บทที่ 379 เทพเจ้าแห่งสงครามทั้งสอง

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 379 เทพเจ้าแห่งสงครามทั้งสอง

 

 

“หึหึ อธิบายอย่างนั้นหรือ? อธิบายเรื่องอะไร?”

 

 

ใบหน้าที่หล่อเหลาของฉุยเฮาเฟิงยิ้มแย้มเล็กน้อย ก่อนพูดว่า “เจ้าวิตกกังวลมากเกินไปแล้ว อย่าลืมสิว่าบัดนี้บิดาเป็นถึงเจ้าเมือง ไม่ได้เป็นขุนนางต่ำต้อยเหมือนเมื่อก่อน… เมื่อสักครู่เจ้าพูดว่าสองคนนั้นเข้าไปหาเรื่องหลินเป่ยเฉินอย่างไม่มีเหตุผลใช่ไหม? เฮอะ นี่คือการกระทำที่ไม่มีเหตุผลจริงหรือ? พวกเขาเหล่านั้นก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว จะทำเรื่องราวตามอำเภอใจโดยไม่มีเหตุผลหนุนหลังเป็นไปได้อย่างไร? นี่คือสิ่งที่พวกเขาตัดสินใจที่จะกระทำ ดังนั้นก็ต้องรับผลกรรมที่จะตามมา ต่อให้ตระกูลหานกับตระกูลไท้มาสืบสวนเรื่องนี้ ผู้ที่พวกเขาจะเอาผิดก็คือหลินเป่ยเฉิน หาได้เกี่ยวข้องกับบิดาของเจ้าไม่”

 

 

ฉุยหมิงโหลวถึงกับตกตะลึงไปทันที

 

 

เขาคิดไม่ถึงเลยกับปฏิกิริยาตอบรับของบิดา

 

 

“แต่อย่างที่ลูกพูดไปขอรับท่านพ่อ ลูกรู้สึกว่าหลินเป่ยเฉินน่าจะเป็นคนเสียสติจริงๆ ก่อนหน้าเขาโยนบัตรเชิญงานเลี้ยงของพวกเราทิ้งถังขยะได้อย่างไม่ไยดี บัดนี้ก็ยังสังหารผู้คนบนถนนกลางวันแสกๆ แล้วท่านพ่อจะปล่อยให้เขาลอยนวลอยู่เช่นนี้หรือขอรับ?”

 

 

ชายหนุ่มกล่าวต่อโดยไม่หยุดพักว่า

 

 

“บัดนี้ท่านพ่อมีตำแหน่งเป็นเจ้าเมือง ผู้เสียชีวิตทั้งสองเป็นแขกคนสำคัญที่มาในฐานะผู้ติดตามของเว่ยหมิงเฉิน เขาเป็นยอดมือกระบี่รุ่นใหม่แห่งมณฑลเฟิงอวี่ ลูกเกรงว่าอีกไม่นานตระกูลเว่ยคงทำเรื่องกดดันท่านพ่อ ให้ท่านพ่อเลือกข้างแน่นอนขอรับ แล้วเมื่อถึงเวลานั้น ท่านพ่อจะเลือกยืนอยู่ข้างใครกันแน่?”

 

 

“ลูกรัก เจ้าคิดแบบคนหัวโบราณเกินไปแล้ว นี่คือยุคสมัยของคนรุ่นใหม่ เรื่องราวย่อมไม่ซ้ำรอยเดิมของคนรุ่นเก่า บัดนี้เวลาที่คนเราจะตัดสินใจทำอะไร ย่อมคิดถึงผลกระทบทางการเมืองที่จะตามมาก่อนเสมอ” ฉุยเฮาเฟิงยังคงยิ้มแย้มอย่างใจดี “บิดาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเจ้าจะเอาหลินเป่ยเฉินเป็นแบบอย่าง ใช้ความมุ่งมั่นของวัยเยาว์ให้เต็มที่ จงมีชีวิตอยู่ด้วยความกล้าหาญและทำตามความต้องการของตนเองเสมอ”

