บทที่ 381 ฟื้นคืนพลัง

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 381 ฟื้นคืนพลัง

 

 

เมื่อรู้สึกได้ว่าพลังลมปราณในร่างกายของตนเองฟื้นคืนกลับมาอีกครั้ง หลินเป่ยเฉินก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความดีใจสุดขีด “นี่มัน…อุ๊วะ ฮ่าฮ่าฮ่า”

 

 

เขาสามารถกลับมาใช้พลังลมปราณได้ดังเดิมแล้ว

 

 

ติงซานฉือพยักหน้าพึงพอใจ

 

 

“ไม่เสียทีที่เป็นหญ้าเสริมปราณปาฏิหาริย์อายุ 500 ปี ช่างมีสรรพคุณมหัศจรรย์เหลือเกิน”

 

 

ชายชรากล่าวน้ำเสียงประหลาดใจ

 

 

หลินเป่ยเฉินยิ้มมุมปาก พูดจาวางท่าใหญ่โต “อาจารย์ไม่คิดจะชมว่าศิษย์ยอดเยี่ยมบ้างหรือขอรับ? ขนาดคาร์ล มาร์กซ์ยังเคยกล่าวเอาไว้เลยว่า การที่คนเราจะทำอะไรสำเร็จสักอย่างนั้น ปัจจัยภายนอกเป็นแค่องค์ประกอบเสริมแต่ง แต่สิ่งสำคัญคือปัจจัยภายในจากตัวของเราเองต่างหาก…”

 

 

“ใครคือคาร์ล มาร์กซ์รึ?”

 

 

ติงซานฉือขมวดคิ้ว สีหน้าฉงน

 

 

เอ่อ…

 

 

เอาอีกแล้วไง

 

 

เผลอหลุดปากพูดถึงเรื่องโลกมนุษย์ที่เขาจากมาอีกแล้ว

 

 

หลินเป่ยเฉินตั้งสติได้ แต่ก็ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร เขาทำได้เพียงตีสีหน้าเหลือเชื่อและพูดตะกุกตะกักว่า “อะไรกัน นี่อาจารย์ไม่รู้จักท่านนักปราชญ์คาร์ล มาร์กซ์หรือขอรับ? นามนี้โด่งดังมากในประวัติศาสตร์เทพเจ้าเลยนะขอรับ?”

 

 

หืม?

 

 

ติงซานฉือมีสีหน้างุนงงสงสัยเล็กน้อย

 

 

เขาควรรู้จักบุคคลชื่อนี้อย่างนั้นหรือ?

 

 

ทำไมถึงไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเลยนะ

 

 

แต่ติงซานฉือไม่ได้หยิบจับตำรามานานแล้ว ส่วนหลินเป่ยเฉินเพิ่งจะร่ำเรียนภาคทฤษฎีกับนักพรตหญิงชินเร็วๆ นี้… เห็นทีนี่คงเป็นความรู้ใหม่ที่หลินเป่ยเฉินได้มาจากวิหารเทพกระบี่แน่นอน

 

 

ติงซานฉือรู้สึกผิดที่ตนเองมีความรู้น้อยเกินไป

 

 

เขาพยายามยิ้มกลบเกลื่อนว่า “ข้าต้องเคยได้ยินชื่อนี้มาแล้ว มิเช่นนั้นจะเป็นอาจารย์ของเจ้าได้อย่างไร? ที่ถามออกไปเมื่อสักครู่ ก็แค่อยากจะทดสอบเจ้าเท่านั้นเอง… เพราะถึงแม้เจ้าจะมีความสามารถพิเศษ สามารถฝึกวิทยายุทธ์ได้ขณะนอนหลับ แต่ก็ยังมีเรื่องราวอีกมากมายที่เจ้าควรรับความรู้จากอาจารย์เอาไว้”

 

 

หลินเป่ยเฉินรีบไหลตามน้ำโดยทันทีว่า “อาจารย์เปรียบเสมือนแสงสว่างนำทางชีวิตศิษย์เสมอ”

 

 

เมื่อลองโคจรพลังลมปราณดูอีกครั้ง หลินเป่ยเฉินก็พบว่าระดับพลังลดลงมาเล็กน้อย เขากลับมามีพลังอยู่ในขั้นปรมาจารย์ระดับที่ 3 ดังเดิม แต่มันก็เพียงพอที่เขาจะสร้างวงแหวนวารีขึ้นมารักษาอาการอ่อนเพลียให้แก่ร่างกาย ซึ่งเกิดขึ้นจากการที่ใช้วิชาโลหิตกระชากวิญญาณนั่นเอง

