บทที่ 380 อย่าไปยุ่งกับหลินเป่ยเฉิน

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 380 อย่าไปยุ่งกับหลินเป่ยเฉิน

ต่อให้เขาคิดถึงคนที่น่าจะมีความเป็นไปได้สักหมื่นคน แต่หมื่นคนนั้นต้องไม่มีชื่อของหลิงไท่ซวีอยู่แน่นอน ก็ใครเลยจะไปคิดว่าชายชราที่วันๆ เอาแต่เมาหัวราน้ำ ครั้งหนึ่งจะมีสถานะเป็นถึงเทพเจ้าแห่งสงครามประจำกองทัพมาก่อน?

แต่เมื่อลองคิดดูให้ละเอียดรอบคอบ ทุกอย่างก็มีเหตุผลชวนรับฟังทั้งสิ้น

ท่านขุนนางนักรบแห่งสวรรค์เป็นคนหยุนเมิ่ง

หลินเป่ยเฉินสามารถสร้างชื่อเสียงโด่งดังเมื่อเข้าเรียนที่สถานศึกษากระบี่ที่สาม

 ตระกูลหลิงก็มีสถานะสูงส่งในจักรวรรดิ…

เรื่องราวทั้งหมดนี้ต้องไม่ใช่เหตุบังเอิญอย่างแน่นอน

“ความจริงแล้ว มีความลับอีกหนึ่งเรื่องที่ผู้คนไม่เคยรู้มาก่อน” ฉุยเฮาเฟิงหันกลับมามองหน้าบุตรชายผู้หล่อเหลาของตนเอง สีหน้าเกิดความลังเลเล็กน้อย แต่แล้วเขาก็ยกมือโบกสะบัด สร้างม่านพลังขึ้นมาปิดกั้นเสียงไม่ให้เล็ดลอดออกไปนอกห้อง “ที่ตระกูลหลิงมีสถานะพิเศษในจักรวรรดิเรา เจ้ารู้หรือไม่ว่าเป็นเพราะสาเหตุใด?”

“สาเหตุใดหรือขอรับ?”

ฉุยหมิงโหลวถามกลับไปโดยไม่รู้ตัว

ฉุยเฮาเฟิงตอบว่า “เพราะว่าตระกูลหลิง เป็นเชื้อสายราชวงศ์ก่อนหน้านี้น่ะสิ”

ฉุยหมิงโหลวถึงกับอ้าปากค้าง

นี่คือสิ่งที่เขาไม่คิดว่าจะได้ยิน

ตระกูลหลิงเป็นเชื้อสายราชวงศ์ที่เคยปกครองจักรวรรดิเป่ยไห่มาก่อนอย่างนั้นหรือ?

ไม่มีสิ่งใดจะน่าเหลือเชื่อมากไปกว่านี้อีกแล้ว

ต้องทราบก่อนว่าข้อมูลเกี่ยวกับราชวงศ์ก่อนหน้านี้นั้นค่อนข้างหายาก

มีบันทึกในจดหมายเหตุเพียงเล็กน้อยว่าราชวงศ์ที่เคยปกครองจักรวรรดิเป่ยไห่ก่อนหน้านี้ มีขุมกำลังทางการทหารแข็งแกร่ง และสามารถทำสงครามรบพุ่งได้กับศัตรูทุกสารทิศ… แต่ไม่เคยมีบทบันทึกที่บอกว่าเพราะเหตุใดราชวงศ์ก่อนหน้านี้จึงจำเป็นต้องสละราชบัลลังก์

และนั่นก็คือปริศนาที่ไม่เคยมีใครได้รับคำตอบ

“เจ้ารู้เรื่องนี้เอาไว้ก็ดีแล้ว”

