ตอนที่ 77 แอบไปสมัครคณะละครมา

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

สีหน้าของเต๋อเฟยเดิมทีก็ค่อนไปทางย่ำแย่อยู่แล้ว คราวนี้เมื่อถูกผู้คนผลักขึ้นมาจนถึงปลายยอดคลื่น ใบหน้าน้อยๆ นั่นกลับยิ่งทียิ่งซีดขาวเสียแล้ว 

 

 

นางกุมอกเอาไว้กระแอมไออยู่สองสามที ดวงตาทั้งสองมองไปทางบุรุษสกปรกซกมกผู้นั้น 

 

 

ผู้คนทั้งหมดพากันจดจ้องมาที่นาง ดูจากท่าทีที่ลังเลของพระสนมเต๋อเฟยแล้ว คงจะไม่รู้จักคนผู้นั้นแน่แล้ว 

 

 

ครู่ต่อมา ก็เห็นเต๋อเฟยหันไปมองดูตู๋กูซิงหลัน แล้วก็หันไปมองดูฝ่าบาทอีก สุดท้ายค่อยหันกลับมามองดูนักพรตผู้นั้นอีกครั้ง 

 

 

ท่าทางของนางคล้ายกับถูกบังคับ ไม่กล้าพูดความจริงใดๆ ออกมา 

 

 

ที่จริงแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้นางพูดอะไร ทุกคนต่างก็เข้าใจแล้ว บุรุษเนื้อตัวมอมแมมผู้นี้เป็นคนหลอกลวง 

 

 

นักพรตอู๋เจินเองก็มองดูนางเช่นกัน เห็นนางสวมชุดขาวตลอดทั้งตัว ก็ตื่นตะลึงไป ตอนนี้เขาเป็นโรคหวาดกลัวสตรีชุดขาวเข้าเสียแล้ว คงมีแต่ฟ้าดินที่รู้ว่าเขาถูกไทเฮาน้อยชุดขาวผู้นั้นข่มขู่อย่างทรมานขนาดไหน 

 

 

ผู้คนทั้งหลายเห็นสีหน้าของเขาทั้งตื่นตะลึงทั้งหวาดกลัว ต่างก็พากันหัวเราะขึ้นมา 

 

 

สงสัยว่าก่อนที่ตู๋กูซิงหลันจะพาเจ้าตัวตลกนี่มา นางคงจะไม่ได้รู้ละสิ ว่าเต๋อเฟยได้ทำการวอนขอยันต์ภพหน้ามาก่อนแล้ว ถึงได้ไปหาใครก็ได้มาปลอมตัวเป็นผู้มีวิชาสูงส่ง 

 

 

คราวนี้จะไม่ถูกเปิดโปงจนหมดเปลือกหรอกหรือ?  

 

 

วันนี้ได้มีงิ้วสนุกต่อเนื่องแน่ๆ  

 

 

แน่นอนว่า คนอย่างเต๋อเฟยย่อมไม่พลาดที่จะมองเห็นความตระหนกของนักพรตอู๋เจิน ฉับพลันนั้นนางก็ตัดสินใจได้ ส่งเสียงออกมาเบาๆ ว่า “ข้าาา….น่าจะไม่เคย..พบเห็นคนผู้นี้มาก่อน” 

 

 

ยันต์แผ่นนี้นางขอมาจากอารามเทียนเก๋อกวนก็จริง แต่ว่าผู้ที่วาดยันต์ที่จริงๆ แล้วไม่ใช่นักพรตอู๋เจิน นางเองก็คิดไม่ถึงว่าตู๋กูซิงหลันจะพาคนเช่นนี้มาด้วย ดังนั้นจึงไม่กล้าชี้ชัดไปว่า คนผู้นี้ใช่ตัวจริงหรือไม่ 

 

 

ยามนี้เห็นคนผู้นั้นแสดงท่าทีหวาดกลัวนางออกมา ถึงได้มั่นใจว่า เขาจะต้องเป็นตัวปลอม 

 

 

ทันทีที่นางพูดออกไป ผู้คนทั้งหลายก็เอ็ดอึงขึ้นมา 

 

 

“คนผู้นี้เป็นพวกหลอกลวง! ” ผีตายโหงตู๋กูเหลียนตะโกนนำผู้คนด้วยเสียงอันดัง นางชักจะรู้สึกว่างานรับหน้าที่กวนน้ำให้ขุ่นเช่นนี้ก็สนุกสนานดีเหมือนกัน 

 

 

เต๋อเฟยเหลือบมองดูนางพริบตาหนึ่ง คราวนี้พระสนมจึงค่อยรู้สึกว่าความหวาดระแวงที่มีอยู่ละลายหายไป เรื่องของฉีผินนั้น ตู๋กูเหลียนอาจทำได้ไม่สำเร็จ แต่ว่านังคนนี้จะอย่างไรก็ยังอยู่ฝั่งเดียวกับนาง เก็บมันไว้ก็ยังถือว่ามีประโยชน์อยู่บ้าง 

 

 

พอได้ยินคำพูดของ’ตู๋กูเหลียน’ เจียงเหม่ยหยู่ก็กระโดดออกมาเต้นเร่าๆ “ไทเฮา! ท่านแม่ทัพ! พวกเจ้าทำเกินไปแล้วนะ ลูกหลานตระกูลตู๋กูของบ้านเราทำไมถึงได้กลายเป็นพวกต้มตุ๋นหลอกลวงเช่นนี้ได้? ต่อให้พวกเจ้าหาของดีๆ มาไม่ได้ ก็ไม่สมควรจะลบหลู่พี่สาวเช่นนี้! แล้วนี่จะให้วิญญาณของนางในปรภพสงบสุขได้อย่างไรกัน? “ 

