ตอนที่ 380 ไม่อยากจากเซียวเหยี่ยนไป / ตอนที่ 381 เด็กโข่งเอย นอนเร็วไว

ชายาหยุดเย้าข้าเสียทีเถิด

ตอนที่ 380 ไม่อยากจากเซียวเหยี่ยนไป

 

 

“หมายความว่า สำนักอู๋จี๋กับคนในวังสมรู้ร่วมคิดกัน สำนักอู๋จี๋มีความสามารถจริงๆ น้องสาวของไทเฮาเป็นผู้คุมกฎของสำนักอู๋จี๋ คนที่อยู่เบื้องหลังคงไม่ใช่ไทเฮาหรอกนะเพคะ!”

 

 

หลิงอวี้จื้อสงสัยมู่หรงกวานเย่ว์อย่างมาก ไม่ว่าดูอย่างไร นางก็น่าสงสัยมากที่สุด ฮ่องเต้องค์ก่อนสวรรคต นางก็ก้าวขึ้นตำแหน่งไทเฮาอย่างราบรื่น จะเอาสร้อยข้อมือนี้ไปก็ไม่ใช่เรื่องยาก ทุกเรื่องล้วนโยงเข้ากับมู่หรงกวานเย่ว์ได้

 

 

“เป็นไปได้ แต่ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอ ในนี้จะต้องมีแผนลับยิ่งใหญ่แน่นอน ต้องสืบเรื่องนี้ให้ละเอียด”

 

 

เซียวเหยี่ยนไม่ได้ข้อสรุป เขาเป็นคนใส่ใจเรื่องหลักฐาน หากไม่มีหลักฐานเพียงพอ เขาจะไม่สรุปผล

 

 

“อาเหยี่ยน สร้อยเส้นนี้เอาไว้ทำอะไรกันแน่”

 

 

ในที่สุดหลิงอวี้จื้อก็อดใจไม่ไหว เอ่ยถาม

 

 

“ในเมื่อเจ้ารู้ว่าสร้อยเส้นนี้สามารถเปล่งแสงได้เมื่อส่องกับแสงแดด เช่นนั้นจะต้องเคยเห็นสร้อยเส้นนี้แน่นอน อวี้จื้อ เจ้าบอกข้าก่อนว่าเจ้าเคยเห็นที่ใด”

 

 

เธอเค้นสมองคิดแล้วคิดอีก จึงได้เอ่ยปากอย่างตะกุกตะกักว่า

 

 

“เคยเห็นในฝันเพคะ”

 

 

พูดจบก็ก้มหน้าด้วยความรู้สึกผิด เหตุผลนี้ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังหลอกเด็กสามขวบ แต่ว่าคราวนี้เธอคิดเหตุผลอื่นไม่ออกจริงๆ

 

 

ใครจะไปรู้ว่าเซียวเหยี่ยนกลับเชื่อ

 

 

“อวี้จื้อ เจ้าฝันถึงมันได้ แสดงว่าเจ้ากับสมบัติชิ้นนี้มีสายสัมพันธ์กัน สร้อยข้อมือนี้เจ้าพกไว้ จงเก็บไว้อย่างระมัดระวัง อย่าให้ใครเห็นได้”

 

 

หลิงอวี้จื้อนึกไม่ถึงว่าเธอจะผ่านด่านไปได้แบบนี้ ได้ยินเซียวเหยี่ยนจะเอาสร้อยข้อมือให้เธอ ปฏิกิริยาแรกของเธอคือการปฏิเสธ เธอกลัวว่าตนเองใส่สร้อยข้อมือนี้แล้วจู่ๆ ก็จะกลับไปสู่ยุคปัจจุบัน หากเป็นสองสามเดือนก่อน เธอจะต้องยิ้มรับมาอย่างดีใจแน่นอน ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว เธอมีว่าที่สามี เธอไม่อยากจากเซียวเหยี่ยนไป

 

 

“อาเหยี่ยน อย่าให้ของสิ่งนี้แก่ข้าเลย ข้าไม่มีวิทยายุทธ หากทำหายไปจะทำอย่างไร ท่านเก็บรักษาไว้เองเถิด”

 

 

