เสียงเอะอะโวยวายดังมาจากคฤหาสน์ของเหล่าขุนนางตั้งแต่เช้าตรู่ เพราะพวกเขาต้องเข้าโจมตีราชวังทันทีที่ฟ้าสาง เหล่าทหารที่มาเพื่อหาความบันเทิงราวกับพวกอันธพาลต่างสวมชุดเกราะและอาวุธครบครันเตรียมตัวพร้อมรบ
เมื่อมองดูท่าทีอันน่าเกรงขามและกล้าหาญนั้น รอยยิ้มแห่งความโล่งใจก็ผุดขึ้นมาบนใบหน้าของเหล่าขุนนางที่ก่อนหน้านี้เต็มไปด้วยความกังวล
เนื่องจากพวกเขาคิดว่าพอหลังจากที่เหล่าทหารที่กระจายตัวมารวมตัวกัน แล้วเข้ายึดครองราชวัง พวกเขาก็แค่ปรากฏตัวอย่างสบายๆ ฉลองชัยชนะเพียงเท่านั้น
“ถ้าอย่างนั้น ท่านไวเคานต์ครับ อาจจะยังเร็วไปหน่อย แต่กระผมคงต้องขอตัวไปก่อนครับ ขออภัยอย่างมากสำหรับที่ผ่านมานะครับ”
“ฮ่าๆ ขอโทษอะไรกันเล่า! ไปดีมาดีนะ ฉันจะรออยู่ที่คฤหาสน์อย่างเงียบๆ แล้วค่อยออกไปเมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว”
“ครับ ถ้าเช่นนั้นกระผมขอตัวก่อน”
ทหารยศสูงสุดในบรรดาเหล่าทหาร นำเหล่าทหารผู้น้อยหลายสิบคนออกจากคฤหาสน์
ท่านเคานต์สงสัยว่ามันจำเป็นหรือที่เหล่าทหารจำนวนมากขนาดนี้จะต้องมีม้ากันคนละตัว เมื่อโดนเขาขอมาให้ช่วย ทว่าพอเห็นพวกเขาออกจากคฤหาสน์ไปอย่างแข็งขันปานนั้นแล้วก็รู้สึกอุ่นใจ
แน่นอนว่าด้วยเหตุผลบางประการทำให้ทิศทางที่เหล่าทหารมุ่งหน้าไปนั้นไม่ใช่ที่ที่ราชวังตั้งอยู่ แต่มุ่งไปยังทิศทางที่จะออกจากเมืองหลวง ทว่าด้วยความที่พวกเขาจะรู้เรื่องนั้นกันหลังจากที่ออกจากคฤหาสน์ได้สักพักแล้ว ทำให้เหล่าทหารสามารถออกไปจากเมืองหลวงได้อย่างสงบโดยไม่มีใครสังเกตเห็น
และในขณะเดียวกันนั้น อาเรียที่ไม่สามารถออกมาจากผ้าห่มได้จนกระทั่งฟ้าสาง ก็ค่อยๆ ออกมาจากผ้าห่ม เพราะได้ยินเสียงคนพูดจากทางนอกหน้าต่าง
เธอมัวแต่จดจ่ออยู่กับเรื่องของอาซเมื่อคืน ทำให้เธอลืมไปเสียสนิท แต่วันนี้เป็นวันที่สำคัญมาก เพราะเธอจะต้องไปรับชมจุดจบของพวกคนที่เธอตั้งหน้าตั้งตารอมาตลอด นี่ไม่ใช่เวลามาเก็บตัวอยู่ในห้องแบบนี้
อาเรียเปิดหน้าต่างเช็กดูข้างนอก เหล่าทหารที่มารบกวนคฤหาสน์ท่านเคานต์ในช่วงที่ผ่านมา ต่างก็อยู่บนหลังม้า เตรียมพร้อมจะออกเดินทางไกล หนึ่งในทหารพวกนั้นที่กำลังจัดการกับเสื้อผ้าหน้าผมของตัวเองให้เรียบร้อยอยู่ ก็เผลอสบตากับอาเรียเข้าโดยบังเอิญ
“…!”