ฉุยเฮาเฟิงพูดต่อว่า “เจ้าเป็นคนหนุ่มที่รู้จักปิดปากเงียบ เพราะเหตุนี้บิดาถึงบอกเรื่องนี้ให้เจ้ารู้ แต่ด้วยความที่เจ้าชอบคิดแบบผู้ใหญ่เกินตัว ชอบชั่งน้ำหนักถูกผิดดีเลวแบ่งแยกซ้ายขวา อย่างเช่น บัดนี้เจ้าคงกำลังตัดสินใจว่าตนเองสมควรเลือกอยู่ฝั่งไหนดี ซึ่งมันเป็นสิ่งที่ไม่ดีต่อตัวเจ้าเลย”

ฉุยหมิงโหลวยิ้มแย้มและกล่าวว่า “ลูกจะจดจำให้ขึ้นใจขอรับท่านพ่อ”

ฉุยเฮาเฟิงพยักหน้าด้วยความพอใจ “สิ่งที่บิดาอยากจะบอกเจ้าก็คือ ตระกูลเว่ยมีอำนาจสูงส่งก็จริง แต่บุคคลที่หนุนหลังหลินเป่ยเฉินก็ไม่ต่ำต้อยเช่นกัน หากทั้งสองฝ่ายมีเรื่องปะทะหักล้าง คงจะเกิดคลื่นลูกใหญ่สร้างความกระทบไปทั่วจักรวรรดิเป่ยไห่ พวกเราพ่อลูกไม่สามารถเลือกที่จะยืนอยู่ข้างใครได้เลยจริงๆ”

ฉุยหมิงโหลวรับคำด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ลูกเข้าใจแล้วขอรับ”

ฉุยเฮาเฟิงพยักหน้าฉีกยิ้ม ก่อนจะถามว่าออกมาอีกครั้ง “ในเมื่อเจ้าได้พบเจอหลินเป่ยเฉินแล้ว มีความรู้สึกอย่างไรต่อเขาบ้าง?”

“ท่านพ่อกำลังทดสอบลูกใช่ไหมขอรับ?”

ฉุยหมิงโหลวทบทวนความทรงจำอย่างถี่ถ้วน นึกถึงเหตุการณ์ทั้งหมดที่ตนเองได้ประสบพบเจอในวันนี้ สุดท้ายก็กล่าวออกมา “เขายโสโอหังและทำตัวไม่มีเหตุผลเหมือนในข่าวลือเลยขอรับ ซ้ำยังเป็นคนใจคออำมหิตเกินอายุ เขาสามารถทำได้ทุกอย่างที่ตนเองพอใจ… ข่าวลือที่กล่าวว่าหลินเป่ยเฉินมีความบกพร่องทางสมอง ลูกมั่นใจว่าต้องเป็นความจริงแน่นอน”

“แล้วมีอะไรอีกหรือไม่?”

ฉุยเฮาเฟิงถาม

ฉุยหมิงโหลวครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน แล้วกล่าวว่า “บรรดาพ่อค้าและชาวเมืองที่ออกมาปกป้องเขาแต่ละคน ล้วนมีร่างกายแข็งแกร่งกำยำไม่ธรรมดา บ่งบอกว่าไม่ใช่พ่อค้าตัวจริง… นี่แสดงว่าหลินเป่ยเฉินต้องได้รับการคุ้มครองโดยที่เขาไม่รู้ตัว แต่นอกจากเรื่องนี้… ลูกก็ไม่พบเจอสิ่งอื่นอีกแล้วขอรับ”

ฉุยเฮาเฟิงพูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม “เจ้าเคยได้ยินบทเพลงที่ชื่อว่า ถ้าเขาจะรัก ยืนเฉยๆ เขาก็รักหรือไม่?”

“อ้อ บทเพลงนี้ลูกเคยได้ยินมาบ้าง”

ฉุยหมิงโหลวอธิบายต่อว่า “มันเป็นเพลงรักแสนเศร้าที่ไพเราะเสนาะหู ยิ่งรับฟังเท่าไหร่ ก็รู้สึกเหมือนตกอยู่ในภวังค์ และอยากจะรับฟังไปตลอดชีวิตมากเท่านั้น ไม่นานมานี้มันเป็นเพลงที่โด่งดังไปทั่วเมืองหยุนเมิ่ง ไม่ว่าจะเป็นหอสุราหรือหอนางโลม ก็ต้องขับขานเพลงนี้ด้วยกันทั้งสิ้น”

