ตอนที่ 259 มาเยือนยามวิกาล / ตอนที่ 260 ซาบซึ้งในบุญคุณ

ลิขิตฟ้าชะตารัก

ตอนที่ 259 มาเยือนยามวิกาล 

 

 

 

 

 

เจาเอ๋อร์เห็นว่านางเริ่มจะเหม่อลอยอีกครั้ง รอยยิ้มบนใบหน้าก็ค่อยๆ เลือนหายไป เช่นนั้นจึงทำได้เพียงคีบอาหารใส่ถ้วยของนาง ยิ้มแล้วเปลี่ยนเรื่องคุย “คุณหนู นี่เป็นอาหารที่ห้องครัวเตรียมมาให้ ก่อนหน้านี้บ่าวได้ลองชิมแล้ว สดใหม่และคล่องคอยิ่งนัก อร่อยมากเลยนะเจ้าคะ” 

 

 

“อย่างนั้นหรือ” อวี้อาเหรากลับไปสนใจอาหารบนโต๊ะในทันที 

 

 

หลังจากที่ทานอาหารมื้อดึกแล้ว เวลาก็ล่วงเลยเข้าไปเสียดึกดื่น ในยุคโบราณเช่นนี้ก็นับว่าเลยเวลาเข้านอนไปนานโขแล้ว 

 

 

เจาเอ๋อร์เพิ่งจะยกถ้วยชามออกไป แล้วจึงหันกลับมาด้วยความตื่นตระหนกว่า “คุณหนู ท่านอ๋องเสด็จมาเจ้าค่ะ” 

 

 

“อ้อ?” อวี้อาเหราเหลือบสายตาขึ้นมอง ผ่านไปเพียงไม่นานนักหลิงอ๋องก็ก้าวเข้ามาในห้องจากม่านรัตติกาล นางรีบถอนสายตากลับมา ลุกขึ้นยืนแล้วถวายบังคมทันใด “ลูกถวายบังคมเสด็จพ่อเพคะ” 

 

 

“รีบลุกขึ้นเถิด ร่างกายของเจ้าอ่อนแอ ประเดี๋ยวจะหนาวเย็นเสียเปล่าๆ” หลิงอ๋องประคองนาง 

 

 

เช่นนั้นอวี้อาเหราจึงค่อยเงยหน้าขึ้น “ดึกป่านนี้แล้ว เหตุใดเสด็จพ่อจึงยังไม่พักผ่อนอีกเพคะ” 

 

 

“อืม” หลิงอ๋องใช้มือปัดหยดน้ำค้างบนเสื้อผ้าแล้วกุมมือที่เย็นเฉียบของนาง แต่กลับต้องตกใจในทันใด หันกลับมาหาเจาเอ๋อร์แล้วถามว่า “เหตุใดร่างกายของคุณหนูเจ้าถึงได้เย็นเช่นนี้ นี่เจ้าดูแลอย่างไรกัน” 

 

 

“ท่านอ๋อง บ่าวผิดไปแล้ว เป็นเพราะบ่าวเลินเล่อเองเพคะ” เจาเอ๋อร์คุกเข่าลงอย่างตื่นตกใจ 

 

 

อวี้อาเหรารีบพูดขึ้นมาว่า “เสด็จพ่ออย่าโทษเจาเอ๋อร์เลยเพคะ เมื่อครู่ลูกรู้สึกร้อนไปหน่อยถึงถอดเสื้อคลุมตัวนอกออก แม้ว่ามือจะเย็นอยู่บ้าง แต่ร่างกายก็อุ่นดีนักเพคะ” 

 

 

“เจ้าก็ชอบตามใจพวกบ่าวเสียยิ่งนัก” หลิงอ๋องอดยิ้มอย่างจนใจขึ้นมาไม่ได้ 

 

 

อวี้อาเหราเองก็ยิ้มตามด้วยความโอนอ่อน “แต่ไรมากฎระเบียบของจวนหลิงอ๋องเราก็ไม่เคร่งครัดเท่ากับที่อื่น เมื่อเราทำดีกับบ่าวรับใช้พวกนี้เสียบ้าง พวกเขาก็จะจำใส่ใจ ไม่ต้องกังวลว่าต่อไปพวกเขาจะเป็นเหมือนสุนัขที่แว้งกัดเจ้าของ สิ่งใดควรปล่อยก็ปล่อยไปเสีย สิ่งใดควรเข้มงวดก็ควรที่จะเข้มงวด เมื่อเป็นเช่นนี้จึงสามารถรักษาความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายเอาไว้ได้เพคะ” 