ทหารที่ตกใจจนเกือบจะตกลงจากม้าคนนั้น รีบยืดตัวตรงทันที แล้วโค้งคำนับทักทายอาเรีย มันเป็นการทักทายต่อผู้ที่รู้สถานการณ์ อาเรียเองก็ยกมือขึ้น และหวังว่าทหารจะกลับมาอย่างปลอดภัย
ทหารตกใจกับการทำไม้ทำมือของอาเรียจนเกือบจะตกลงจากหลังม้าอีกรอบหนึ่ง ทำให้แม้แต่เหล่าทหารคนอื่นต่างก็มองอาเรียไปตามสายตาของเขา แล้วเริ่มทักทายทำความเคารพตาม อาเรียต้องยกมืออยู่เป็นเวลานาน เพราะพวกเขามีกันเป็นจำนวนมาก
และคนสุดท้ายที่สังเกตเห็นเธอก็คือ… เคน ไม่ใช่ใครอื่น
เช่นเดียวกับขุนนางคนอื่นๆ เคนที่กำลังพูดคุยกับทหารยศสูงสุด ก็เงยหน้าขึ้นมองอาเรีย แม้เธอจะมองไม่ค่อยเห็นเขา เพราะเขาอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย แต่มันก็เป็นสีหน้าที่ดูไม่ค่อยพอใจอย่างมากทีเดียว
เคนที่ส่งทหารออกไปหลังจากคุยจบ ก็มองดูอาเรียที่กำลังจ้องมองเหล่าทหารที่ค่อยๆ หายตัวไปอีกครั้ง
หลังจากนั้นเขาก็หมุนตัวกลับเข้าคฤหาสน์ทันที และก้าวเท้าขึ้นบันไดไปด้วยความรวดเร็ว เขาเดินขึ้นบันไดด้วยเสียงฝีเท้าที่ดังผิดปกติ ทำให้เหล่าคนรับใช้ที่เพิ่งตื่นขึ้นมาต่างก็ตกใจ เหลือบตามอง และบางคนก็ตามหลังเขาไป
ที่ที่เขามาถึงนั้น แน่นอนว่าคือห้องของอาเรีย
“อาเรีย”
น้ำเสียงที่ฟังดูค่อนข้างโกรธมากของเคนเรียกชื่ออาเรีย และมันก็เป็นปฏิกิริยาอันไม่คาดคิดสำหรับเธอที่ทำอย่างมากสุดก็แค่ส่งเหล่าทหารอยู่ตรงหน้าต่างฝั่งตรงข้ามเท่านั้น
อาเรียเอียงหัวพลางคิดว่าช่างเป็นคนที่แปลกจริงๆ ก่อนจะตอบกลับ
“มีเรื่องอะไรถึงได้มาหาเช้าตรู่ขนาดนี้คะ”
“…ได้ยินมาว่าเมื่อคืนเธอกลับถึงบ้านดึก”
อาเรียชี้ให้เห็นว่าเธอไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย เพราะเคนที่กลับดึกกว่าเธอไม่มีสิทธิ์พูดแบบนั้น
“ท่านพี่ไม่น่าจะมีสิทธิ์พูดเช่นนั้นกับน้องนะคะ ท่านพี่กลับถึงบ้านตอนฟ้าสางตลอดเลยไม่ใช่หรือคะ”
“ฉันเป็นหัวหน้าของบ้านนี้ และฉันก็กลับดึกเพราะเรื่องงาน แต่เธอ…!”