เซียวเหยี่ยนคิดสักครู่ก็ไม่ยืนกรานเช่นเดิมอีก หลิงอวี้จื้อไม่มีวิทยายุทธ์ ตอนนี้เจียงสือก็คงจะยังไม่รู้ว่าสร้อยข้อมือหายไปแล้ว เมื่อใดที่นางรู้ ต้องตามหาแน่นอน ถึงตอนนั้นก็จะเป็นอันตรายต่อหลิงอวี้จื้อ อย่างไรก็รอให้เรื่องทั้งหมดนี้จบสิ้นก่อนค่อยให้สมบัตินี้แก่หลิงอวี้จื้อ

 

 

“อาเหยี่ยน ท่านยังไม่บอกข้าเลยว่าสร้อยเส้นนี้เอาไว้ทำอะไรกันแน่”

 

 

เห็นหลิงอวี้จื้อสนใจเช่นนี้ เซียวเหยี่ยนก็พูดต่อ

 

 

“หินหยกบนสร้อยเส้นนี้เป็นหินอาตมัน กล่าวกันว่าหินอาตมันเป็นอัญมณีที่ตกทอดมาตั้งแต่ตอนฟ้าดินเพิ่งแยกจากกัน [1] ผ่านไปนับหมื่นปี มันดูดซับพลังจิตวิญญาณของฟ้าดินเอาไว้

 

 

ตำนานเล่าว่าผิงตี้ ฮ่องเต้องค์แรกของแผ่นดินใหญ่ ได้สร้อยข้อมือคู่นี้มาโดยมิได้ตั้งใจ น้ำที่เดิมทีท่วมรุนแรง กลับถูกควบคุมไว้ได้อย่างปาฏิหาริย์

 

 

ปัญหานี้เป็นปัญหารบกวนผิงตี้มาหลายปี ได้รับการแก้ไขไปได้เช่นนี้ ผิงตี้ยินดีปรีดายิ่งนัก ให้สำนักดาราศาสตร์ตรวจดูปรากฏการณ์บนท้องฟ้า จากการตรวจดูปรากฏการณ์บนท้องฟ้า ก็รู้ได้ว่าเป็นเพราะพรคุ้มครองจากหินอาตมัน ด้วยเหตุนี้หินอาตมันจึงถูกยกย่องให้เป็นสมบัติล้ำค่า

 

 

แคว้นอู๋ก็เริ่มมีฝนตกต้องตามฤดูกาล แคว้นมีกำลังเจริญรุ่งเรือง กลายเป็นแว่นแคว้นที่มีศักยภาพสูงที่สุดในแผ่นดินใหญ่

 

 

จวบจนปีหนึ่ง หินอาตมันถูกขโมยไป ดวงเมืองของแคว้นอู๋ก็ถึงจุดสิ้นสุด ถูกแคว้นอื่นทำลายสิ้น

 

 

ตั้งแต่นั้นมา หินอาตมันก็กลายเป็นสมบัติที่ฮ่องเต้แต่ละแคว้นแย่งชิงกัน มันตกเป็นของผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเสมอ

 

 

หลังจากก่อตั้งแคว้นเว่ยตะวันตกเป็นต้นมา หินอาตมันก็ตกอยู่ในมือของแคว้นเว่ยตะวันตก แต่กลับไม่ระวังทำสร้อยข้อมือหายไปหนึ่งเส้น ตอนนั้นไท่จู่ [2] ฮ่องเต้ทรงกริ้วมาก จัดการทหารยามที่เฝ้าหินอาตมันทั้งหมด และสร้างคลังสมบัติหลังหนึ่งไว้เก็บหินอาตมัน”

 

 

 

 

ตอนที่ 381 เด็กโข่งเอย นอนเร็วไว

 

 

หลิงอวี้จื้อฟังอย่างตั้งใจ หินอาตมันจะมีฤทธิ์คุ้มครองดวงเมืองหรือไม่นั้นเธอไม่แน่ใจ แต่เธอยืนยันได้ว่า สร้อยข้อมือเส้นนี้ไม่ใช่สร้อยข้อมือธรรมดา และอาจมีพลังชั่วร้ายอยู่เล็กน้อยด้วย