ฉุยเฮาเฟิงพยักหน้าและร้องเพลงออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ถ้าเขาจะรัก ยืนเฉยๆ เขาก็รัก ถ้าเขาจะรัก ไม่ต้องทักเขาก็ทัก เหนื่อยพอแล้วก็พักดีกว่า อย่าไปวิ่งตามคนที่เขาไม่เคยรักเรา…”

เขาร้องออกมาโดยไม่มีผิดสักคำเดียว

“เจ้าฟังเพลงนี้แล้วลองดูถ้อยคําเรียบง่ายที่เขาเลือกใช้ ถ้าไม่บอกก็คงไม่รู้ว่าผู้ที่แต่งเพลงนี้ขึ้นมาก็คือหลินเป่ยเฉิน เขาเป็นคนที่ขับร้องทำให้มันโด่งดังไปทั่วเมือง ไม่มีใครเป็นอัจฉริยะอย่างเขาอีกแล้ว และนี่ก็คงเป็นวิชาที่ถ่ายทอดมาโดยตรงจากหลิงไท่ซวีเป็นแน่แท้ ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ความรู้สึก หรือนัยยะซ่อนเร้นที่แฝงอยู่ในบทเพลง ต่างก็บอกพวกเราได้เป็นอย่างดี…”

ฉุยเฮาเฟิงพลันกลับมามีสีหน้าเคร่งเครียดจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาพูดเน้นย้ำทีละคำกับบุตรชายว่า “เจ้าอย่าไปยุ่ง หรือมีปัญหากับหลินเป่ยเฉินเด็ดขาด”

ฉุยหมิงโหลวเห็นบิดาออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดถึงขั้นนี้ ก็รีบตอบรับโดยเร็วว่า “ขอรับท่านพ่อ ลูกจะจดจำให้ขึ้นใจ”

ฉุยเฮาเฟิงพยักหน้าด้วยความพอใจและพูดว่า “เอาล่ะ นี่ก็ได้เวลาแล้ว เจ้าสมควรกลับไปพักผ่อน เรื่องของเหตุการณ์บ้านเมืองปล่อยให้บิดาเป็นผู้จัดการเองเถิด”

“นี่คืออะไรหรือขอรับ?”

หลินเป่ยเฉินมองสิ่งที่ถูกวางอยู่บนโต๊ะเบื้องหน้า ของสิ่งนั้นคือต้นหญ้าสีแดงสดต้นหนึ่ง “อาจารย์บอกศิษย์ว่าจะเข้าป่าไปล่าของวิเศษ หายไปหลายเดือน ที่ได้กลับมามีเพียงต้นหญ้าต้นเดียวเท่านั้นเองหรือขอรับ?”

ติงซานฉือตอบว่า “ของสิ่งนี้เรียกว่าหญ้าเสริมปราณปาฏิหาริย์ มีสรรพคุณช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งของพลังลมปราณในร่างกาย สามารถช่วยให้คนเราเลื่อนระดับจากขั้นผู้ฝึกยุทธ์ ขึ้นไปสู่ขั้นปรมาจารย์ได้รวดเร็วปาฏิหาริย์สมชื่อ อาจารย์ได้รับทราบข่าวว่ามีต้นหญ้าเสริมปราณปาฏิหาริย์อายุ 500 ปีขึ้นอยู่ในภูเขาแถบนั้น จึงใช้เวลาหลายเดือนที่ผ่านมาค้นหามันจนเจอ เมื่อได้มาแล้วก็รีบออกจากป่าเดินทางกลับมาหาเจ้า แต่คิดไม่ถึงเลยว่าระยะเวลาสั้นๆ ที่อาจารย์ไม่อยู่ จะมีเรื่องเกิดขึ้นในเมืองหยุนเมิ่งมากมายถึงเพียงนี้… นี่เจ้าคงไม่ได้โทษว่าอาจารย์ไร้ความรับผิดชอบหรอกกระมัง?”

