ตอนที่ 1971
หลังจากนั้นเซี่ยปิงและคนอื่นๆก็ได้มาถึงที่โรงอาหารของศิษย์นอกในเมืองไพลิน หน้าโรงอาหารแห่งนี้ก็มีป้ายขนาดใหญ่ที่เขียนด้วยตัวอักษรสีทอง : โรงอาหารไพลิน
นี่คือสถานที่ที่ศิษย์นอกจํานวนมากในเมืองไพลินเข้ามารับประทานอาหารกัน มีพื้นที่กว้างขวางอย่างมาก มีขนาดใหญ่มากกว่าโรงอาหารไหนๆที่เซี่ยปิงเคยมานับร้อยเท่า
ในช่วงเวลานี้ ผู้คนจํานวนมากก็เข้ามาในโรงอาหารไพลินแห่งนี้เพื่อรับประทานอาหารกัน มีกลุ่มคนหลายกลุ่มที่รวมกันอยู่ที่นี่ พวกเขาต่างก็พูดคุยกันอย่างอิสระ ดูเหมือนว่าจะพูดคุยกันถึงเรื่องของการบ่มเพาและเรื่องการทําภารกิจต่างๆ
เมื่อทําการนับอย่างคร่าวๆ อย่างน้อยก็มีผู้คนกว่าหนึ่งแสนคนอยู่ในโรงอาหารแห่งนี้
“ไม่คาดคิดว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการเริ่มต้นจะมีศิษย์นอกมากมายเช่นนี้”
กงเฉิงของนิกายทรายเหลืองก็เอ่ยออกมาอย่างประหลาดใจ
“แน่นอน นี่ก็เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น นอกจากทางตะวันออกของจักรวาลของพวกเรา ก็ยังมีทางใต้ทางเหนือและทางตะวันตกของจักรวาลเช่นกัน”
เว่ยเหลียงชุนของนิกายเมฆาทะยานก็กล่าวออกมา “อย่าพูดถึงว่าในศูนย์กลางของจักรวาลเผ่าพันธุ์มนุษย์ของพวกเราก็ปกครองโลกกว่าเก้าร้อยล้านใบ มนุษย์ที่อาศัยอยู่ในแต่ละโลกนั้นก็มีเป็นจํานวนที่ไม่สามารถนับได้”
“ต่อให้โลกทุกใบจะมีอัจฉริยะเพียงคนเดียว นั่นก็เท่ากับศิษย์นอกเก้าร้อยล้านคนแล้ว แน่นอนว่าสําหรับพวกเขาการเข้าร่วมกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการเริ่มต้นเป็นเรื่องที่ยากอย่างยิ่ง บางทีท่ามกลางหนึ่งร้อยโลก อาจจะไม่มีอัจฉริยะแม้แต่คนเดียวที่สามารถเข้าร่วมกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการเริ่มต้นได้”
“ถึงแม้ว่าทุกๆปีจะมีบรรดาอัจฉริยะจํานวนมากของดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการเริ่มต้นที่ถูกเชิญออก ทว่าต่อให้เป็นเช่นนั้น จํานวนของศิษย์นอกในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการเริ่มต้นก็ยังคงรักษาจํานวนไว้ประมาณสิบล้านคนอยู่ตลอดเวลา”
ผู้คนก็พยักหน้า จักรวาลช่างกว้างใหญ่จริงๆ จํานวนมนุษย์ในจักรวาลนี้ก็มีมากเกินกว่าจะนับได้ ต่อให้โอกาสที่จะเกิดอัจฉริยะขึ้นมาจะต่ํามาก ทว่าเมื่อมีมนุษย์เป็นจํานวนที่มากมายเช่นนี้ จํานวนของอัจฉริยะที่ถือกําเนิดก็ยังคงถือว่ามากทีเดียว
“ข้าได้ยินมาว่าอาหารทั้งหมดในโรงอาหารไพลินแห่งนี้ฟรี ไม่รู้ว่านี่เป็นความจริงหรือไม่?”
