ตอนที่ 78 นางจะรับไหวหรือไม่

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ท่านนักพรตอู๋เจินโบกมือหัวเราะฮะๆ แล้วอนุญาตให้พวกเขายืนตรงได้ “ไม่ช้าๆ เด็กๆ ทั้งหลายลำบากพวกเจ้าแล้ว” 

 

 

ชั่วขณะนั้น ทั่วทั้งนอกและในสุสานล้วนตกอยู่ในความเงียบสงัด 

 

 

ดวงตาของพวกเขาได้แต่ประทับอยู่บนร่างของเหล่านักพรตผู้สง่างามประดุจเทพเซียนเหล่านั้น และจดจำคำที่ดังเข้าหูมาว่า ‘ท่านผู้อาวุโสอู๋เจิน’ 

 

 

ท่านผู้อาวุโสอู๋เจิน……..ก็คือบุรุษที่อยู่ตรงหน้านี้? 

 

 

นี่จะเป็นไปได้อย่างไรกัน? 

 

 

ผู้คนที่โห่ไล่อยู่เมื่อครู่ต่างก็ตาโตด้วยความตกตะลึง รู้สึกเหมือนทั่วทั้งร่างกายถูกกระหน่ำโจมตี เจ้าพี่น้องตัวร้ายถึงแม้จะรู้จักปลอมแปลงแกล้งแสดงอย่างไร ก็คงไม่อาจทำได้จนถึงขั้นสมบูรณ์พร้อมเช่นนี้หรอกใช่ไหม? 

 

 

ลองมองดูนักพรตพวกนั่นสิ บนหน้าผากของพวกเขามีรอยประทับสีขาวจางๆ อยู่รอยหนึ่ง นั่นน่ะเป็นสัญญลักษณ์เฉพาะของเหล่านักพรตแห่งอารามเทียนเก๋อกวน 

 

 

สิ่งนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจปลอมแปลงได้! 

 

 

เจียงเหม่ยหยู่เองก็ถึงขนาดตัวแข็งเป็นก้อนหินไปเสียแล้ว ตอนนี้นางรู้สึกแย่ยิ่งกว่าต้องกลืนแมลงวันร้อยตัวเข้าไปเสียอีก 

 

 

บรรดาองครักษ์ตระกูลตู๋กูไหนเลยจะยังกล้าล้อมคนเอาไว้ ต่างก็ได้แต่ถอยไปรวมกันอยู่อีกด้านหนึ่งแล้ว 

 

 

อารามเทียนเก๋อกวน เป็นสถานที่ที่แม้แต่เหล่าเชื้อพระวงค์ยังพึงให้ความเคารพอยู่สามส่วน ……พวกเขาไหนเลยจะกล้าล่วงเกิน 

 

 

เต๋อเฟยเองก็รู้สึกว่าฟ้าพลิกแผ่นดินตลบคว่ำลงมา หากไม่ใช่เพราะว่าซิ่วเหอคอยประคองนางไว้ เกรงว่านางในตอนนี้ต้องลงไปกองกับพื้นเสียแล้ว 

 

 

บุรุษผู้ที่ดูเอน็จอนาถตัวมันเยิ้มคนนั้น…..ไยจึงกลายเป็นนักพรตอู๋เจินไปได้? 

 

 

งั้นก่อนหน้านี้ ตอนที่เขามองนาง แล้วแสดงอาการหวาดกลัวออกมานั่นคืออะไรกัน? 

 

 

ก็ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะว่าเขาหวาดกลัวว่านางจะเปิดโปงว่าเขาเป็นตัวปลอมหรอกหรือ? 

 

 

“พระสนมเพคะ~ ท่านอย่าได้ใจร้อน ” ซิ่วเหอรีบกระตุ้นเตือน เพราะนางรู้สึกว่าฝ่ามือของนางหญิงเย็นเหลือเกิน 

 

 

คราวนี้พวกนางคงตกหลุมพรางแน่แล้ว! 

 

 

นังตู๋กูซิงหลันนั่นคงจะแอบล่อลวงนักพรตอู๋เจินได้สำเร็จ ถึงได้ให้เขาร่วมมือกันมาแสดงละครฉากหนึ่ง จุดประสงค์ย่อมต้องเป็นการทำให้พระสนมเสียหน้า 

 

 

แต่ว่าปัญหานั้นอยู่ที่ว่า ไยมันจึงรู้ได้ว่าวันนี้พระสนมจะนำยันต์มาด้วย? 

