ตอนที่ 257 จับกุมอย่างโจ่งแจ้ง / ตอนที่ 258 มีญาณรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า

ลิขิตฟ้าชะตารัก

ตอนที่ 257 จับกุมอย่างโจ่งแจ้ง 

 

 

 

 

 

“ขอรับ เป็นโรคที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด หลายปีมานี้ได้เสาะหาหมอฝีมือดีมารักษา กินยาไปก็มาก แต่ก็ไม่เห็นว่าจะดีขึ้น ภายหลังได้คำแนะนำจากนักพรตผู้หนึ่งหันมาฝึกวิชาเผาไหม้ตัวตน เช่นนั้นจึงยังพอสามารถรักษาชีวิตเอาไว้ได้” ยามที่หานสือกล่าวประโยคนี้ขึ้นมาใบหน้าก็เต็มไปด้วยความกังวล เงยหน้าขึ้นมองนาง “แต่ว่าครั้งนี้ก็แปลกยิ่งนัก ไม่นึกว่าคุณหนูรองจะสามารถควบคุมซื่อจื่อได้” 

 

 

“อ้อ” อวี้อาเหราลูบเส้นผมของตัวเองแผ่วเบา นึกจะหาวิธีหลบเลี่ยงคำถามนี้ ดวงตาทั้งสองของนางนั้นมีพลังอำนาจไม่น้อย หนึ่งในนั้นคือสามารถจูงใจคนได้ แต่ไม่ใช่ว่าจะสามารถใช้ได้เสียทุกครั้งไป กลับใช้ได้เพียงในสถานการณ์คับขันเท่านั้น 

 

 

เมื่อครู่นี้หากไม่ใช่เพราะว่านางกำลังถูกบีบคอจนรู้สึกว่าตัวเองต้องตายเป็นแน่แท้แล้ว อีกทั้งในใจก็นึกกลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับฉู่ป๋าย บางทีพลังนี้ก็อาจจะใช้ไม่ได้ผล 

 

 

และเนื่องจากดวงตาทั้งสองของนางมีพลังอำนาจพิเศษ เช่นนั้นจึงมักจะถูกผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านในยุคปัจจุบันคอยดักจับกุมตัวอย่างโจ่งแจ้ง เพื่อต้องการที่จะวิจัยถึงเรื่องราวพลังของนาง แม้ว่าจะไม่ใช่เป็นการสังหารโดยตรง แต่ฝีมือของนักวิจัยเหล่านั้นก็ไม่ต่างอะไรไปจากการทรมานผู้อื่น 

 

 

ก่อนหน้านี้ก็เคยมีผู้ที่มีพลังพิเศษโชคร้ายจนถูกจับได้ ผลสุดท้ายก็ถูกทรมานจนเกือบไม่ใช่คน 

 

 

นางเป็นเด็กกำพร้ามาตั้งแต่เกิด ไม่มีทั้งพ่อไม่มีทั้งแม่ นับตั้งแต่จำความได้ก็ต้องดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอดเพียงลำพัง ยิ่งไปกว่านั้นก็ไม่รู้ว่าตัวเองมาจากไหน ทำไมถึงมักจะโดดเดี่ยวอยู่เสมอ หากไม่ใช่เพราะนางปราดเปรียวว่องไว ก็เกรงว่าคงถูกจับได้ไปเสียนานแล้ว 

 

 

แม้ชีวิตในยุคปัจจุบันของนางจะไม่อาจพูดได้ว่าดีนัก แต่ก็เป็นอิสระ ไม่ต้องมาสู้รบตบมือกับพวกของอนุรองทุกเมื่อเชื่อวันเช่นนี้ 

 

 

แม้ว่าจิตใจของนางจะเข้มแข็ง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่านางอยากจะใช้ชีวิตที่ต้องแก่งแย่งชิงดีกับใคร 

 

 

แม้ว่านางจะมีนิสัยเกียจคร้าน แต่เมื่อตกอยู่ในเหตุการณ์อันตราย นางก็พร้อมที่จะยืนหยัดตั้งรับ 