อิ่งซีเหิงของนิกายอัสนีบาตก็เอ่ยถามอย่างสงสัย
“แน่นอนว่าเป็นความจริง ข้าได้สอบถามเรื่องนี้กับผู้อาวุโสหลี่จงแล้ว ปัจจัยพื้นฐานสําหรับการดํารงชีวิตของที่นี่ล้วนฟรีทุกอย่าง” เว่ยเหลียงชุนของนิกายเมฆาทะยานก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย
“ถ้าอย่างนั้นจะมัวรออะไรอีก พวกเรารีบหาอาหารกินเถอะ ข้าหิวจนจะตายแล้ว”
ฮวาเป่ยของนิกายห้าธาตุก็เอ่ยออกมาอย่างใจร้อน
จากนั้นกลุ่มคนเหล่านี้ก็หาที่นั่งใกล้ๆ ทันใดนั้นบนโต๊ะก็มีภาพฉายเสมือนจริงปรากฏขึ้นมาอย่างกะทันหัน บนภาพเสมือนจริงนี้ก็มีชุดรายการอาหารมากมายที่ปรากฏขึ้นมา ดูน่าทานอย่างมาก
“แม่เจ้า ข้าววิญญาณ ข้าวเงิน ไม่คาดคิดว่าจะสามารถกินสิ่งเหล่านี้ได้อย่างอิสระ จะกินมากแค่ไหนก็ได้หรือ?!”
“ช่างร่ํารวยจริงๆ ในโลกภายนอก ข้าวเงินหนึ่งถ้วยมีมูลค่าถึงหนึ่งแสนเหรียญจักรวาล ทว่าตอนนี้พวกเราสามารถกินได้อย่างอิสระ ไม่เกรงกลัวว่าพวกเราจะกินจนดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการเริ่มต้นล้มละลายไปอย่างนั้นรึ?”
“นี่ไม่ใช่สิ่งที่ต้องคํานึงถึง ดูนั่น ซุปดอกบัวเจ็ดสี ซุปกระดูกพยัคฆ์ ข้าวต้มนิรันดร์ สิ่งเหล่านี้ต่างก็เป็นอาหารที่ทํามาจากวัตถุดิบหายากและล้ําค่า ไม่ได้มีมูลค่าที่น้อยเลย ช่างฟุ่มเฟือยหรูหราเสียจริง”
“บอกตามตรง ข้าก็มีต้นกําเนิดมาจากตระกูลที่ยิ่งใหญ่ ตระกูลของข้าก็มีความมั่งคั่งสุทธิกว่าแสนล้านเหรียญจักรวาล ทว่าก็ยังไม่สามารถกินสิ่งเหล่านี้ตามอ่าเภอใจ”
“ใช่ไหม? การที่ได้กินอาหารเช่นนี้เดือนละสองครั้งก็ถือว่ามากเกินพอแล้ว ทว่านี้กลับสามารถกินได้ประจําทุกวัน ตระกูลใดกันที่จะมีปัญญาจ่าย ยิ่งไปกว่านั้นสมาชิกของตระกูลแต่ละตระกูลก็ไม่ได้น้อยเลย เพียงแค่คนๆเดียวที่กินเช่นนี้ทุกวันก็สามารถทําให้ตระกูลล้มละลายได้”
“สมกับที่เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการเริ่มต้นจริงๆ ช่างมั่งคั่งร่ํารวยเกินไป”
ผู้คนก็อุทานออกมาอย่างประหลาดใจ พวกเขาไม่คาดคิดว่าจะมีอาหารดีๆมากมายเพียงนี้ ยิ่งไปกว่านั้นยังฟ * หากกินอาหารดีๆเหล่านี้เป็นระยะเวลาหลายปี ร่างกายจะต้องพัฒนาขึ้นมาจนถึงจุดที่ไม่สามารถจินตนาการได้มีพรสวรรค์ที่เพิ่มมากขึ้น
แม้แต่การที่พวกเขาจะเลื่อนขั้นไปในระดับลงทัณฑ์สายฟ้าก็คงจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
“ฮ่าฮ่า กลุ่มพวกด้วงบ้านนอก กลุ่มพวกชาวพื้นเมืองที่ไม่เคยเผชิญโลกกว้าง เพียงแค่สิ่งเหล่านี้ก็ทําเหมือนกับเป็นเรื่องใหญ่ ช่างเป็นการทําให้พวกเราลูกศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการเริ่มต้นเสียหน้าจริงๆ ทั้งชีวิตนี้ พวกเจ้าไม่เคยกินของเหล่านี้เลยรึ?”
ในตอนนี้ ก็มีเสียงหนึ่งที่ดังขึ้นมาจากบริเวณใกล้เคียง เป็นเสียงที่ยโสโอหังอย่างมาก
อะไรนะ?!