 

 

จากที่เซียวเหยี่ยนพูด สร้อยข้อมือเส้นนี้สำคัญต่อแคว้นเว่ยตะวันตกมาก แล้วเหตุใดคนในวังผู้นั้นถึงได้มอบหินอาตมันให้เจียงสือได้ นี่เป็นเพียงองค์กรหนึ่งในยุทธภพ ชื่อเสียงใหญ่โตขนาดได้รับสมบัติที่มีอิทธิพลต่อดวงเมืองเสียที่ไหน ไม่กลัวแคว้นเว่ยตะวันตกจะพังพินาศหรืออย่างไร

 

 

คนโบราณเชื่อเรื่องพวกนี้มาก ตอนนี้ฮ่องเต้คือเฉินมั่วฉือ หากมู่หรงกวานเย่ว์มอบหินอาตมันให้เจียงสือแล้ว นางไม่กลัวว่าจะเป็นการทำร้ายลูกชายตนเองหรือ พอคิดเช่นนี้ เรื่องนี้ทำให้คนสับสนงงงวยจริงๆ

 

 

“อาเหยี่ยน ท่านเชื่อหรือไม่ว่าหินก้อนนี้จะมีอิทธิพลต่อดวงเมือง”

 

 

จู่ๆ หลิงอวี้จื้อก็ถามขึ้นมา

 

 

เซียวเหยี่ยนขยับร่างกายเล็กน้อย แล้วส่ายหน้า

 

 

“ข้าไม่เคยเชื่อคำพูดที่ไม่มีมูลความจริง โชคชะตาของประเทศจะขึ้นอยู่กับหินก้อนเล็กๆ ได้อย่างไร

 

 

หากกษัตริย์ไร้สติปัญญา จะมีหินอาตมันอีกเท่าใดก็ไร้ประโยชน์ ดวงชะตาของประเทศอยู่ในกำมือของกษัตริย์และเหล่าขุนนาง หากกษัตริย์ฉลาดรู้จักใช้คนให้เหมาะกับงาน ประชาชนก็ย่อมอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข

 

 

ในทางกลับกัน หากกษัตริย์ไม่ประพฤติเยี่ยงกษัตริย์ ขุนนางไม่ประพฤติเยี่ยงขุนนาง ประชาชนก็ย่อมต่อต้าน ทุกคนต่างรู้จักหินอาตมัน ด้วยเหตุนี้หินอาตมันจึงเป็นสัญลักษณ์ของแคว้นที่มีอำนาจ หากมันมีพลังในการคุ้มครองจริง ข้าก็หวังว่ามันจะคุ้มครองเจ้า”

 

 

หลิงอวี้จื้อมองเซียวเหยี่ยนด้วยความชื่นชม ไม่รู้ทำไม รู้สึกว่าเขาหล่อมากตอนที่พูดเรื่องพวกนี้ ที่แท้เซียวเหยี่ยนเป็นพวกอเทวนิยม ทำอย่างไรดี เธอบ้าผู้ชายไปหน่อย

 

 

เห็นหลิงอวี้จื้อมองตนเองเช่นนั้น เซียวเหยี่ยนก็มิได้รู้สึกเขินเลย กลับชอบใจอย่างยิ่ง เอื้อมมือไปลูบหัวหลิงอวี้จื้ออย่างเอาใจ

 

 

“หินก้อนนี้มีอิทธิพลต่อดวงเมืองหรือไม่ข้าไม่แน่ใจ แต่ข้ามั่นใจว่า หินก้อนนี้ไม่ใช่ของธรรมดา มิเช่นนั้นเจียงสือคงไม่เก็บมันไว้ เจียงสือเชี่ยวชาญด้านมารมืดชั่วร้าย นางเอาสร้อยข้อมือนี้ไปคงไม่ทำเรื่องดีแน่”

 

 

“ดังนั้นสร้อยข้อมือนี้จะตกอยู่ในมือของเจียงสือไม่ได้ ตอนนี้ยังไม่สามารถยืนยันว่าคนที่แอบสมรู้ร่วมคิดกับเจียงสือเป็นใคร ของชิ้นนี้ก็ยังไม่สามารถส่งคืนวังหลวงได้เช่นกัน”