 

 

“อาเหรากล่าวได้ถูกต้องแล้ว” หลิงอ๋องได้ยินในสิ่งที่นางตอบก็พึงพอใจเป็นอย่างมาก อดไม่ได้ที่จะชื่นชมออกมา ลูกของเขาคนนี้นับตั้งแต่ตกหน้าผาในครั้งนั้น แม้แต่คำพูดคำจาก็ฟังดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก แม้เขาจะไม่ได้สังเกตอย่างละเอียดนักแต่ก็มองเห็นอย่างชัดเจน 

 

 

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็เอ่ยปากขึ้น “เดิมทีคืนนี้พ่อก็คิดว่าจะมาดูเจ้าเสียตั้งแต่เนิ่นๆ แต่เป็นเพราะราชกิจมีมากมายนัก ถึงได้ล่าช้ามาจนถึงตอนนี้ ตอนที่มาถึงยังคิดว่าเจ้านั้นหลับไปแล้ว ไม่คิดว่ากำลังทานอาหารอยู่ ทานมากๆ เสียหน่อยก็ดี เห็นเจ้าผอมถึงเพียงนี้แล้วพ่อก็เจ็บปวดใจยิ่งนัก” 

 

 

เอ่อ… 

 

 

เจาเอ๋อร์ที่ยืนฟังอยู่ข้างๆ ก็อดที่จะหัวเราะขึ้นในใจไม่ได้ เกรงว่าท่านอ๋องนั้นคงจะไม่รู้ว่าความสามารถในด้านการกินของคุณหนูของนางนั้นไปถึงระดับใดแล้ว แน่นอนว่าย่อมอยู่ในระดับที่สูงกว่าผู้อื่นแน่ แต่กลับไม่มีเนื้อมีหนัง ไม่แปลกนักที่คนจะชอบคิดว่านางนั้นไม่ได้กินอะไร แต่ความจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น 

 

 

อวี้อาเหราถลึงตาจ้องมองเจาเอ๋อร์ที่มีสีหน้ากระหยิ่มยิ้มย่อง ยิ้มรับหลิงอ๋องอย่างเสียไม่ได้ “เพคะเสด็จพ่อ ลูกจะทานให้มากๆ เพคะ” 

 

 

เมื่อพูดคุยกันเรียบร้อยแล้ว หลิงอ๋องก็จากไป 

 

 

อวี้อาเหราเหนื่อยเสียจนลืมตาแทบไม่ขึ้น ทั้งยังปวดเมื่อยไปทั่วทั้งร่างและไร้เรี่ยวแรง วันนี้นางก็ต้องรับมือกับหลายเรื่องนัก ยังไม่มีโอกาสได้พักผ่อนแม้แต่น้อย ทั้งยังทานอาหารเข้าไปอีกหนึ่งมื้อ เมื่อทานอิ่มแล้วก็ไม่หลงเหลือเรี่ยวแรงอะไรอีก เมื่อหลิงอ๋องจากไปแล้ว นางก็หันไปสั่งเจาเอ๋อร์ว่า “เจ้าไปนอนเถิด พรุ่งนี้ข้าคงจะนอนนานสักหน่อย” 

 

 

“เจ้าค่ะ” เจาเอ๋อร์ถอยออกไป 

 

 

อวี้อาเหราก้าวขึ้นไปบนเตียง เลิกผ้าห่มขึ้นแล้วสอดตัวลงไปทั้งยั้งสวมเสื้อผ้าอย่างเกียจคร้าน จากนั้นก็ดึงเสื้อนอกออกแล้วนอนหลับลึกอยู่ในกองผ้าห่มอันอบอุ่น  

 

 

ม่านรัตติกาลโรยตัวจนมองอะไรไม่เห็น มีเพียงลมหนาวเย็นที่พัดผ่านจนบาดกระดูก ความอบอุ่นที่วนเวียนอยู่รอบตัวของนางทำให้นางนอนหลับลึก หลับสบายกว่าช่วงเวลาไหนๆ ได้ยินเพียงเสียงใบไม้กระทบกันเบาๆ จากนอกหน้าต่างเท่านั้น 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 260 ซาบซึ้งในบุญคุณ 