 

 

หลังจากเอื้อมมือไปตบไหล่บุตรชาย ฉุยเฮาเฟิงก็กล่าวต่อ “เจ้ามองเห็นแค่ว่าเว่ยหมิงเฉินมาจากตระกูลใหญ่โต แต่เจ้าลืมมองไปว่าหลินเป่ยเฉินก็มีผู้หนุนหลังที่มีอำนาจล้นฟ้าอยู่เช่นกัน เจ้าลองคิดดูสิว่าในเมื่อบิดาของเขาต้องโทษประหารชีวิตถึงขั้นหลบหนีคดีไปขนาดนั้น แล้วเหตุไฉนหลินเป่ยเฉินถึงได้รับอภัยโทษ?”

 

 

“ตอนแรกบิดาก็คิดไม่ถึงเช่นกัน แต่เมื่อได้รับทราบข่าวว่าหลินเป่ยเฉินไล่ตะเพิดพวกของเหลียวหวังซูออกมาจากบ้านพักอย่างไม่ไว้หน้า มิหนำซ้ำ ยังทำให้อสูรมือโลหิตอย่างหยิงอู๋จีโกรธแค้นจนตัวสั่น นั่นก็ทำให้บิดามั่นใจแล้วว่าหลินเป่ยเฉินจะต้องมีใครบางคนคอยหนุนหลังเขาอยู่อย่างแน่นอน…”

 

 

ฉุยหมิงโหลวกล่าวแทรกขึ้นว่า “หรือเรื่องราวที่หลินเป่ยเฉินถูกขับไล่ออกจากจวนตระกูลหลิน… ล้วนแล้วแต่เป็นเพียงละครตบตาเรื่องหนึ่ง?”

 

 

ฉุยเฮาเฟิงยิ้มเล็กน้อย และส่งสัญญาณบอกให้บุตรชายนั่งลง ก่อนที่เขาจะกล่าวอย่างแช่มช้า

 

 

“บิดาไม่ทราบว่านั่นคือการแสดงหรือไม่ แต่ที่สามารถบอกได้เลยก็คือเหลียวหวังซู หยิงอู๋จีและคณะผู้ติดตามทั้งหมด ไม่ได้มีเจตนาใสซื่อบริสุทธิ์ต่อหลินเป่ยเฉิน พวกเขาเห็นว่าเด็กหนุ่มคนนี้มีสถานะเป็นผู้ที่ถูกเลือก จึงอยากใช้เป็นบันไดไต่เต้าขึ้นสู่อำนาจ ฮ่าฮ่าฮ่า แต่คิดไม่ถึงเลยว่าพวกเขากลับประเมินหลินเป่ยเฉินต่ำเกินไป ถึงได้โดนปฏิเสธเช่นนี้!”

 

 

ฉุยหมิงโหลวพูดด้วยความประหลาดใจว่า “เหลียวหวังซูบัดนี้ดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการมณฑล ส่วนหยิงอู๋จีก็มีสถานะเป็นหัวหน้าหน่วยมือปราบประจำมณฑล ลำพังตำแหน่งเพียงเท่านี้ ยังไม่ยิ่งใหญ่พอสำหรับคนผู้หนึ่งอีกหรือขอรับ?”

 

 

“เจ้ายังมองโลกอย่างเด็กน้อยเกินไป เจ้าไม่รู้หรอกว่าคนเราสามารถทะเยอทะยานได้มากแค่ไหน บิดาเคยเห็นขุนนางจำนวนมากมายยอมเข่นฆ่าเหยียบหัวกันเอง เพียงเพื่อที่จะแย่งชิงตำแหน่งของกันและกัน เรียกได้ว่านั่นคือสังคมคนกินคน และเราไม่สามารถไว้วางใจผู้ใดได้เลย…”

 

 