 

 

พอคิดถึงตรงนี้ ซิ่วเหอก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังตู๋กูเหลียนอีกครั้ง 

 

 

ท่าทางของ’ตู๋กูเหลียน’คล้ายกับว่านางไม่รู้เรื่องใดๆ จริงๆ ทั้งยังถูกเข้าใจผิดอย่างไม่ยุติธรรม 

 

 

เจ้าไม่รู้หรอกว่าไทเฮาน้อยปีศาจผู้นี้ร้ายกาจขนาดไหน ตวัดมือก็เสกยันต์ออกมาใบหนึ่ง ทั้งยังมีเจ้าตัวกลมๆ ดำๆ ขมุกขมัวที่คอยจ้องแต่จะกินมันอีกตัว เช่นนี้มันไหนเลยจะไม่กล้าว่าง่ายกัน? 

 

 

มันเป็นผีตายโหง สามารถรับรู้สิ่งต่างๆ ได้ด้วยดวงจิต เมื่อได้ทำสัญญาผูกพันกับตู๋กูเหลียนไปแล้ว ย่อมรู้กระจ่างในทุกๆ เรื่องที่ตู๋กูเหลียนรู้ รวมถึงเรื่องที่นางและเต๋อเฟยร่วมมือกันอย่างลับๆ นี่ด้วย 

 

 

ตู๋กูซิงหลันก็ทราบเรื่องนี้จากมัน วันนี้จึงได้วางกับดักเอาไว้ และเต๋อเฟยก็กระโดดลงไปอย่างยินดี 

 

 

…………………………….. 

 

 

ยามนี้จิตใจของผู้คนทั้งหลายต่างสับสนวุ่นวายใจอย่างที่สุด ต่างก็พากันหันไปมองดูฮ่องเต้ รีรอให้ฝ่าบาทแสดงทีท่าออกมา 

 

 

แต่ไหนแต่ไรฮ่องเต้มักไม่ทรงตรัสมากความ แต่ละถ้อยคำของพระองค์นั้น เหล่าขุนนางทั้งหลายต่างคาดเดากันอยู่ครึ่งค่อนวัน วันนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าสุสานของเย่วฮูหยิน พระองค์ยิ่งทรงเขร่งขรึมกว่าเดิม แม้แต่ยามที่พบเห็นเหล่านักพรตจากอารามเทียนเก๋อกวน ก็ยังไม่แสดงสีพระพักตร์ใดๆ ออกมา 

 

 

ยามนี้ เหล่านักพรตทั้งหลายจึงค่อยหันมาทางจีเฉวียนและตู๋กูซิงหลัน น้อมคำนับพวกเขาด้วยความเคารพนอบน้อม “ถวายพระพรฝ่าบาท ถวายพระพรไทเฮา พวกข้าทั้งหลายเป็นศิษย์ของอารามเทียนเก๋อกวน วันนี้มีโจรผู้ร้ายกลุ่มหนึ่งบุกรุกเข้าไปในอาราม ลักพาตัวท่านผู้อาวุโสอู๋เจินที่กำลังกักตนบำเพ็ญเพียรออกมา พวกข้าไล่กวดติดตามมาตลอดทาง จึงได้สร้างความตระหนกให้กับขบวนเสด็จ ขอฝ่าบาททรงประทานอภัย” 

 

 

แต่ไม่ว่าจะดูอย่างไร คนกลุ่มนั้นกับพวกของไทเฮาและท่านแม่ทัพก็ดูคล้ายคลึงกันมากเหลือเกิน 

 

 

จีเฉวียนทอดพระเนตรดูเหล่านักพรตที่แต่ละคนล้วนมีหน้าตาบริสุทธฺ์จริงใจ แล้วก็หันไปทอดพระเนตรดูนักพรตอู๋เจินที่สกปรกมอมแมม ก็ได้แต่กรอกพระเนตรรอบหนึ่ง ตรัสว่า “ไม่เป็นไร” 

 

 

ทันทีที่เขาตรัสออกไปเช่นนั้น ก็เห็นตู๋กูซิงหลันที่แสร้งทำหงอยไม่สู้มาตลอด เบิกตาโตกระโดดโลดเต้นออกมาในทันที 

 

 

จากนั้นก็หันไปทางเจียงเหม่ยหยู่และเจ้าพวกคนใจคดทั้งหลาย “เราบอกแล้วไม่ใช่หรือ ว่าคนผู้นี้คือนักพรตอู๋เจิน พวกเจ้ากลับไม่ยอมเชื่อ ว่าไงละ เห็นคำพูดของข้าเป็นเพียงแค่ผายลมหรือไง? “ 

 

 

“เพราะฉะนั้นนะ อีกหน่อยอย่าดื้อ ก็รู้จักฟังคำพูดของเราให้ดี ดูสิเห็นไหม พอพวกเจ้าไม่ฟังคำเรา ถึงได้ต้องขาดทุนเช่นนี้ใช่ไหม? “ 