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ผู้คนก็หันไปมองกันและค้นพบว่าผู้ที่เอ่ยออกมานี้ก็คือชายหนุ่มที่สวมใส่ชุดสีคราม ข้างกายของฝ่ายตรงข้ามก็มีชายหนุ่ม5-6คน แต่ละคนต่างก็แผ่ออร่าของระดับกฏเทวรูปขั้นสูงสุดออกมา
พวกเขาต่างก็มองฮวาเป่ยและคนอื่นๆด้วยสีหน้าที่เย้ยหยัน ราวกับเป็นสายตาที่กําลังมองการแสดงของลิงก็ว่าได้
“ทําไมกัน? พวกเจ้ามองอะไร ไม่เคยเห็นอัจฉริยะของดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการเริ่มต้นหรือ เป็นพวกบ้านนอกจริงๆ ปราศจากความรู้และประสบการณ์ ช่างหัวเราะสิ้นดี” ชายหนุ่มชุดสีครามก็พูดจาดูถูกเหยียดหยาม อย่างเปิดเผย หยิ่งผยองอย่างถึงที่สุด
“เจ้า!”
ฮวาเป่ยและคนอื่นๆก็โมโหขึ้นมา ทว่าพวกเขาก็นึกถึงกฎระเบียบของดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการเริ่มต้นได้ ห้ามต่อสู้กันในที่สาธารณะโดยเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะถูกขับไล่ออกไปจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการเริ่มต้นทัน
พวกเขาก็เพิ่งที่จะเข้าร่วมกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการเริ่มต้นเท่านั้น ไม่ต้องการที่จะถูกขับไล่ออกไปเพียง เพราะขัดแย้งกับคนเหล่านี้ ดังนั้นพวกเขาจึงอดทนอดกลั้นไว้ ไม่ต้องการที่จะโต้เถียงอะไรกับฝ่ายตรงข้าม
“อะไร เจ้าทําไม? มองดูท่าทางของพวกเจ้าเหมือนจะไม่เต็มใจยอมรับอย่างมาก ข้าพูดสิ่งใดผิดไปหรือ ข้าก็เพียงแค่พูดข้อเท็จจริง หรือว่าพวกด้วงบ้านนอกจะไม่เข้าใจภาษามนุษย์?”
เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของฮวาเป่ยและคนอื่นๆที่รู้สึกหงุดหงิดแต่ไม่กล้าเอ่ยปากออกมานั้น ชายชุดสีครามก็หยิ่งยโสโอหังมากขึ้นกว่าเดิม
“พวกเราเข้าใจภาษามนุษย์ ทว่าเกรงว่าคําพูดของเจ้าจะไม่ใช่ภาษามนุษย์ ทว่าเป็นการเห่าของสุนัข ใครกันที่จะเข้าใจได้ ช่างเป็นการบีบบังคับให้ผู้อื่นเข้าใจในสิ่งที่ยากเกินเอื้อม
ในตอนนี้เซี่ยปิงก็เอ่ยออกมาอย่างเรียบเฉย
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฮวาเป่ยและคนอื่นๆก็หัวเราะออกมาอย่างสะใจทันที
“พี่ใหญ่ เจ้านั่นกําลังสื่อว่าท่านเป็นสุนัขที่กําลังเห่า”
น้องเล็กที่อยู่ข้างๆก็กระซิบกระซาบไปที่หูของชายชุดครามทันที
“หุบปาก เจ้าคิดว่าข้าไม่เข้าใจความหมายของเขาหรือ? เจ้าจะต้องเอ่ยย้ําเตือนขึ้นมาอีกทําไมกัน?!”
ชายชุดครามก็ต่อว่าออกมาทันที ปรารถนาที่จะตบใบหน้าของเจ้าน้องเล็กคนนี้ สีหน้าของเขาก็มืดมนอย่างมากพร้อมกับจ้องมองไปที่เซี่ยปิง “เจ้าหนู ความกล้าหาญของเจ้าช่างใหญ่โตยิ่งนัก ไม่คิดว่าจะกล้าพูดจาดูหมิ่นข้าซื้ออันเช่นนี้ นี่เจ้าไม่ต้องการที่จะใช้ชีวิตอยู่ในเมืองไพลินแล้วรี?”