ฉุยเฮาเฟิงพูดไปแล้วก็นึกถึงความทรงจำอันยาวนาน สีหน้าของเขาปรากฏความหดหู่ใจเล็กน้อย

 

 

หลังจากนั้นเขาก็ระบายลมหายใจยาวแรงและกล่าวว่า

 

 

“ในจักรวรรดิเป่ยไห่มีขุนนางอยู่เป็นจำนวนมาก และส่วนใหญ่แล้วเกือบทุกคนจะชื่นชอบท่านขุนนางนักรบแห่งสวรรค์ ยึดถือท่านเป็นวีรบุรุษประจำใจ บางคนถึงกับกราบไหว้บูชาเป็นเทพเจ้าที่ยังมีชีวิต แต่ในเวลาเดียวกันนั้น… ขุนนางและนายทหารใหญ่หลายคน ก็ต้องตกอยู่ภายใต้ร่มเงาของท่านแม่ทัพหลินจิ้นหนานโดยไม่เต็มใจ บางคนแม้ไม่ชอบหน้าท่าน แต่ก็แสดงออกไม่ได้ เหลียวหวังซูในเวลานั้น อย่าว่าแต่จะเป็นคนขัดรองเท้าให้ท่านแม่ทัพก็ยังไม่คู่ควรด้วยซ้ำ”

 

 

ฉุยหมิงโหลวแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาอีกครั้ง นี่คือครั้งแรกในชีวิตที่เขาได้ยินบิดากล่าวถึงคนอื่นด้วยน้ำเสียงเคารพเทิดทูนเช่นนี้ และมันก็ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกว่าตำนานเล่าลือเกี่ยวกับท่านขุนนางนักรบแห่งสวรรค์ที่ตนเองเคยได้ยินมา คงจะต้องเป็นเรื่องจริงอย่างแน่นอน

 

 

“แล้วเพราะเหตุใด… ท่านแม่ทัพหลินจิ้นหนานถึงได้หมดอำนาจลง และมีสถานะกลายเป็นผู้ร้ายหลบหนีคดีล่ะขอรับ?” ฉุยหมิงโหลวอดถามออกไปไม่ได้

 

 

ฉุยเฮาเฟิงถอนหายใจยาวนาน “บางทีอาจเป็นเพราะว่าท่านแก่ชรามากเกินไป บางทีอาจเป็นเพราะท่านใจอ่อนมากเกินไป บางทีอาจเป็นเพราะท่านเบื่อหน่ายมากเกินไป หรือบางทีอาจเป็นเพราะท่าน…แข็งแกร่งมากเกินไป ชีวิตของท่านจึงได้พบกับความพลิกผันเช่นนั้น”

 

 

หลังได้ยินคำตอบจากบิดา ฉุยหมิงโหลวก็ไม่รู้ว่าตนเองควรพูดอย่างไรอีกแล้ว

 

 

หลายคนรู้ดีถึงเรื่องราวเกี่ยวกับท่านขุนนางนักรบแห่งสวรรค์

 

 

แต่ความสำเร็จในอดีตดูเหมือนจะเป็นตำนานที่ผ่านมายาวไกลแล้ว

 

 

สิ่งที่เด็กรุ่นใหม่จดจำได้ในบัดนี้ กลับเป็นเรื่องราวที่เทพเจ้าแห่งสงครามกลายเป็นผู้ร้ายหลบหนีโทษประหาร และหายสาบสูญไปเสมือนเป็นมนุษย์ไร้ตัวตน

 

 

นี่คือสิ่งที่ทำให้ชื่อเสียงอันเกรียงไกรของท่านแม่ทัพต้องด่างพร้อย

 

 

 หลายคนถึงกับดูถูกดูแคลนว่า “เทพเจ้าแห่งสงครามอันใดถึงได้ไร้ค่าเพียงนี้”

 

 

ฉุยหมิงโหลวคิดไม่ถึงเช่นกันว่า…

 

 