เคนพยายามจะตะโกนด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว แต่ก็รีบปิดปากแน่นทันที ราวกับว่าการเชื่อมคำพูดต่อท้ายนั้นเป็นเรื่องยาก
เธอคิดว่าเขาคงจะจดจ่ออยู่กับธุรกิจของท่านเคานต์จนเลิกคิดถึงตัวเธอไปแล้ว แต่ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาจะยังมีนิสัยหึงหวงไร้สาระเช่นนี้อยู่ พอฟ้าสางเมื่อไร ชีวิตเขาก็จบเมื่อนั้น
อาเรียยกมุมปากของเธอขึ้นกับท่าทีที่ดูโง่เขลาของเขา
“น้องทำอะไรผิดหรือคะ นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่น้องกลับบ้านดึกเพราะไปรับประทานมื้อเย็นกับท่านอาซเสียด้วยสิ น้องไม่เข้าใจเลยว่าทำไมท่านพี่ถึงต้องโมโหขนาดนั้น หรือว่า… ท่านพี่ได้ยินอะไรมาอีกหรือเปล่าคะ”
ถ้าไม่เช่นนั้นก็คงไม่มีทางที่เขาจะโกรธขนาดนี้ได้
เขาคงจะได้ยินเรื่องที่อาซจูบกับเธอมาแน่ๆ เธอทำอย่างเปิดเผยตรงด้านหน้าของคฤหาสน์ ไม่มีทางเสียหรอกที่เขาจะไม่รู้ เพราะเหล่าคนรับใช้ต่างก็ตื่นเต้น คุยซุบซิบกันจนถึงรุ่งสาง
“พูดอย่างนั้นออกมาได้อย่างไร…!”
เป็นไปตามที่คาดไว้ แม้เธอไม่ได้ถามให้ชัดเจนว่ามันคือเรื่องอะไร แต่เคนก็โกรธมาก และขึ้นเสียงของเขาอีกครั้งด้วยความโมโห เขาไม่ได้โกรธในฐานะที่เขาเป็นพี่ชาย แต่ท่าทีของเขาดูเหมือนจะเอนไปทางความหึงหวงทั้งหมด
เหล่าคนรับใช้ที่ยืนรอรับใช้อยู่ห่างๆ จึงเริ่มเข้ามามุงกันด้วยความประหลาดใจ
ประตูเปิดอ้ากว้าง เผยให้เห็นการประจันหน้ากันของอาเรียและเคน เหล่าคนรับใช้ต่างก็กลัวว่าอาเรียจะได้รับอันตราย พลางภาวนาให้เธอปลอดภัย
ใช่แล้ว เธอจะไม่ได้รับอันตรายอย่างที่พวกเขาหวัง แต่คนที่จะได้รับอันตรายก็คือเคนที่บังอาจไปส่งเสริมการกบฏ และท้าทายอำนาจจักรพรรดิต่างหาก
‘นายต้องชดใช้บาปที่เคยตัดคอน้องสาวของตัวเองในอดีตสิ’
แล้วก็บาปในปัจจุบันที่นายดันมีความใคร่ต่อน้องสาวที่นายปลิดชีวิตด้วยมือของตัวเอง
ฉันจะลงโทษอย่างไรให้สาสมดีนะ
อ๋อ จริงด้วยสิ เธอนึกสิ่งที่เขากลัวมากที่สุดตอนนี้ออก แม้ว่าเธอจะไม่ได้คิดถึงมันมาเป็นเวลานานแล้ว
สาเหตุที่ทำให้เขาโกรธขนาดนั้น
การทำให้เขารู้ว่าอาเรียที่ขว้างเหยื่อล่อและเปิดโอกาสให้เขาเป็นบางครั้งบางคราวนั้น ได้หลุดออกจากกำมือของเขามาอย่างสมบูรณ์แบบ การถูกปฏิเสธจากหญิงสาวที่เขาตกหลุมรักครั้งแรกทั้งในอดีตและปัจจุบัน