หลินเป่ยเฉินตอบตามความจริงว่า “จะไม่โทษได้หรือขอรับ เล่นหายหน้าหายตาไปซะขนาดนั้น”

ติงซานฉือระเบิดเสียงหัวเราะด้วยความชอบใจ

“สมุนไพรชนิดนี้เสื่อมสภาพเร็วมาก เจ้ารีบเอาไปรับประทานเถิด ถือว่ากินยาบำรุงกำลังชนิดหนึ่ง… ส่วนเรื่องอื่นค่อยคุยกันทีหลัง”

ชายชรากล่าว

หลินเป่ยเฉินไม่เกรงใจอีกแล้ว เขาหยิบต้นหญ้าขึ้นมาและถามว่า “ให้กินดิบๆ แบบนี้เลยหรือขอรับ?”

ติงซานฉือพยักหน้า “ถูกต้องแล้ว”

หลินเป่ยเฉินส่งหญ้าต้นนั้นเข้าปากแล้วเคี้ยวกร้วม

หลังจากนั้น น้ำที่ไหลออกมาจากต้นหญ้า ก็ไหลลงลำคอของเขาให้รสชาติขมปร่าเล็กน้อย

เด็กหนุ่มใบหน้าเหยเก

เขาเคี้ยวต้นหญ้าเหมือนกำลังเคี้ยวอ้อยเพื่อเอาน้ำหวาน

“อันที่จริง เจ้าลอกเปลือกนอกออกก่อนก็ได้…”

ติงซานฉือพูดตะกุกตะกัก

“อ้าว…”

อาจารย์นะอาจารย์ ทำไมไม่บอกให้มันเร็วกว่านี้เล่า

หลินเป่ยเฉินกำลังจะคายเศษต้นหญ้าที่อยู่ในปากออกมา แต่แล้วพลังลมปราณในร่างกายของเขาก็ไหลเวียนด้วยความรุนแรง เหมือนกับมีบางอย่างได้ปะทุขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น

จุดก่อกำเนิดลมปราณของเขาที่เคยตีบตันขยายใหญ่กว้าง

ต่อจากนั้น มวลพลังลมปราณก็แยกย้ายไปตามอวัยวะส่วนต่างๆ

หลินเป่ยเฉินใช้วิชาการโคจรพลังลมปราณขั้นพื้นฐานเข้าช่วยเหลือโดยทันที

ไม่กี่อึดใจต่อมา พลังลมปราณในร่างกายของเด็กหนุ่มก็ไหลทะลัก มันทำให้เขาเลื่อนระดับพลังอย่างต่อเนื่อง

ขึ้นไปสู่ขั้นผู้ฝึกยุทธ์ระดับที่ 5…

 ขึ้นไปสู่ขั้นผู้ฝึกยุทธ์ระดับที่ 6…

 ระดับที่ 7…

 ระดับที่ 8…

 ระดับที่ 9…

 ระดับที่ 10

เมื่อเลื่อนขึ้นมาถึงขั้นผู้ฝึกยุทธ์ระดับที่ 10 เด็กหนุ่มก็เลื่อนต่อไปขึ้นสู่ขั้นปรมาจารย์ระดับที่ 1 ปรมาจารย์ระดับที่ 2 และปรมาจารย์ระดับที่ 3…

จนกระทั่งถึงจวนจะถึงขอบเขตปรมาจารย์ระดับที่ 4  มวลพลังลมปราณในร่างกายของหลินเป่ยเฉินถึงได้ไหลเวียนอย่างเชื่องช้าลงจนกลับคืนสู่สภาพปกติในที่สุด

หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความตกตะลึง

นี่คือสรรพคุณของต้นหญ้าเสริมปราณปาฏิหาริย์อย่างนั้นหรือ

นี่มันอะไรกันเนี่ย

เด็กหนุ่มนึกถึงตอนเล่นเกมที่ได้รับยาเพิ่มพลัง แล้วตัวละครที่บาดเจ็บของเขา ก็กลับมามีพลังเต็มหลอดอีกครั้ง!