 

 

 

 

 

เช้าวันต่อมา อวี้อาเหรายังคงนอนหลับสบายอยู่บนเตียง เจาเอ๋อร์เปิดม่านไข่มุกเข้ามาจากด้านนอก “คุณหนู หานสือองครักษ์ข้างกายของเซิ่นซื่อจื่อมาเจ้าค่ะ เขากล่าวว่าอยากพบท่าน” 

 

 

หานสือ? 

 

 

อวี้อาเหราที่กำลังนอนหลับด้วยอาการงัวเงีย เมื่อได้ยินเช่นนั้นนางก็รีบลุกขึ้นนั่งในทันที เหม่อมองออกไปด้านนอก ที่หานสือมาหานางแต่เช้าถึงเพียงนี้เป็นเพราะอาการป่วยของฉู่ป๋ายกำเริบขึ้นมาใช่หรือไม่? นางไม่กล้าถ่วงเวลาแม้แต่น้อย เมื่อสวมเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็ลงจากเตียง ก่อนจะออกคำสั่งกับเจาเอ๋อร์ “ให้เขาเข้ามาเถิด” 

 

 

ผ่านไปไม่นานนัก เจาเอ๋อร์ก็เดินนำหานสือเข้ามา 

 

 

อวี้อาเหราลืมเปลือกตาอันหนักอึ้งขึ้นมา “หรือว่าซื่อจื่อของเจ้า…” 

 

 

“มิได้ขอรับ คุณหนูรองโปรดวางใจ นับตั้งแต่เมื่อวานอาการของซื่อจื่อก็ดีขึ้นมาก เมื่อซื่อจื่อทราบว่าเป็นท่านที่ช่วยเหลือ…” หานสือคิดอยากที่จะพูดต่อ แต่กลับถูกอวี้อาเหราใช้สายตาสั่งให้หยุดพูดเสียก่อน จึงทำได้เพียงเงียบไปอย่างรู้งาน 

 

 

“เจาเอ๋อร์ เจ้าออกไปเตรียมอาหารเช้าเถิด” อวี้อาเหราออกคำสั่ง 

 

 

“เจ้าค่ะ คุณหนู” เจาเอ๋อร์นึกสงสัยอยู่บ้าง แต่เมื่อเห็นท่าทางของทั้งสองราวกับมีเรื่องสำคัญที่จะต้องหารือกันก็ถอยออกมาทันที 

 

 

เมื่อเจาเอ๋อร์ออกไปแล้ว อวี้อาเหราก็กระแอมไอให้คอโล่ง “อย่าได้กล่าวเรื่องที่ข้าไปจวนเซิ่นอ๋องเมื่อวานอีก” 

 

 

“ขอรับ” หานสือไม่เข้าใจว่าเหตุใดจะต้องปิดบังเรื่องนี้ แต่เมื่อเห็นท่าทีจริงจังของนางแล้ว เขาจึงรู้ว่าตนไม่ควรพูดในเรื่องที่ไม่สมควร เช่นนั้นจึงเปลี่ยนวิธีพูด แล้วเอ่ยเรื่องที่สำคัญขึ้นมาอีกครั้ง “เมื่อวานนี้หลังจากที่ซื่อจื่อทราบว่าท่าน…ได้ใช้หยกเลือดเพื่อช่วยชีวิตเขาไว้ จึงอยากจะเชิญท่านไปที่จวนเพื่อขอบคุณด้วยตัวเองขอรับ” 

 

 

“ขอบคุณด้วยตัวเอง?” มุมปากของอวี้อาเหรายกโค้งขึ้นน้อยๆ เหตุใดวาจานี้ถึงไม่เหมือนคำพูดที่ออกมาจากปากของฉู่ป๋ายเลยแม้แต่น้อยเล่า ไหนเลยเขาจะกลายเป็นคนรู้จักซาบซึ้งถึงบุญคุณคนเช่นนี้กัน 

 

 

“ขอรับ จึงอยากจะเชิญคุณหนูรองไปที่จวนสักครั้ง” หานสือพยักหน้า 

 