 

 

“ที่ผ่านมาทุกวันทุกคืน เราล้วนเป็นคนกตัญญูผู้หนึ่ง มีหรือจะเอาใครที่ไหนก็ได้มาทำร้ายท่านย่าของตนเอง? พวกเจ้านี่มันสมองหมูกันหมดหรือยังไง? “ 

 

 

“ทุกท่านที่อยู่ที่นี่ รู้หรือไม่ว่าคำแทนตัวว่า อายเจีย (คำที่ไทเฮาแทนตัวเอง) นี้ ก็หมายความว่า อดีตฮ่องเต้สวรรคตแล้ว ข้านั้นเศร้าเสียใจอย่างที่สุด ด้วยเรื่องโศกเศร้าที่ลึกล้ำนี้ ข้าจึงกลายเป็นสตรีที่สูงศักดิ์ที่สุดในแคว้นต้าโจว” 

 

 

” นี่คือท่าทีให้ความเคารพสตรีที่สูงศักดิ์ที่สุดในต้าโจวของพวกเจ้าแต่ละคนหรือ? หืม? “ 

 

 

“นี่เป็นเพราะฮ่องเต้บุตรชายของเราสูญสิ้นพระเกียรติแล้ว หรือเป็นเพราะท่านแม่ทัพพี่ชายของเรายกดาบไม่ไหวแล้ว? “ 

 

 

ถ้อยคำที่ตู๋กูซิงหลันจิกกัดแต่ละคำ ล้วนสร้างความปวดหัวให้กับผู้คนทั้งหลาย แต่ละคำของนางนี้แทบคร่าชีวิตของพวกเขาเลยทีเดียว! ขอร้องเถอะเจ้าหุบปากซะ! 

 

 

ทันใดนั้นตู๋กูจุนก็กุมดาบทะลายภูผาขึ้นมากระชับไว้ “น้องเล็ก ดาบเล่มนี้ พี่ใหญ่สามารถถือมันปกป้องเจ้าได้จนชั่วชีวิต! “ 

 

 

ผู้คนทั้งหลาย “…….” 

 

 

จีเย่ว์เองก็เหม่อมองตู๋กูซิงหลันจนกล่าวสิ่งใดไม่ออกไปแล้ว ที่แท้….ความสามารถในการพูดจาของหลันเอ๋อร์กลับสูงส่งถึงเพียงนี้ ไยตอนที่อยู่ร่วมกันก่อนหน้านี้เขาจึงไม่เคยรู้มาก่อน? 

 

 

เดิมทีนักพรตอู๋เจินก็อุดหูตนเองเอาไว้แต่แรกแล้ว…….ตอนนี้มาได้ยินนางเปิดปากเจรจาเขาก็ปวดสมองอย่างหนัก 

 

 

นั่นเพราะถ้อยคำจิ๊ๆ จ๊ะๆ สุดเชือดเฉือนของนางสามารถแผดเผาทำร้ายจิตบำเพ็ญเพียรของเขาจนเสียหายอย่างรุนแรง 

 

 

ใครก็ตามที่ทำให้นางไม่พอใจล้วนไม่อาจได้รับการกลบฝังอย่างปกติสุข 

 

 

นางเป็นไทเฮานั่นไม่ผิด แต่นางลืมไปแล้วหรือว่า นางเป็นไทเฮาที่ถูกกักอยู่ในตำหนักเย็น! 

 

 

ตำหนักเย็นนะ! มันหมายความว่าอะไร สตรีใดที่หลุดเข้าไปชีวิตที่เหลืออยู่ทั้งชาตินี้อย่าหวังจะได้พลิกฟื้นอีกเลย! 

 

 

ฝ่าบาทเพียงแค่ทรงเห็นแก่ครบรอบวันรำลึกปีที่สิบของเย่วฮูหยินถึงได้ปล่อยนางออกมาเท่านั้น นางจะมาทำอวดอ้างอะไรกัน? 

 

 

ก่อเรื่องสร้างความผิดยิ่งใหญ่ไว้ถึงเพียงนั้น กลับเข้าวังไปแล้วก็ยังต้องไปอยู่ในตำหนักเย็นอยู่ดี! 

 

 

หากถอยออกมาดูให้ดี ต่อให้อีกหน่อยนางสามารถออกมาจากตำหนักเย็นได้ก็เถอะ นางอายุน้อยถึงเพียงนี้ ฝ่าบาทจะทรงประทานอำนาจให้นางด้วยหรือ? 

 

 

มีอันใดต้องเกรงกลัวด้วย? 