บิดาของเขาจะเป็นหนึ่งในขุนนางที่ชื่นชอบและเคารพเทิดทูนหลินจิ้นหนานหมดหัวใจ

 

 

“แต่สิ่งที่หลายคนไม่รู้ก็คือแม่ทัพหลินจิ้นหนานนับเป็นคนที่สอง ที่ได้รับฉายาว่าเทพเจ้าแห่งสงครามของจักรวรรดิเรา ก่อนหน้าที่ท่านจะมีชื่อเสียงขึ้นมา ได้มีอีกหนึ่งวีรบุรุษผู้กล้าสร้างชื่อเสียงยิ่งใหญ่เกรียงไกรได้ไม่แพ้กัน เรียกได้ว่าหากจับเขากับท่านแม่ทัพหลินจิ้นหนานมาต่อสู้กัน ก็ยากตัดสินได้ว่าใครจะเป็นผู้ชนะ…”

 

 

ฉุยเฮาเฟิงพูดถึงเรื่องราวนี้ก็เกิดความรู้สึกติดพันขึ้นมา เขาเปิดกล่องเก็บผงชาที่มีไว้สำหรับรับแขกคนสำคัญออกมาชงน้ำชาให้แก่ตนเองและบุตรชายได้ดื่ม ในระหว่างนั้น ผู้เป็นเจ้าเมืองคนใหม่ก็กล่าวต่อไปว่า

 

 

“เทพเจ้าแห่งสงครามทั้งสองท่านนี้ โดยรวมแล้วสร้างความสงบสุขให้แก่จักรวรรดิของเราได้ยาวนานนับร้อยปี ถึงแม้พวกท่านจะทำตัวติดดินเหมือนคนธรรมดา แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าต้องมีศัตรูตายใต้เงื้อมมือของพวกท่านมากมายขนาดไหน แล้วบุคคลชั้นปลายแถวอย่างเหลียวหวังซูกับหยิงอู๋จีจะไปเทียบเคียงได้อย่างไร?”

 

 

ฉุยหมิงโหลวเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง

 

 

นี่คือเรื่องราวที่เขาไม่เคยรู้

 

 

มันไม่เคยถูกบรรจุอยู่ในวิชาประวัติศาสตร์ร่วมสมัยของจักรวรรดิ

 

 

ต่อให้เป็นตำนานพื้นเมืองก็ไม่เคยกล่าวถึงเรื่องราวนี้มาก่อน

 

 

“แล้วเทพเจ้าแห่งสงครามคนแรกคือใครหรือขอรับ?”

 

 

ฉุยหมิงโหลวถามออกมาในที่สุด

 

 

ฉุยเฮาเฟิงยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบและพูดว่า “ปัจจุบันท่านอยู่ในเมืองหยุนเมิ่งแห่งนี้นี่เอง เจ้าคงเดาได้ไม่ยาก”

 

 

“หืม?”

 

 

ฉุยหมิงโหลวอุทานด้วยความประหลาดใจ “อยู่ในเมืองหยุนเมิ่งนี่เองหรือขอรับ? ถ้าอย่างนั้นก็คงจะเป็น…”

 

 

เขาเอ่ยนามทุกคนที่น่าจะมีความเป็นไปได้ แต่บิดากลับปฏิเสธทั้งหมด

 

 

ฉุยเฮาเฟิงกล่าวว่า “เจ้าไม่ต้องเดาอีกแล้ว ถึงบอกไปเจ้าก็คงไม่อยากเชื่อ เพราะเทพเจ้าแห่งสงครามคนแรกนั้นก็คือหลิงไท่ซวี ชายชราจอมเสเพลอันดับหนึ่ง ผู้ดำรงตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ของสถานศึกษากระบี่ที่สามคนปัจจุบันนั่นเอง”

 

 

“ว่าไงนะขอรับ?”

 

 

ฉุยหมิงโหลวเลิกคิ้วสูงด้วยความไม่อยากเชื่อ