 

 

“ข้าสนับสนุนท่าน”

 

 

หลิงอวี้จื้อพูดพลางยิ้มตาหยี เธอเห็นเซียวเหยี่ยนพูดยาวขนาดนี้ จึงลุกขึ้นเทน้ำให้เซียวเหยี่ยนหนึ่งแก้ว

 

 

“อาเหยี่ยน ท่านดื่มน้ำแล้วพักผ่อนเสีย ข้าจะอยู่ข้างๆ เป็นเพื่อนท่าน”

 

 

“ตอนที่อยู่ซูโจว ข้าเคยได้ยินเจ้าบอกว่ามีเพลงกล่อมเด็ก อวี้จื้อ ข้าจะให้โอกาสเจ้าสักครั้ง ตอนนี้สามารถร้องให้ข้าฟังได้แล้ว”

 

 

“หา…”

 

 

หลิงอวี้จื้อเกาหัวแกรกๆ ความจำของเซียวเหยี่ยนดีเกินไปเสียแล้วมั้ง! หากเขาไม่พูดขึ้นมา เธอก็ลืมไปแล้วว่าตัวเองเคยพูดแบบนี้ เธอทำหน้าลำบากใจพลางพูดว่า

 

 

“นั่นเป็นเพลงที่แม่ร้องกล่อมลูกน้อยนะ ข้าร้องให้ท่านฟังคงไม่เหมาะกระมัง! ท่านจะไม่อึดอัดใจหรือ”

 

 

เซียวเหยี่ยนสนใจอย่างยิ่ง

 

 

“เจ้าเปลี่ยนเนื้อเพลงสักหน่อยก็ได้แล้ว”

 

 

“ก็ได้ ข้าจะลองดู”

 

 

เห็นแก่ที่เซียวเหยี่ยนบาดเจ็บ หลิงอวี้จื้อจึงฝืนใจตอบรับ

 

 

กระแอมให้คอโล่งแล้วเธอก็ร้องว่า

 

 

“เด็กโข่งเอย นอนเร็วไว ในฝันเจ้ามีข้าตามไป ยิ้มกับเจ้า เหนื่อยกับเจ้า มีข้าเฝ้าเคลียคลอ…”

 

 

ร้องถึงตรงนี้ หลิงอวี้จื้อก็กลั้นไม่ไหว ขำพรืดออกมา เธอกุมท้องเอาไว้

 

 

“ไม่ไหวแล้ว ข้าร้องต่อไม่ได้แล้ว … ฮ่าๆ อาเหยี่ยน ท่านรีบนอนเถิด…ฮ่าๆ …”

 

 

เห็นหลิงอวี้จื้อหัวเราะเช่นนี้ ตอนแรกเซียวเหยี่ยนรู้สึกมึนงง เพลงนี้มันน่าขันขนาดนี้เลยหรือ จากนั้นมุมปากของเขาก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม หลับตาลง

 

 

เขาไม่รู้ว่าตอนที่หลิงอวี้จื้อร้องเพลงนี้นั้น ในสมองของเธอปรากฏภาพเซียวเหยี่ยนกำลังนอนอยู่ในเปลไกว อมจุกนมหลอกในปาก พอคิดถึงฉากนี้แล้วก็อยากหัวเราะ

 

 

 

 

——

 

 

[1] มาจากนิทานปรัมปราเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องการสร้างโลกของจีน คนจีนโบราณเชื่อว่าเดิมโลกเป็นฟองไข่ทรงกลม ภายในไข่มียักษ์ตนหนึ่งชื่อผานกู่หลับใหลอยู่ วันหนึ่งผ่านกู่ตื่นขึ้นมาและฟักตัวออกมา ได้ดันส่วนบนของไข่ให้กลายเป็นสวรรค์หรือท้องฟ้า และด้านล่างกลายเป็นโลกหรือพื้นดิน ถือเป็นการกำเนิดโลก

 

 

[2] ไท่จู่ (太祖) เป็นคำเรียกฮ่องเต้คนแรกของแคว้น หรือผู้ก่อตั้งราชวงศ์