 

 

นี่ก็คือนาง อวี้อาเหรา 

 

 

แต่เมื่อเห็นฉู่ป๋ายที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงเช่นนี้แล้ว ในใจของนางก็เกิดเป็นความรู้สึกที่เจ็บปวดขึ้นมา 

 

 

“จริงสิ เรื่องอาการป่วยของซื่อจื่อมีใครรู้บ้าง” อวี้อาเหรานึกขึ้นมาได้ จึงเอ่ยถามขึ้นมาในทันที 

 

 

“นอกจากองครักษ์ข้างกายที่คอยดูแลเพียงไม่กี่คนแล้ว ก็มีเพียงพระชายา นอกนั้นก็ไม่มีผู้ใดรู้แล้วขอรับ” 

 

 

“นี่ก็หมายความว่า อาการป่วยของซื่อจื่อของพวกเจ้าก็เป็นความลับ ห้ามไม่ให้คนภายนอกล่วงรู้ใช่หรือไม่” 

 

 

“ขอรับ ในจวนนี้ยังมีท่านลุงและท่านอาของซื่อจื่อที่ต้องการที่จะกำจัดเขาอยู่ หากพวกเขาล่วงรู้เข้าก็ไม่แน่ว่าอาจจะทำเรื่องอะไรบางอย่างที่พวกเราคาดไม่ถึง เพราะอย่างนั้นพวกเราจึงตั้งใจที่จะปกปิดเรื่องนี้ไว้ ครั้งนี้หากไม่ใช่เพราะคุณหนูรองมาเห็นด้วยตาตัวเอง ข้าน้อยก็คงไม่กล้าที่จะบอก” หานสือตอบ 

 

 

อวี้อาเหราเข้าใจแล้ว มิน่าเล่าเมื่อครั้งก่อนที่นางโมโหใส่ฉู่ป๋าย หานสือที่โกรธนางถึงเพียงนั้นก็ราวกับอยากจะพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่กลับถูกฉู่ป๋ายจ้องมองจนไม่กล้าพูด หรือว่าเขาคิดจะพูดเรื่องเหล่านี้? 

 

 

“คุณหนูรอง” หานสือร้องเรียกขึ้น แล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย “ดึกดื่นเช่นนี้ ท่านมาถึงที่นี่ก็มีเรื่องด่วนอะไรหรือไม่ขอรับ” 

 

 

“ไม่มีอะไร” อวี้อาเหรามองไปทางฉู่ป๋าย ที่จริงนางอยากจะมาถามเรื่องที่หนิงจื่อเย่พูดให้รู้แน่ชัด แต่เมื่อเห็นเช่นนี้ก็ถามไม่ออก เช่นนั้นจึงจำต้องยอมรามือไปก่อน แต่หลังจากนั้นก็พลันนึกอะไรขึ้นมาได้ สีหน้าแสดงถึงความสงสัย “หานสือ เมื่อครู่นี้เจ้าบอกว่ามีนักพรตผู้หนึ่งแนะนำให้ซื่อจื่อของเจ้าฝึกวิชาเผาไหม้ตัวตนใช่หรือไม่” 

 

 

“ใช่แล้วขอรับ” ท่าทีของหานสือตึงเครียดขึ้นมาทันที แต่ก็พยักหน้ารับหนักๆ 

 

 

เป็นนักพรตอีกแล้ว… 

 

 

นางจำได้ว่าหยกเลือดชิ้นนี้ก็มาจากนักพรตคนหนึ่ง นั่นเป็นเรื่องที่หนิงจื่อเย่บอกนางด้วยตัวเอง 

 

 

หรือว่าจะเป็นอย่างที่หนิงจื่อเย่ว่าเอาไว้จริงๆ? 