“อย่ามาวางมาดใหญ่โตที่นี่ เชื่อข้าเถอะว่าต่อให้พ่อของเจ้าจะเป็นผู้ปกครองเมืองไพลินแห่งนี้ ข้าก็ยังจะใช้ชีวิตอยู่ในเมืองไพลินแห่งนี้ต่อได้” เซี่ยปิงก็รู้สึกรังเกียจชายที่วางมาดใหญ่โตคนนี้
“เยี่ยม เยี่ยมมาก เจ้าเป็นใคร ใหญ่โตมาจากไหน แน่จริงก็บอกข้ามา ข้าอยากจะรู้นักว่าอันที่จริงเจ้ามีสามเศียรหกกรหรือไม่” ชายชุดครามที่มีนามว่าซื้ออันก็โมโหอย่างมาก จ้องมองเซี่ยปิงด้วยสีหน้าที่มืดมน
“ไม่เคยเปลี่ยนชื่อ ไม่เคยเปลี่ยนนามสกุล ข้าคือหยินซื่อซิงลูกศิษย์ของนิกายห้าธาตุจากทางตะวันออกของจักรวาล แน่จริงก็เข้ามาล้างแค้นข้า ข้าหยินชื่อซึ่งไม่เคยเกรงกลัวผู้ใด ข้าจะเฝ้ารอเจ้า” เซี่ยปิงก็พูดอย่างไม่แยแส
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เว่ยเหลียงชุน อิ่งซีเหิง กงเฉิงและคนอื่นๆก็กัดมุมปาก มองเซี่ยปิงด้วยสีหน้าที่พูดอะไรไม่ออก นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นบุคคลที่โกหกได้หน้าตาเฉยเช่นนี้ ช่างมีใบหน้าที่ด้านหนาจริงๆ
“เยี่ยม ข้าจะจดจําชื่อของเจ้าไว้ หยินซื่อซิง…..”
ซืออันก็พูดออกมาด้วยน้ําเสียงเย็นชาและเขาก็กําลังจะพูดอะไรบางอย่างต่อ ทว่าไม่ทันรอให้เขาได้พูดก็มีคนที่พูดขัดเขาขึ้นมาทันที
“ช้าก่อน สหาย ไม่ว่าอย่างไรก็อย่าหลงเชื่อคําพูดของเจ้าบัดซบที่ชั่วร้ายนี้เด็ดขาด เขาไม่ได้มีนามว่าหยินซื่อซิงอย่างแน่นอน เพราะข้าคือหยินชื่อซิงตัวจริง ข้าคือหยินชื่อซิงที่แท้จริง ไอ้ลูกหมานี่แท้จริงแล้วมีนามว่า เซี่ยปิง เซี่ยปิงจากนิกายฟ้าดิน เป็นเจ้าเซี่ยปิงที่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้คนไปทั่ว ไม่ว่าอย่างไรก็อย่าคิดล้างแค้นผิดคนเด็ดขาด”
ผู้ที่เอ่ยขึ้นมานี้ก็คือชายหนุ่มที่สวมใส่ชุดสีขาว เดิมที่เขาต้องการจะรับชมการแสดงที่สนุกสนานเท่านั้น ทว่า ตอนนี้กลับเอ่ยแทรกขึ้นมาด้วยท่าทางที่ตื่นตกใจพร้อมกับจ้องมองเซี่ยปิงอย่างโมโห ปรารถนาที่จะจับไอ้ลูกหมาเซี่ยปิงนี่กินทั้งเป็น
เขาก็คือหยินซื่อชิงของนิกายห้าธาตุนั่นเอง
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร? เจ้าคือหยินซื่อซิงที่แท้จริง นี้เจ้ากาลังเล่นตลกอะไรกัน?”
ซืออันก็เอ่ยออกมาอย่างไม่สบอารมณ์
“สหาย เจ้าอาจจะไม่รู้ แต่ไอ้ลูกหมานี่ชอบเสแสร้งแกล้งเป็นผู้อื่น ใช้สถานะของผู้อื่นเพื่อก่อกรรมทําชั่ว สร้างปัญหาขึ้นในทุกหนแห่ง ทําให้คนอื่นๆกลายเป็นแพะรับบาปของเขา ข้าก็เคยถูกเจ้าบัดซบนทําร้ายจนตกอยู่ในสภาพที่น่าสิ้นหวัง บอกตามตรง ข้าคือหยินชื่อชิงของนิกายห้าธาตุตัวจริง เจ้าบัดซบนั่นกําลังพูดจาไร้สาระ ต้องการที่จะหลอกลวงเจ้า แท้จริงแล้วเขามีนามว่าเซี่ยปิง”
หยินซื่อซึิงก็กัดฟันอย่างแน่นและรีบอธิบายด้วยท่าทางที่กระวนกระวายใจ