นั่นก็คือการทำให้เขารู้ความจริงว่าหญิงสาวที่เขาปรารถนามากเสียจนกระทั่งต้องขายพ่อของตัวเอง ถึงแม้เขาจะไม่สามารถทำได้นั้น ได้มีความสัมพันธ์กับชายอื่นไปเสียแล้ว
อาเรียทำท่าทีไร้เดียงสาถามเคน เพื่อให้เขาสำนึกถึงเรื่องนั้น
“อย่าบอกนะคะว่าท่านพี่โกรธที่น้องยังไม่โตเป็นผู้ใหญ่หรือคะ ถ้าอย่างนั้นมันก็สายเกินไปสำหรับท่านพี่ที่จะโกรธน้องแล้วนะคะ…”
“นั่น นั่นหมายความ… ว่าอะไรกัน…”
เคนตัวแข็งทื่อหลังจากได้ยินคำพูดที่มีความหมายลึกซึ้งนั้น เหล่าคนรับใช้ที่คอยเฝ้าดูอยู่นอกห้องก็เบิกตาโพลง หูผึ่งขึ้นมาทันที ดูเหมือนพวกเขาจะนึกถึงเรื่องที่เพิ่งจะเกิดขึ้นเมื่อวานตอนเย็น
“นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่น้องไปพบกับท่านอาซกันแค่สองคน… ท่านพี่อาจจะไม่ทราบ แต่น้องเคยแอบเจอกับท่านอาซในห้องของน้องกันแค่สองคนด้วยนะคะ แล้วก็ไปเที่ยวโครอามาด้วยใช่ไหมละคะ เราก็ใช้ห้องเดียวกัน… ถึงจะพูดเช่นนั้น แต่ไม่ว่าอย่างไรน้องก็จะแต่งงานกับท่านอาซอยู่ดี”
ก่อนที่คำพูดยั่วยุของอาเรียกำลังจะจบลงนั้นเอง จู่ๆ เคนที่โกรธจนเลือดขึ้นหน้าก็วิ่งเข้ามาหาอาเรีย
หากอาเรียที่เตรียมตัวรับมือเอาไว้ก่อนแล้วไม่รีบเอาตัวหลบไปละก็ เธอคงจะกลิ้งล้มลงไปบนพื้นพร้อมกับเขา หรือไม่คอของเธอก็อาจจะถูกมือของเขาบีบไปแล้วก็ได้
“เลดี้คะ!”
อาเรียแสร้งทำเป็นตกใจกลัว แล้วไปหลบอยู่หลังคนรับใช้คนหนึ่ง จากนั้นเธอก็ตัวสั่นระริก แสดงท่าทางอันน่าสงสาร แอนนี่และเจสซี่รีบวิ่งเข้ามาโอบไหล่เจ้านายรูปร่างผอมเพรียวของพวกเธอ
หากคิดถึงตอนปกติของเธอแล้ว พวกเธอคงจะคิดว่ามันแปลกมากที่เธอแสดงท่าทีอ่อนแอขนาดนี้ให้เห็น แต่เพราะเคนดูโกรธมากกว่าปกติ ทำให้พวกเธอตื่นตระหนกตกแล้วปกป้องเจ้านายของตัวเอง
“เธอ! เธอ…! เธอบังอาจ! กล้าพูดคำต่ำช้าแบบนั้นออกมาได้! กล้าทำตัวเช่นนั้น!”
เคนลุกขึ้นมาจากพื้น และแผดเสียงด้วยความบ้าคลั่ง เหล่าคนรับใช้ที่เห็นท่าทีของเขาที่ดูราวกับคนบ้านั้น ก็รีบมาล้อมอาเรีย สร้างกำแพงมนุษย์ขึ้นมา
“…ทำไม ทำไมต้องโกรธ… ทำไมท่านพี่ต้องโกรธด้วย น้องไม่เข้าใจเลยค่ะ มิเอลเองก็เคยกลับมาหลังจากค้างคืนกับคุณออสการ์ไม่ใช่หรือคะ อีกทั้งน้องยังได้รับอนุญาตจากคุณแม่แล้วด้วยนะคะ…!”