 

“ตกลง ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปกับเจ้า เจ้าก็ออกไปรอข้างนอกก่อนเถิด” อวี้อาเหราตอบรับด้วยท่าทีสบายๆ นางเองก็มีเรื่องเกี่ยวกับหยกเลือดที่อยากจะถามฉู่ป๋ายอยู่พอดี นี่ก็ช่างเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมยิ่งนัก 

 

 

เพียงแต่นางยังรู้สึกเหมือนนอนไม่พออยู่เลย 

 

 

อวี้อาเหราสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเรียกเจาเอ๋อร์ให้เข้ามา หลังจากเกล้าผมแต่งตัวจนเสร็จแล้วก็เตรียมจะเดินตามกันออกมาจากห้อง 

 

 

เจาเอ๋อร์นิ่งไปนานถึงค่อยมีปฏิกิริยาตอบรับ “คุณหนู ท่านไม่ทานอาหารเช้าหรือเจ้าคะ” 

 

 

“อืม ไม่ทานแล้ว ประเดี๋ยวเจ้าก็ตามข้าไปยังจวนเซิ่นอ๋องด้วยนะ” 

 

 

“เจ้าค่ะ” 

 

 

เจาเอ๋อร์ตอบรับเสียงอ่อน 

 

 

สองนายบ่าวเดินขึ้นไปบนรถม้าที่หานสือเป็นคนบังคับ แล้วออกเดินทางไปยังทิศที่จวนเซิ่นอ๋องตั้งอยู่ 

 

 

เมื่อมาถึงด้านนอกห้องของฉู่ป๋ายแล้ว อวี้อาเหราก็มองเจาเอ๋อร์เรียบๆ “เจ้ารออยู่ที่นี่เถิด ข้าเข้าไปคนเดียวก็พอ” 

 

 

เจาเอ๋อร์จึงทำได้แต่เพียงยืนรออยู่ตรงนั้น 

 

 

หานสือเดินนำนางเข้ามา เห็นคนผู้หนึ่งนั่งอยู่บนเตียงจากที่ไกลๆ เงาร่างเปราะบาง ผอมแห้งจนเหมือนไม้ฟืน หลังจากที่ผ่านเหตุการณ์เมื่อวานมาได้เขาก็ดูราวกับจะผอมลงไปอีก เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าดังเข้ามา ฉู่ป๋ายก็ค่อยๆ เงยหน้าขึ้น แม้ว่าใบหน้าจะยังคงหล่อเหลาสง่างาม แต่ก็ซีดเผือดราวกับแผ่นกระดาษ 

 

 

“ซื่อจื่อ คุณหนูรองมาถึงแล้วขอรับ” หานสือทำความเคารพอย่างนอบน้อม 

 

 

คนที่นั่งอยู่บนเตียงยังคงไม่พูดจา หรือว่าแม้แต่เรี่ยวแรงที่จะพูดจาสองสามคำก็ไม่มี? 

 

 

ฉู่ป๋ายโบกมือ เป็นเชิงให้หานสือถอยออกไป 

 

 

เมื่อรอจนหายสือถอยออกไปแล้ว อวี้อาเหราถึงค่อยก้าวมาข้างหน้า จ้องมองเขาอย่างพิจารณาเล็กน้อย แล้วถามขึ้นด้วยความแปลกใจ “เหตุใดเจ้าดูเหมือนจะผอมลงไปอีกแล้ว หรือว่ายังไม่อาจควบคุมโรคกระหายโลหิตได้” 

 

 

“เจ้ารู้แล้ว?” ปากของฉู่ป๋ายถามขึ้นมาเช่นนี้ ทว่าสีหน้าท่าทีกลับเรียบเฉย เพียงแต่เวลาพูดนั้นดูเหนื่อยล้ามากว่าในยามปกติ น้ำเสียงแหบแห้งราวกับต้องเค้นออกมา 

 

 

“อืม หานสือบอกข้าแล้ว” อวี้อาเหราพยักหน้า 

 

 

“รู้อยู่แล้วว่าอย่างไรเขาก็คงปิดไม่มิด…” ใบหน้าของฉู่ป๋ายปรากฏให้เห็นสีหน้าเยาะหยัยน้อยๆ