 

 

ที่น่าขำที่สุดก็คือ ยังจะกล้าเรียกฝ่าบาทเป็นบุตรชาย นางเคยมีบุตรเป็นองค์ชายที่ไหนกัน? 

 

 

พอคิดได้ถึงตรงนี้ ผู้คนทั้งหลายก็พากันเมินหน้าไปอย่างเงียบๆ ต่างก็หันไปดูแต่ฮ่องเต้เท่านั้น 

 

 

แต่ถ้าพูดกันแบบแบ่งแยกชัดเจนละก็……ฮ่องเต้ผู้ทรงมีพระชนม์มากกว่าไทเฮาน้อยถึงแปดปีองค์นี้ก็นับว่าเป็นบุตรของนางอยู่เหมือนกัน 

 

 

ยามนี้ ‘ลูกชายฮ่องเต้’กำลังทอดพระเนตรมองนางด้วยความเคร่งขรึม หืม? ถึงกับกล้าเรียกเขาเป็นลูกแล้ว? 

 

 

รอให้กลับถึงวังเมื่อไหร่ จะให้นางได้รู้ว่า มีลูกชายฮ่องเต้ตัวโตเช่นเขาเยี่ยงนี้ นางจะรับไหวหรือไม่! 

 

 

เจียงเหม่ยหยู่มึนงงอยู่ขึ้นค่อยวันถึงได้ทอดถอดลมหายใจออกมาคำหนึ่ง นางพึ่งจะจับประเด็นสำคัญได้เรื่องหนึ่ง ‘เจ้าโจร ลักพาตัว ‘ ที่พวกนักพรตทั้งหลายพูดถึงก็คือพวกทหารของตู๋กูจุนมิใช่หรือ? 

 

 

ที่แท้นักพรตอู๋เจินกำลังกักตนบำเพ็ญเพียรอยู่ก็ถูกคนลักพาตัวออกมาใช่ไหม? มิน่าทั้งเนื้อทั้งตัวถึงสกปรกมอมแมมจนดูน่าอนาถเช่นนี้! 

 

 

“ท่านนักพรตอู๋เจิน เมื่อครู่นี้ข้าผู้เฒ่าเสียมารยาทไปแล้ว ขอท่านโปรดอย่าได้ถือสา ” ตอนนี้เจียงเหม่ยหยู่ไม่มีท่าทางขู่ตะคอกผู้คนอย่างเมื่อครู่ 

 

 

นางหันไปคำนับนักพรตอู๋เจิน “ข้าผู้เฒ่าเพียงแต่คิดไม่ถึง ว่าไทเฮาและท่านแม่ทัพที่มีฐานะถึงเพียงนี้จะกระทำตนเป็นผู้ใช้กำลังบังคับแข็งขืนผู้คน….” 

 

 

คำพูดของนางยังไม่ทันจบ ก็เห็นนักพรตอู๋เจินหน้าเสียอย่างรุนแรง “ฮูหยินผู้เฒ่า พูดเรื่องอะไรกัน? ข้านักพรตถูกคนลักพาตัว แต่เพราะโชคดีได้พบกับท่านแม่ทัพและไทเฮา ถึงได้รับความช่วยเหลือ จึงได้ติดตามมาตอบแทนบุณคุณพวกท่านทั้งสองต่างหาก” 

 

 

“ท่านนี่เป็นฮูหยินผู้เฒ่าได้ยังไงกัน ทำไมจึงเอาแต่หาเรื่องขัดแย้งกับลูกหลานของตนเองละฮื้อ? คนชราสมควรมีเมตตาเปี่ยมด้วยคุณธรรม ไม่เช่นนั้นจะเอาบุญวาสนามาจากที่ไหนกัน” 

 

 

เจียงเหม่ยหยู่ “………” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันหันไปมองดูนักพรตอู๋เจิน นางหรี่ดวงตาดอกท้อคู่นั้นลงเล็กน้อย พอใช้ได้ไม่เลว สมกับที่ตักเตือนสร้างจิตสำนึกมาตลอดทาง นับว่าไม่เสียแรงกายแรงใจไปอย่างเปล่าประโยชน์ เจ้าตัวร้ายนี่นับว่ารู้จักพลิกแพลงได้ทันอยู่ 

 

 

นักพรตอู๋เจินถูกนางมองเสียจนขนลุกเย็นวาบขึ้นมา ก็รีบกางยันต์ภพหน้าในมือออก เปลี่ยนหัวข้อพูดไปว่า “มาๆๆ พวกเรามาดูกันหน่อยสิ ไอ้ยันต์ชั่วร้ายคร่าชีวิตผืนนี้……”