ไม่หรอก อาเรียรู้ดีเลยล่ะ แต่เธอตั้งใจพูดเช่นนั้นให้เหล่าคนรับใช้ที่ยังไม่รู้ได้ยิน
บางทีพวกเขาอาจจะกำลังเดากันทีละเล็กทีละน้อย เรื่องที่เจ้านายผู้เสียสติของพวกเขานั้น หมกมุ่นอยู่กับน้องสาวไม่แท้เสียจนผิดปกติ
“เธอถามเพราะไม่รู้อย่างนั้นหรือ! ทำไมเธอถึงบังอาจ! ทำไมเธอถึง…!”
ทิ้งฉัน หักหลังฉัน
ไม่เลือกฉัน ไม่รักฉัน
คำที่จะมาต่อได้ก็มีแค่คำพวกนั้นเท่านั้น ทำให้เหล่าคนใช้ที่คาดเดากันนั้น มีสีหน้าซีดเผือดลงไปตามๆ กัน
“ละ ลอร์ดเคน ใจเย็นก่อ…!”
“หุบปาก!”
เพี๊ยะ! คนรับใช้ที่อยู่ข้างหน้าสุด พยายามทำให้เคนใจเย็นลง แต่ก็โดนมือของเขาฟาดเข้าไปที่แก้มจนล้มลงไป
ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาจะทำถึงกระทั่งตบหน้าได้ เขาเป็นบ้าไปแล้วจริงๆ หรือไง!
อาเรียร้องไห้ แสร้งทำเป็นหวาดกลัวต่อสถานการณ์ที่เลวร้ายลง และความโกรธก็เริ่มกระจายไปบนสีหน้าของเหล่าคนรับใช้ที่ปกป้องเธออยู่
เรื่องอารมณ์ของเขานั้นเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ก็จริง แต่การที่เขาก่อความวุ่นวายนั้นเป็นเรื่องที่ไม่มีใครเข้าใจและให้อภัยได้
“ลอร์ดเคนครับ ใจเย็นก่อนเถอะครับ…!”
“เลดี้ยังเด็กอยู่เลย เพราะฉะนั้นได้โปรดให้อภัยเธอด้วยจิตใจอันกว้างขวางของท่านด้วยเถอะค่ะ!”
“ดิฉัน ดิฉันจะบอกให้เลดี้รู้เองค่ะว่าเธอทำอะไรผิด ดังนั้นได้โปรดหายโกรธเถอะนะคะ…!”
“กรุณายกโทษให้เลดี้อาเรียผู้น่าสงสารด้วยเถอะค่ะ!”
แทนที่จะตกใจกลัวเพราะว่ามีคนรับใช้ที่โดนตบหน้าจนล้มลงไป แต่เหล่าคนรับใช้หลายคนกลับปกป้องอาเรีย อ้อนวอนขอให้เขาคลายความโกรธลง
ทว่ามันมีแต่จะส่งผลให้ความโกรธของเคนยิ่งมากขึ้นไปอีก เคนจึงยกมือขึ้นอีกครั้ง ฟาดลงบนแก้มของคนใช้แต่ละคน และในตอนที่อาเรียคิดว่าเธอควรจะหยุดเล่นเสียที เพราะเห็นเขาตกอยู่ในความสิ้นหวังจนเป็นบ้ามามากพอแล้วนั้นเอง
ทันใดนั้นก็มีเสียงที่หยุดเคนไว้อย่างไม่คาดคิด ดังขึ้นที่โถงทางเดิน
“นี่มันเรื่องอะไรกัน”
คนคนนั้นคือเคาน์ติส
เธอหาว และค่อยๆ ปรากฏตัวขึ้นอย่างช้าๆ เพราะถูกปลุกด้วยเสียงเอะอะโวยวายไม่หยุด ทันใดนั้นเธอก็ต้องตกใจกับภาพเหตุการณ์อันเศร้าสยองตรงโถงทางเดินที่หน้าห้องของอาเรีย แล้วขึ้นเสียงดัง
“อาเรีย…!”
