็วขึ้น

จึงพยายามแสร้งทำเป็นนิ่งเฉยพร้อมกับพยักหน้า ในงานเลี้ยงใต้แสงไฟสลัวระดับใกล้ขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนัก

“…ครับ”

“แล้วเคยจุมพิตหน้าผากแบบนี้ไหมครับ”

อาซจุมพิตตรงหน้าผากอาเรียเบาๆพร้อมกับพูด นั่นก็เคยจนนับครั้งไม่ถ้วน ครั้งนี้อาเรียจึงไม่พูดอะไรตอบ

ไม่สิ การจุมพิตที่หน้าผากจะทำเมื่อรู้สึกว่าฝ่ายตรงข้ามน่ารักน่าชัง อาจจะไม่เคยได้รับมาก่อนก็ได้

“…ถ้าอย่างนั้นแก้มล่ะครับ”

ต่างจากสีหน้าที่เคร่งขรึม ริมฝีปากของอาซสัมผัสที่แก้มของเธอ

ให้ตายสิ…! แม้จะเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนับครั้งไม่ถ้วน แต่หัวใจเธอกลับสั่นรัวจนแทบทะลักออกมา

หรือเป็นเพราะหากทิ้งช่วงอีกหน่อยก็จะจุมพิตริมฝีปากแล้วอย่างนั้นเหรอ หรือเป็นเพราะเขาพูดคำถามทั้งที่ทาบริมฝีปากไว้ที่แก้มอยู่อย่างนั้น

หรืออาจจะเป็นทั้งสองอย่าง เพราะตกใจมากจนไม่ได้พูดตอบ ทันใดนั้นสายตาของอาซก็สบตาเข้ากับสายตาที่กำลังสั่นไหวของอาเรีย ในแววตาเหมือนกับบ่งบอกว่าขออนุญาตอะไรบางอย่าง

ฉะนั้น ตอนนี้ต้องรีบบอกว่าไม่เคยแล้วล่ะ ไม่อย่างนั้นถัดจากหน้าผาก แก้ม และต้องข้ามต่อไปแน่

ซึ่งต่อไปก็คือ…

อาซที่สบตาอยู่กับอาเรียค่อยๆ ลดระดับสายตาลง ผ่านเส้นจมูกที่ดูโค้งมนนั้นไม่ใช่สิ่งอื่นใดแต่เป็นริมฝีปากอิ่มของอาเรีย

สีหน้าของเขาตอนนี้ไม่ได้หลงเหลือความหึงกลับเป็นสีหน้าของผู้ใหญ่เต็มตัว อาเรียได้แต่กลืนน้ำลายแห้ง

แน่นอนว่าด้วยประสบการณ์มากมายที่ผ่านมาของเธอทำให้คิดว่าตัวเองอยู่เหนือกว่า ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่เขาได้กลายเป็นชายที่รู้วิธีทำให้เธอหวั่นไหวจนถึงขนาดนี้กัน…

คราวนี้อาซไม่ถามอะไรต่อกลับขยับเข้ามาใกล้ยิ่งกว่าเดิม มองเข้าในตาของอาเรียที่สั่นไหวราวกับเรือเล็กท่ามกลางพายุฝน พร้อมกับลูบแก้มเบาๆ

ราวกับขออนุญาตเป็นครั้งสุดท้าย

สถานการณ์ตอนนี้หากรีบผละตัวออกก็สามารถปฏิเสธได้อยู่แล้ว แต่อาเรียกลับไม่ทำเช่นนั้น แทนที่จะผลักอาซหรือหันหน้าไปทางอื่น เธอค่อยๆหลับตาที่สั่นไหวลง

ทันใดนั้นริมฝีปากทั้งสองก็ประจบกัน ทันทีที่ริมฝีปากอ่อนนุ่มแนบเข้ากับริมฝีปากตัวเองเธอรู้สึกเหมือนใจแทบจะหยุดเต้น

จากที่เคยหัวเราะเยาะเย้ยหญิงคนอื่นที่วาดภาพฝันจะได้จุมพิตกับคนที่ตนเองรักอย่างโรแมนติกว่าจะยิ่งใหญ่สักแค่ไหนเชียว ตอนนี้กลับรู้สึกได้ถึงความร้อนที่เริ่มไล่ขึ้นมาจนสมองว่างเปล่า ไม่คิดบังอาจกล้าพูดแบบนั้นอีกแล้ว

การแตะเนื้อต้องตัวที่เริ่มจากความหึง จนมาถึงการจุมพิตลึกซึ้งที่ทำให้อาเรียทรมานเช่นนี้ ริมฝีปากที่สัมผัสอย่างนุ่มนวล กลับเปลี่ยนเป็นหยาบคายคอยข่มเหงอาเรีย

อาเรียตอบรับโดยไม่ขัดขืน จากนั้นมือของอาซที่จับแก้มของอาเรียกลับเปลี่ยนไปพิงผนังรถม้าพร้อมกับเปลี่ยนจุมพิตเป็นการจูบอย่างล้ำลึกและหนักหน่วงยิ่งขึ้น

“…อึก”

ไม่เหมือนกับจูบเพื่อความเพลิดเพลินในอดีตที่ผ่านมา กลับเต็มไปด้วยความโลภ และปรารถนาในตัวอาเรียจนเธอมือสั่นไปหมด

อาเรียหลงทางราวกับถูกทิ้งตัวบนอากาศ จนกระทั่งได้จับแขนของอาซ อาซที่รู้สึกเหมือนถูกกระตุ้นจึงแนบตัวเข้าหาเธอยิ่งกว่าเดิมราวกับทนไม่ไหว