 

 

แต่วินาทีต่อมา ปัญหาใหญ่ก็บังเกิด

 

 

ไม่มีวงแหวนวารีปรากฏขึ้น

 

 

ไม่มีสิ่งใดปรากฏขึ้น

 

 

หลินเป่ยเฉินลองโคจรพลังลมปราณดูอีกครั้ง

 

 

เห็นได้ชัดว่าเขาสามารถใช้พลังลมปราณได้ตามปกติ แต่กลับไม่สามารถสร้างวงแหวนวารีออกมาได้อีกแล้ว

 

 

หลังลองพยายามอยู่หลายครั้ง เด็กหนุ่มก็ทำไม่สำเร็จ

 

 

หลินเป่ยเฉินมีสีหน้าไม่อยากเชื่อ

 

 

แต่ไม่ว่าพยายามอีกสักเท่าไหร่

 

 

ผลลัพธ์ก็เหมือนเดิม

 

 

เขาไม่สามารถใช้วงแหวนวารีได้อีกแล้ว

 

 

เกิดอะไรขึ้นกันแน่?

 

 

การค้นพบครั้งนี้ทำให้หลินเป่ยเฉินมีเหงื่อไหลโซมกาย

 

 

ถ้าไม่สามารถใช้วงแหวนวารีได้ เขาต้องจบเห่แน่ๆ

 

 

แล้วหลังจากนี้จะใช้วิชาโลหิตกระชากวิญญาณได้อย่างไร?

 

 

หลินเป่ยเฉินหน้าตาแดงก่ำ พยายามบังคับตนเองให้รวบรวมสมาธิ สงบจิตสงบใจ และลองไตร่ตรองเรื่องราวทุกอย่างด้วยความละเอียดรอบคอบอีกครั้ง

 

 

และแล้วเขาก็พบเหตุผล

 

 

นั่นเป็นเพราะว่าในตัวของเขาไม่ได้มีพลังปราณธาตุน้ำอีกต่อไป

 

 

สำหรับผู้ฝึกยุทธ์โดยปกติ เมื่อพลังเลื่อนขึ้นมาถึงขั้นผู้ฝึกยุทธ์ระดับที่ 10 ก็จะต้องเดินทางไปที่วิหารเทพกระบี่เพื่อทำพิธีเปิดจุดก่อกำเนิดพลังปราณธาตุในร่างกาย ซึ่งจะเป็นการทำให้ได้เลื่อนระดับขึ้นสู่ขั้นปรมาจารย์อย่างสมบูรณ์

 

 

หากยังไม่ได้เลื่อนขึ้นมาอยู่ในขั้นปรมาจารย์ ร่างกายก็จะยังไม่มีพลังปราณธาตุ

 

 

เมื่อสักครู่นี้ หลินเป่ยเฉินค้นพบว่าตนเองมีพลังกลับคืนมาอยู่ในขั้นปรมาจารย์ระดับที่ 3 แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้น พลังของเขายังติดค้างอยู่ในขั้นผู้ฝึกยุทธ์ระดับที่ 10 หากอยากจะให้พลังทั้งหมดฟื้นคืนกลับมาโดยสมบูรณ์จริงๆ เขาก็ต้องเดินทางไปที่วิหารเทพกระบี่ เพื่อทำพิธีเปิดจุดก่อกำเนิดพลังปราณธาตุอีกครั้ง

 

 

นี่คือความรู้ที่ไม่มีบอกอยู่ในตำรา แต่เป็นสิ่งที่หลินเป่ยเฉินสามารถคาดเดาได้ด้วยตนเอง

 

 

เด็กหนุ่มคิดว่า สำหรับผู้ที่มีสถานะเป็นร่างทรงเทพเจ้า เมื่อได้รับพลังศักดิ์สิทธิ์เข้าสู่ร่างกาย พลังลมปราณก็จะสูญสลาย ผู้ที่ถูกเลือกจะต้องรอเวลาที่พลังทั้งหมดจะกลับคืนมาเองอีกครั้ง แต่เขาอยู่นอกเหนือกฎเกณฑ์ของคนอื่นเพราะมีโทรศัพท์มือถือเป็นตัวช่วย พลังลมปราณจึงฟื้นคืนขึ้นมาเร็วกว่ากำหนด และนั่นก็ทำให้หลินเป่ยเฉินต้องทำพิธีเปิดจุดก่อกำเนิดพลังปราณธาตุเป็นครั้งที่สองในชีวิตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