เคาน์ติสตกใจรีบวิ่งเข้าไปหา และมองดูภาพเหตุการณ์อันเศร้าสยองนั้นให้แน่ใจ แล้วอาเรียก็ร้องไห้น้ำตาคลอเบ้า
แต่ก่อนที่เธอเป็นโสเภณี อาเรียไม่เคยร้องไห้ แม้แต่ตอนที่เธอไม่ได้กลับบ้าน ทิ้งให้อาเรียอยู่บ้านที่ไม่มีอะไรกินเลยอยู่หลายวันแท้ๆ แล้วทำไมตอนนี้ใบหน้าของเธอถึงเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตาขนาดนี้!
เคาน์ติสตกใจจนไม่แม้แต่จะคิดถึงเรื่องที่ว่าเธอกำลังเล่นละครอยู่ และในระหว่างที่เคาน์ติสพูดอะไรไม่ออก เคนก็ทำลายความเงียบด้วยการถามเธอ
“ท่านแม่เองก็… รู้อยู่แล้วหรือครับ”
เคาน์ติสถามกลับด้วยสีหน้าจริงจังต่อน้ำเสียงและใบหน้าที่ตกอยู่ในความสิ้นหวังของเคนอย่างที่อาเรียปรารถนา สายตาของเคาน์ติสมองไปทางเคนอย่างแข็งกร้าว
“เรื่องอะไร”
“อาเรีย… อาเรีย… ค้างคืน… กับเจ้าชายน่ะครับ!”
เคาน์ติสขมวดคิ้วกับคำถามที่กลายเป็นเรื่องจริงอันชัดเจนสำหรับเขาไปแล้ว สีหน้าของเธอราวกับจะถามว่านี่เขาสร้างความวุ่นวายเพียงเพราะเรื่องเล็กน้อยแบบนี้หรือ
และถ้าหากเป็นเพราะเหตุผลเล็กน้อยแบบนั้นจริงๆ อาเรียก็อาจจะกำลังแสดงละครอยู่ก็ได้ เธอคิดดังนั้นแล้วเผยยิ้มอันว่างเปล่า
“ทำไมถึงถามเรื่องแบบนั้นล่ะ …ไม่สิ ต่อให้เธอทำแบบนั้นจริงๆ แล้วมันผิดอย่างไรหรือ”
“…อาเรียน่ะ อาเรียน่ะยังไม่บรรลุนิติภาวะเลยไม่ใช่หรือครับ!”
“เธอกำลังจะแต่งงานนะ แล้วมันมีปัญหาอะไรล่ะ แถมแม่ของเธอคนนี้ก็บอกว่าไม่เป็นไร แล้วเธอจะออกมาสร้างความวุ่นวายทำไม เธอไม่ได้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดเดียวกันเสียด้วยซ้ำ เอาเวลานั้นไปเป็นห่วงมิเอลเถอะ”
ตระกูลเคานต์ไม่มีอะไรให้หยิบฉวยอีกต่อไป และนอกจากนี้หากความผิดโทษฐานก่อกบฏถูกตัดสินเป็นที่แน่ชัดแล้ว เธอก็จะหย่ากับท่านเคานต์ ทำให้เธอพูดออกมาได้อย่างเย็นชามากขึ้น
เธอไม่สนใจและไม่กลัวพวกคนของตระกูลเคานต์อีกต่อไป ตอนนี้เธอมีเงินมากเหลือเฟือสำหรับใช้ชีวิตกินอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งของพวกนั้น
ใบหน้าของเคนแข็งกร้าวขึ้นมาหลังจากที่ได้ยินคำตอบอันเย็นชานั้น แล้วเคนก็เค้นหลั่งความในใจที่แท้จริงออกมาพูดกับเคาน์คิสที่พูดคำเดียวกันกับอาเรีย
“…หึ ว่าแล้วเชียวว่าชาติกำเนิดต่ำๆ มันคงจะหลอกกันไม่ได้จริงๆ สินะครับ อย่างที่เขาว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น”
เพี๊ยะ! เคาน์ติสไม่จำเป็นต้องทนอีกต่อไป เธอฟาดมือลงบนหน้าเคน ซึ่งครั้งนี้ต่างจากตอนที่เคนตบหน้าคนรับใช้ ทุกคนต่างคิดว่าเขาสมควรแล้ว พลางมองเขาด้วยหางตา
“แกไม่รู้อะไรเลย…! อย่าคิดว่าจะได้อยู่ในฐานะที่มีสิทธิ์จะพูดแบบนั้นตลอดไปนะ เพราะอีกเดี๋ยวแกก็จะกลายเป็นคนที่เลวกว่าคนชาติกำเนิดต่ำๆ คนนั้นแล้วไงล่ะ!”