 

 

แต่นักพรตคนนั้น ไม่เพียงแต่บอกให้พระชายาเซิ่นอ๋องมอบหยกเลือดให้แก่ฉู่ป๋าย อีกทั้งยังให้เขาฝึกวิชาเผาไหม้ตัวตนเพื่อรักษาชีวิต จนเขามอบหยกเลือดนี้ให้กับนาง และยังบอกอีกว่าไม่สามารถถอดมันได้ 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 258 มีญาณรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า 

 

 

 

 

 

เขาใช้พลังปราณที่มีทั้งหมดเพื่อช่วยเหลือนาง และนางก็ใช้หยกเลือดเพื่อช่วยชีวิตเขา 

 

 

ท่ามกลางเรื่องราวเหล่านี้ ราวกับมีเส้นด้ายบางๆ ที่ถักทอความสัมพันธ์ของพวกเขาให้ผูกติดกัน 

 

 

ปัญหาจะต้องอยู่ที่นักพรตผู้นั้นแน่ๆ! 

 

 

ราวกับเขารู้เรื่องราวทุกอย่าง ราวกับว่าชะตาชีวิตของพวกนางกำลังอยู่ในกำมือของเขา 

 

 

ทว่าคนผู้นั้นเป็นใครกันแน่? แล้วเขาจะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่นางทะลุมิติมาด้วยหรือไม่ 

 

 

หากว่านางไม่ได้ทะลุมิติมายังโลกใบนี้ นางก็คงไม่ได้พบกับฉู่ป๋าย คนสองคนที่อยู่กันคนละภพก็คงดำเนินชีวิตของตนเองต่อไป แต่ในเมื่อนางได้ทะลุมิติมาอยู่บนโลกใบนี้แล้ว ภายใต้ความคลุมเครือนี้ นางก็รู้สึกราวกับว่านางสมควรที่จะอยู่ที่นี่ตั้งแต่แรก 

 

 

หรือว่า เรื่องทั้งหมดจะเกิดขึ้นเพราะฝีมือของนักพรตผู้นั้น? 

 

 

อวี้อาเหราไม่เข้าใจแม้แต่น้อย คิดไม่ตกถึงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น หากเรื่องทั้งหมดเป็นสิ่งที่นักพรตผู้นั้นจัดฉากขึ้นมา แล้วเขาจะทำไปเพื่อจุดประสงค์อันใดกันแน่ 

 

 

ในโลกใบนี้จะมีผู้ที่มีญาณวิเศษล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้จริงๆ หรือ 

 

 

ยากเหลือเกินที่นางจะเชื่อได้ 

 

 

หานสือมองนางที่กำลังเหม่อลอย เช่นนั้นจึงไม่กล้าที่จะรบกวน 

 

 

ท้องฟ้ายิ่งกลายเป็นสีดำมืด อวี้อาเหราเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า “ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว ข้าขอตัวก่อน หากซื่อจื่อของเจ้าฟื้นขึ้นมาแล้วอาการกำเริบขึ้นมาอีก ก็ให้คนไปเรียกข้าที่จวนหลิงอ๋องทันที”  

 

 

“…ขอรับ” น้ำเสียงของหานสือสั่นเครือด้วยความซาบซึ้ง หากเป็นคนอื่นคาดว่าก็คงจะรีบพากันหลบลี้หนีหายไปจากซื่อจื่อเป็นแน่ เขาก็ไม่เคยพบเจอหญิงสาวนางใดที่ไร้ซึ่งความหวาดกลัวเช่นคุณหนูรองมาก่อน นางก็ไม่เหมือนกับเหล่ากุลสตรีผู้อื่นเลยจริงๆ 

 

 

อวี้อาเหราแอบกลับเข้ามาในจวนหลิงอ๋อง เพราะกลัวว่าหากนางกลับมาดึกกว่านี้จะถูกพบเข้า หากถูกหลิงอ๋องไต่สวนก็คงเจอปัญหาใหญ่แน่ นางคงไม่อาจพูดว่าแอบไปยังตำหนักเซิ่นอ๋อง หญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือนกลับออกไปยังบ้านของผู้ชายดึกๆ ดื่นๆ ซ้ำยังอยู่ด้วยกันตั้งนานเช่นนี้ แม้จะเป็นใครก็ล้วนถูกมองไม่ดีแน่ 