“ฮะ อึก…”

แทบจะหมดลมหายใจจริงๆ

ในจุมพิตของอาซ เต็มไปด้วยความปรารถนา  ความหึงหวง และความใคร่ เหมือนจะกลืนกินทั้งตัวเธอเสียแล้ว ร้อนจนแทบจะละลายหิมะไปทั้งหมด

สุดท้ายริมฝีปากที่ล่อลวงอาเรียจนแทบจะกลืนเธอไปทั้งตัวก็ผละออกพร้อมกับทิ้งความรู้สึกให้โหยหา ระยะใกล้จนรู้สึกได้ถึงลมหายใจของอาซทำให้ร่างกายร้อนรุ่มจนแทบระเบิดออกมา

ทันทีที่อาเรียส่งเสียงเล็กน้อย อาซกลับสบถออกมาและหันกลับมาครอบครองริมฝีปากของเธออีกครั้ง การจุมพิตครั้งนี้หยาบคายจนแทบจะทำให้เธอสติหลุดไปเสียแล้ว

ทำให้เธอถึงกับสงสัยตัวเองในอดีตว่าที่ผ่านมาใช่เธอจริงๆ หรือเปล่าที่พบกับชายมากหน้าหลายตาตอนนั้น เป็นอารมณ์ที่สามารถบรรยายออกมาได้เลยจริงๆ

“จะไปส่งที่คฤหาสน์เลดี้นะครับ”

อาซมองอาเรียอยู่พักใหญ่ จนสุดท้ายก็เริ่มพูด

ดูเหมือนจะเข้าใจแล้วว่าไม่ควรโลภไปมากกว่านี้ แต่ถึงอย่างนั้นสายตาของเขาก็ยังจับจ้องมาที่อาเรีย

“…ค่ะ”

แต่อาเรียกลับหลบสายตาอาซพร้อมกับตอบ

สายตาราวกับบ่งบอกว่าปรารถนาตัวเธอมากเช่นนั้น จะกล้าสบตาได้อย่างไรกัน

แต่จะว่าไปทำไมเธอถึงยังอายุสิบเจ็ดปีล่ะ เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกเกลียดตัวเองขึ้นมา

หากวันเกิดปีนี้ไม่ใช่อายุสิบเจ็ดปี แต่เป็นสิบแปดปี… หากเป็นเช่นนั้นก็จะไม่ต้องกลับไปคฤหาสน์ท่านเคานต์ใช่ไหม

รถม้ายังเดินทางต่อไปอีกสักพักหนึ่ง จนอาทิตย์ตกดินฟ้ามืดจึงเดินทางถึงคฤหาสน์ท่านเคานต์โรสเซนต์ แม้คนขับรถม้าจะแจ้งว่ามาถึงที่หมายแล้วก็ตาม แต่ไม่มีการเคลื่อนไหวหรือเสียงพูดเลยสักนิด

จนกระทั่งข้ารับใช้ที่ออกมารอคฤหาสน์เริ่มซุบซิบเบาๆกันว่ามีเรื่องอะไรหรือเปล่า อาเรียจึงทิ้งความเสียดายไว้ข้างหลังเอ่ยปากบอกลาเขาก่อน

“ไปก่อนนะคะ”

“…ครับ”

อาซพยักหน้าคอตกด้วยความเสียดายลงจากรถม้าพร้อมกับอาเรีย

เพราะบรรยากาศที่ดูแปลกไปแม้จะบอกลากันแล้วแต่ยังไม่แยกกัน ทำให้ข้ารับใช้ที่แอบมองอยู่เริ่มเข้าใจผิด

“…!”

“…ตายจริง”

ดูเหมือนจะแค่กลับไปไม่ได้ อาซจึงฉวยเอวอาเรียเข้ามาใกล้อีกครั้งพร้อมกับจุมพิตที่ริมฝีปากเบาๆ

แม้จะเบาบางมากเมื่อเทียบจากตอนที่อยู่ในรถม้า แต่ก็เพียงพอจะทำให้ที่คนมองอยู่หน้าแดงก่ำ

และอาเรียที่ไม่ทันได้คาดคิดเหตุการณ์นี้ไว้

“ละ เลดี้คะ!”

อาเรียรีบวิ่งเข้าในคฤหาสน์ทันทีที่ผละตัวออกจากกัน โดยมีแอนนี่และเจสซีรีบวิ่งตามหลังไป

อาซที่เหลืออยู่คนเดียวหน้าคฤหาสน์มองตามไปอยู่นาน จากนั้นจึงขึ้นรถม้ากลับไปโดยไม่พูดอะไร

“เลดี้!  เปิดประตูหน่อยสิคะ! ต้องอาบน้ำเปลี่ยนชุดก่อนสิคะ!”

เสียงตะโกนของข้ารับใช้ที่ได้ยินข้างนอกเต็มไปด้วยความสนุกสนาน น้ำเสียงบ่งบอกว่าแทบจะอยากพังประตูเข้ามาถามเดี๋ยวนั้น

ทว่าอาเรียที่เหมือนจะสงบสติอารมณ์ลงแล้วกลับปะทุขึ้นมาอีกครั้ง  ห่มผ้าห่มพลิกผิดด้านไม่ออกมาจากห้องจนเช้า ท้ายที่สุดทั้งแอนนี่และเจสซี่รวมไปถึงข้ารับใช้คนอื่นๆ ที่เห็นเหตุการณ์หน้าประตูคฤหาสน์ครั้งนั้น ได้แต่เก็บเอาไปคิดจินตนาการจนไกล

……………………….