เคาน์ติสแผดเสียง แม้จะไม่ค่อยมีเสียงออกมาเท่าไรนัก คำพูดนั้นเป็นคำแนะนำที่มีเหตุผลสำหรับเคนผู้โง่เขลา ไม่สิ มันเป็นคำแนะนำที่ต่อให้เขาตาสว่างตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์แล้ว
ถึงอย่างนั้น เคนก็แสร้งหัวเราะออกมาราวกับว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ เขาจ้องเคาน์ติสเขม็งราวกับจะฆ่าเธอทิ้ง แล้วเขาก็สั่งคนรับใช้ทันทีราวกับว่าเขาไม่อยากแม้แต่จะข้องเกี่ยวกับเธออีกต่อไป
“ขังอาเรียไว้ในห้อง เธอจะได้ไม่ไปไหนมาไหนแล้วทำเรื่องต่ำๆ อีก ถ้าเธอขัดขืน ก็มัดมือกับเท้าเอาไว้ด้วยก็ได้ แล้วฉันก็หวังว่าเคาน์ติสจะออกไปจากคฤหาสน์นี้ เพราะตอนนี้เจ้าของคฤหาสน์ก็คือฉัน”
“….”
ทว่าในบรรดาเหล่าคนรับใช้นั้น ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ทำตามคำสั่งเคน มันเป็นผลมาจากผลประโยชน์ที่อาเรียมอบให้พวกเขาตลอดเวลาที่ผ่านมา แน่นอนว่าต่อให้ไม่ใช่เพราะแบบนั้น แต่มันเป็นตัวเลือกที่แน่นอนอยู่แล้ว
ต่อให้พวกเขาจะโง่เขลามากขนาดไหน ก็ไม่มีใครทำตามคำสั่งตระกูลเคานต์ที่คนเขาลือกันว่าให้ทรัพย์สมบัติทั้งหมดทุกอย่างแก่เหล่าทหาร และกำลังจะล่มจมเพราะการทำงานของเคนผู้อ่อนประสบการณ์
เนื่องจากการอยู่ฝ่ายเดียวกับอาเรียผู้เป็นดาวของอาณาจักร และจะขึ้นเป็นเจ้าหญิงในอนาคตนั้น คงจะได้รับอะไรกลับมามากกว่าเยอะทีเดียว
“ทำอะไรกันอยู่! รีบมัดอาเรียไว้สิ!”
เคนตวาดเสียงอีกครั้ง แต่เหล่าคนรับใช้ตั้งตัวเป็นศัตรูต่อเคนอย่างอาจหาญ โดยการปกป้องเคาน์ติสกับอาเรีย ไม่ฟังคำสั่งของเคน
“กล้าดีอย่างไร…!”