 

 

รอจนนางกลับมาถึงห้องก็เปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วจึงนั่งลงบนตั่ง แสร้งทำทีเป็นดื่มชา ก่อนจะร้องเรียกเจาเอ๋อร์ให้เข้ามา 

 

 

“คุณหนู ตื่นแล้วหรือเจ้าคะ” 

 

 

“อืม” 

 

 

อวี้อาเหราแสร้งทำเป็นเหมือนเพิ่งตื่นนอน ใช้มือเช็ดมุมปาก ดวงตาหรี่ปรือ “ก่อนหน้านี้บอกให้เจ้าเตรียมมื้อดึกเอาไว้ เรียบร้อยแล้วหรือยัง” 

 

 

“เตรียมไว้พร้อมแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูออกปากเองเช่นนี้ไหนเลยบ่าวจะลืมได้ ประเดี๋ยวบ่าวจะไปยกมาให้เจ้าค่ะ” เจาเอ๋อร์พูดจบก็ถอยออกไป 

 

 

เมื่ออาหารถูกวางไว้บนโต๊ะ ราวกับเพิ่งจะถูกอุ่นร้อน เห็นว่ายังคงมีไออุ่นพุ่งขึ้นมาอยู่ 

 

 

เจาเอ๋อร์ช่วยนางตักน้ำแกงไก่ขึ้นมา อวี้อาเหราได้กลิ่นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “เหตุใดถึงเป็นน้ำแกงไก่กันเล่า” 

 

 

“คุณหนู ฝืนใจทานหน่อยนะเจ้าคะ ท่านอ๋องสั่งเอาไว้ว่าวันนี้ท่านได้รับความตกอกตกใจเสียยกใหญ่ จะต้องบำรุงร่างกายให้ดี มิเช่นนั้นจะส่งผลร้ายต่อร่างกายได้” เจาเอ๋อร์ตอบอย่างอึดอัดใจ 

 

 

“เหอะ” อวี้อาเหราใช้ตะเกียบคีบอาหาร เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา หลิงอ๋องนั้นจะห่วงนางเกินไปแล้ว มีใครจะตกใจเสียจนเสียสุขภาพกัน ทันใดนั้นนางก็นึกอยากจะหัวเราะอย่างขมขื่นใจ เจาเอ๋อร์เห็นนางยิ้มแบบที่ไม่ค่อยได้เห็นง่ายๆ ทันใดนั้นก็เกิดยินดีขึ้นมา “คุณหนู ในที่สุดท่านก็ยิ้มแล้ว!” 

 

 

“ข้ายิ้มแล้วมันแปลกตรงไหนกัน” อวี้อาเหราไม่เข้าใจ 

 

 

“นับตั้งแต่ที่คุณหนูรอดมาจากเงื้อมมือของพวกชุดดำก็เอาแต่เหม่อตลอด แม้รอยยิ้มที่มอบให้ท่านอ๋องก็ยังดูฝืนๆ เป็นเพราะวันนี้เสียขวัญไม่น้อย ท่านอ๋องตรัสได้ถูกต้อง ดื่มน้ำแกงไก่ให้มากๆ หน่อยเถิด จะได้บำรุงร่างกายเจ้าค่ะ” ท่าทีของเจาเอ๋อร์เปลี่ยนไปเป็นมีความสุข ราวกับนางได้ปลดปล่อยความวิตกกังวลไปจนหมดแล้ว 

 

 

อวี้อาเหรานิ่งอยู่ชั่วครู่ รอยยิ้มที่อยู่บนริมฝีปากก็ค่อยๆ หายไป ที่นางยิ้มไม่ออกก็คงเป็นเพราะคำพูดของหนิงจื่อเย่นั่นเอง…