 

 

“ฮื่อ…”

 

 

หลินเป่ยเฉินยกมือนวดขมับตนเองด้วยความปวดหัว “แบบนี้ก็เท่ากับว่า ข้าน้อยคงต้องไปเปิดจุดก่อกำเนิดพลังปราณธาตุ ที่วิหารเทพกระบี่อีกแล้วสินะ”

 

 

ถ้าเป็นเมื่อสัปดาห์ก่อน เด็กหนุ่มก็ไม่รู้แล้วว่าตนเองควรทำอย่างไรดี

 

 

แต่บัดนี้…

 

 

อาจารย์ของเขากลับมาแล้ว

 

 

อาจารย์ติงจะสามารถช่วยคลี่คลายข้อสงสัยให้กับเขาได้ทุกอย่าง

 

 

ติงซานฉือพอจะคาดเดาเรื่องนี้ได้อยู่บ้างแล้ว

 

 

ในที่สุด ชายชราก็จ้องมองลูกศิษย์ของตนเองด้วยแววตาครุ่นคิด กระแอมไอเล็กน้อย กล่าวว่า “มันก็ควรเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว ข้าไม่รู้เหตุผลหรอกนะว่าในเมื่อเจ้าเป็นผู้ที่ถูกเลือก แล้วทำไมถึงยังใช้พลังลมปราณได้อีกในระยะเวลาที่รวดเร็วเช่นนี้ นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากมาก…เอาเป็นว่าวันพรุ่งนี้ตอนบ่าย เจ้าไปทำพิธีเปิดจุดก่อกำเนิดพลังปราณธาตุที่วิหารเทพกระบี่อีกครั้งก็แล้วกัน เดี๋ยวอาจารย์จะเป็นคนเตรียมของบูชาองค์เทพเจ้าให้เอง”

 

 

ได้ยินดังนั้น หลินเป่ยเฉินก็ฉีกยิ้มออกมาอย่างมีความสุข

 

 

เมื่อหลินเป่ยเฉินสามารถใช้พลังลมปราณได้ตามปกติ ชายชราก็สามารถสอนทักษะการต่อสู้อีกหลายวิชาให้เด็กหนุ่มได้เรียนรู้ ติงซานฉือตั้งใจว่านับจากนี้เป็นต้นไป ตนเองจะดูแลเจ้าเด็กเกเรคนนี้ให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ เสมือนที่อาจารย์คนหนึ่งพึงดูแลลูกศิษย์ของตนเอง

 

 

“อ๊าก โอ๊ย ผลั่ก…”

 

 

“อะเฮื้อ…”

 

 

“จ๊าก…”

 

 

ในสนามหญ้าหน้าตำหนักไม้ไผ่ก้องกังวานด้วยเสียงร้องโหยหวนของเซียวปิง

 

 

เมื่อได้รับทราบว่าหลินเป่ยเฉินฟื้นคืนพลังขึ้นมาแน่นอนแล้ว ติงซานฉือก็จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการสอนที่วางแผนเอาไว้ทั้งหมด ด้วยเหตุนี้ ชายชราจึงขอตัวกลับไปที่หอพักของตนเองโดยไม่พูดคำใด เพื่อกลับไปแก้ไขแผนการสอนให้เหมาะสมกับระดับพลังของเด็กหนุ่มในปัจจุบัน

 

 

ค่ำคืนนี้

 

 

มันเป็นราตรีที่มีแต่เสียงร้องโหยหวนของเซียวปิงดังต่อเนื่องจนถึงรุ่งสาง

 

 

กระทั่งถึงเวลารับประทานอาหารเช้า เซียวปิงก็กินอาหารจนพุงกาง และเดินทางกลับไปเรียนที่สถานศึกษาของตนเองอีกครั้ง

 

 