ในตอนที่เคนยกมือขึ้นอีกครั้งนั่นเอง
เหล่าอัศวินคงจะฉวยโอกาสจากความโกลาหลวุ่นวาย ตอนมาถึงคฤหาสน์ อัศวินในเครื่องแบบสีขาวขึ้นบันไดมาอย่างรวดเร็ว ตราประทับของราชวงศ์ที่ปักอยู่บนอกพิสูจน์ให้เห็นว่าพวกเขาคืออัศวินราชวงศ์
เหล่าอัศวินขมวดคิ้วมองอาเรียที่กำลังหวาดกลัว เคาน์ติสที่กำลังโกรธ และเหล่าคนรับใช้
ขณะเดียวกัน อัศวินที่มีตราสัญลักษณ์มากมายประดับอยู่บนอกก็ถามเคน พร้อมกับหยิบเอกสารแผ่นหนึ่งออกมาจากอกของเขา
“ลอร์ดเคน โรสเซนต์ใช่ไหมครับ”
“…ใช่แล้วครับ”
ความโกรธเกรี้ยวและดุร้ายได้หายไปจากใบหน้าของเคนและความกังวลเข้ามาแทนที่ทันทีที่เขาตอบกลับ เพราะอัศวินของราชวงศ์มาเยือนคฤหาสน์ ทั้งที่เหล่าทหารที่ไปซุ่มโจมตีราชวังนั้น เพิ่งจะออกไปได้ไม่นาน
และเคนก็คาดการณ์ไว้ได้ถูกต้อง อัศวินประกาศให้เขาทราบถึงการเริ่มต้นของบทลงโทษสถานหนัก
“ท่านถูกจับโทษฐานมีส่วนร่วมในการกบฏครับ”
“…!”
เมื่อคำพูดจบลง อัศวินก็เดินเข้าไปล็อกตัวเคนไว้ทันทีอย่างไม่มีแม้แต่เวลาให้หยุดพักหายใจ เพื่อไม่ให้ขยับเขาขยับตัวได้
พวกเขามัดแขนเคนด้วยเชือกที่เตรียมมา และมัดขาของเขาด้วยเช่นกัน โดยเว้นระยะให้แค่พอเดินได้ นั่นเป็นสิ่งที่เขาตั้งใจจะทำกับอาเรีย
“โอ๊ย!”
เคนกรีดร้องออกมาอยากเจ็บปวด อาจจะด้วยเชือกที่รัดแน่นเกินไป ทว่าอัศวินไม่ได้มีท่าทีสนใจเรื่องนั้น แต่กลับผลักหลังจองเคนด้วยมืออันหยาบกระด้าง ก่อนจะพูด
“ท่านส่งแม้กระทั่งเอกสารที่เป็นหลักฐานการกบฏด้วยตัวท่านเองเลยสินะครับ ท่านซ่อนเหล่าทหารไว้ที่คฤหาสน์และสนับสนุนค่าใช้จ่ายทั้งหมดเช่นนี้ ท่านมีสิทธิ์ขอทนาย แต่มันก็จะไม่ช่วยอะไรหรอกครับ ถ้าท่านไม่ต้องการให้เหล่าคนรับใช้และครอบครัวเห็นภาพรุนแรง ก็ตามมาเงียบๆ ดีกว่าครับ”
เป็นไปไม่ได้ เพราะมีบางส่วนที่เขาประมาณการได้ เมื่อวานเขาเพิ่งส่งใบแสดงรายละเอียดทั้งหมดสำหรับเสื้อผ้าอาหารและที่พักพิงของเหล่าทหารไปเอง
เขามั่นใจว่าเขาส่งมันให้ขุนนางของโครอา ไม่ใช่อัศวินราชวงศ์ แต่ทำไม…
เมื่อเขาคิดมาจนถึงตรงนี้ ก็ได้ข้อสรุปที่เขาไม่อยากจะเชื่อ และสีหน้าของเขาก็ซีดเผือดลง แรงที่ขาของเคนมลายหายไปจนเขาไม่สามารถเดินอย่างปกติได้
……………………………………………