“น้องชาย ในช่วงเวลาระหว่างนี้ ขอให้เจ้าฝึกฝนให้หนัก ถ้ามีสิ่งใดผิดปกติก็รีบมารายงานข้า อย่าได้คิดว่าเราเป็นคนอื่นคนไกล ให้คิดว่าข้าคือพี่ชายของเจ้า เจ้าคือตัวล้างผลาญ เอ๊ย เจ้าคือน้องชายของข้า มารดาของเจ้า ก็เหมือนมารดาของข้า ชีวิตคนเรานั้นแสนสั้น กว่าที่แม่เจ้าจะเลี้ยงเจ้าโตเป็นวัวเป็นควายโง่ๆ ได้ขนาดนี้ ท่านต้องลำบากมาไม่ใช่น้อย เพราะฉะนั้น เจ้าจะทำตัวเหลวไหลไม่ได้เด็ดขาด”

 

 

หลินเป่ยเฉินพูดกับเด็กหนุ่มร่างอ้วนด้วยน้ำเสียงจริงใจในขณะที่เดินออกมาส่ง

 

 

“เอ๋… ท่านพี่ขอรับ ทำไมข้าถึงรู้สึกเหมือนกับว่าท่านกำลังด่าข้าอยู่เลย?”

 

 

เซียวปิงที่เดินออกมาถึงประตูหน้าสถาบันแล้วต้องถามกลับไปเพราะรู้สึกว่ามันแปลกๆ

 

 

“เจ้าไม่ต้องสนใจรายละเอียดถ้อยคำที่ข้าเลือกใช้หรอก แค่เข้าใจความหมายโดยรวมก็พอแล้ว”

 

 

หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงเป็นปกติ

 

 

เซียวปิงพยักหน้า น้ำตาคลอเต็มสองเบ้า “ข้าเข้าใจแล้วขอรับท่านพี่ หลังจากนี้จนถึงวันตาย นอกจากท่านแม่แล้ว จะไม่มีใครสามารถแยกข้าจากท่านพี่ได้อีก ข้าจะตั้งใจฝึกฝนตนเองให้แข็งแกร่ง และข้าจะคิดว่าตำหนักไม้ไผ่เป็นเหมือนบ้านหลังที่สองของข้าเอง…”

 

 

พูดจบ เด็กหนุ่มร่างอ้วนก็หมุนตัวเดินจากไป

 

 

หลินเป่ยเฉินยืนอยู่หน้าประตู พูดคำใดไม่ออกอีกเนิ่นนาน

 

 

มันเป็นแบบนี้ไปได้อย่างไรกัน

 

 

สิ่งที่เขาตั้งใจสื่อสารเมื่อสักครู่ก็คือ ถ้าเซียวปิงฝึกวิชาแล้วพบกับความผิดปกติ ก็ให้รีบมารายงานเขาโดยทันที ไม่ได้หมายความว่าจะให้เจ้าอ้วนนั่นมากินอยู่หลับนอนด้วยสักหน่อย…

 

 

แต่ดูเหมือนว่าจะสายเกินไปแล้วสินะ

 

 

เซียวปิงคงไม่ได้หวังว่าที่นี่จะมีอาหารให้รับประทานครบ 3 มื้อหรอกกระมัง?

 

 

 

 

ณ วิหารเทพกระบี่ประจำเมืองหยุนเมิ่ง

 

 

หลินเป่ยเฉินกับติงซานฉือเดินทางมาที่นี่เพื่อทำพิธีเปิดพลังปราณธาตุ

 

 

เด็กหนุ่มไม่รู้เลยว่าอาจารย์ของเขาไปนำศิลาสีดำขนาดเท่ากำปั้นมือคนจากที่ไหน มาวางไว้บนถาดสำหรับวางสิ่งของสักการะโดดเด่นสะดุดตา

 

 

หลินเป่ยเฉินขบคิดอยู่เล็กน้อย ก็นำเหรียญทองคำมาโปรยลงไปบนถาดสำหรับวางข้าวของบูชาเช่นกัน

 

 

ในโลกนี้จะมีใครที่ต้องทำพิธีเปิดพลังปราณธาตุเป็นครั้งที่สองบ้างไหมนะ?

 

 

เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน

 

 

ถ้าไม่มี เขาก็คงเป็นคนแรก

 

 

และมันก็คงเป็นครั้งแรกของเทพีกระบี่เช่นกัน

 

 

หลินเป่ยเฉินได้แต่หวังว่าองค์เทพเจ้าจะให้ความร่วมมือกับเขาเป็นอย่างดี

 

 

เด็กหนุ่มนั่งคุกเข่าลงหน้ารูปปั้นเทพีกระบี่ และเริ่มต้นสวดภาวนาด้วยท่าทีจริงจัง