 

 

เจียงเหม่ยหยู่พูดไป น้ำตาก็ไหลเป็นสาย ประหนึ่งว่านางรักเคารพเจียงเย่วเสียเหลือเกิน 

 

 

“พวกเจ้ายังจำได้บ้างไหม ยามที่พี่สาวยังมีชีวิตอยู่ นางรักเอ็นดูพวกเจ้ามากมายขนาดไหน …….หากว่านายท่านผู้เฒ่ากลับมาเห็นเข้าเช่นนี้ จิตใจคงจะปวดร้าวอย่างยิ่งแล้ว….” ใบหน้าชราของเจียงเหม่ยหยู่มีน้ำตารินไหลอาบ รอบนี้แม้แต่ตู๋กูซิงหลัยยังรู้สึกว่านางช่างทำได้สมบทบาทยิ่งนัก 

 

 

ตู๋กูจุนเหลือบมองน้องสาวของตนเองคราหนึ่ง เห็นนางกัดริมฝีปากล่าง สองคิ้วขมวดแน่น ท่าทางของนางประหนึ่ง ‘แผนที่วางไว้ ถูกเปิดโปงเสียจนไม่รู้จะแก้ตัวว่าอย่างไร’  

 

 

คราวนี้เขาถึงกับพูดไม่ออกเสียแล้ว …..หรือว่าน้องเล็กแอบไปสมัครเรียนวิชากับคณะละครโดยที่เขาไม่รู้กันนะ?  

 

 

เจ้านักพรตอู๋เจินนั่นพวกเขาลงมือจับมันมาด้วยตัวเองแท้ๆ ไหนเลยจะมีตัวปลอมได้อีก?  

 

 

“นั่นเอ่อ…….” ผ่านไปนานสองนานแล้วท่านนักพรตอู๋เจินนั่นถึงได้สติขึ้นมาจากความผวาสตรีชุดขาว เขาถูมือไปมา คิดจะหาช่องทางอธิบาย 

 

 

“นี่ เจ้าคนสกปรกโสโครกยังไม่รีบปิดปากของเจ้าลงอีก ที่นี่ไหนเลยจะมีที่ทางให้เจ้าได้พูด! ” เจียงเหม่ยหยู่ตะคอกใส่ อยากจะเรียกคนมาลากตัวเขาออกไปนัก 

 

 

นักพรตอู๋เจินเองก็คร้านจะอธิบายให้เจียงเหม่ยหยู่ฟังอีก เขาก้าวออกไป สะบัดชายเสื้อขึ้นครั้งหนึ่ง กล่องใส่ยันต์ภพหน้าในมือเจียงเหม่ยหยู่ก็ลอยวูบมาอยู่ในมือของตน 

 

 

จากนั้นเพียงเห็นเขาใช่ฝ่ามือกระแทกเพียงครั้งเดียว กล่องใบนั้นก็แตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เขาหยิบยันต์ขึ้นมามอง สองคิ้วขมวดแนบแน่น สีหน้าปรากฎร่องรอยแห่งความแปลกใจอยู่หลายส่วน “โอ้ สวรรค์ได้โปรดเถอะ นี่มันยันต์อะไรกัน!?  

 

 

“หึ ตัวปลอมอย่างเจ้ายังจะปากกล้าอะไรอีก! ” เจียงเหม่ยหยู่โกรธเสียจนตาโปน นางกำไม้เท้าเอาไว้แน่น แทบจะบุกเข้าไปตีหัวเจ้าตัวปลอมนี้ให้หัวร้างข้างแตกเสียให้ได้ 

 

 

“นี่คือยันต์ภพหน้าที่ท่านนักพรตอู๋เจินวาดด้วยตนเอง ตัวปลอมอย่างเจ้ายังจะกล้ามาทำให้เปรอะเปื้อนอีก! ” ตู๋กูอี้หลานชายของเจียงเหม่ยหยู่ตะโกนด่าไปก็ทำท่าจะเข้าไปแย่งเอายันต์คืนมา 

 

 

นักพรตอู๋เจินถอยหลังไปก้าวหนึ่ง “ขออย่างได้ใส่ร้ายป้ายสีข้านักพรต ยันต์เช่นนี้ข้านักพรตไม่มีทางวาดออกมาได้เด็ดขาด” 

 

 

ผู้คนทั้งหลายต่างหัวเราะเสียงเย็น ย่อมต้องไม่ผิด หากว่าตัวปลอมอย่างเจ้ายังสามารถวาดยันต์ภพหน้าออกมาได้ เช่นนั้นท่านนักพรตอู๋เจินตัวจริงจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?  

 

 

แต่แล้ว ก็เห็นเขานำยันต์แผ่นนั้นเดินเข้าไปหาเต๋อเฟย 

 

 

เต๋อเฟย ‘หวาดกลัว’ จนถอยหลังไปหลายก้าว พอถอยไปถึงข้างกายจีเฉวียนก็กล่าวอย่างไร้เรี่ยวแรงว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันกลัวเหลือเกินเพคะ…~” 

 

 

จีเฉวียนหันมามองนางคราหนึ่ง เขาไม่แม้แต่จะเสียเวลาคิดก็ขยับไปด้านข้าง เข้าใกล้ตู๋กูซิงหลันไปอีกนิด “ไทเฮาอ่อนเยาว์กว่าเจ้ายังไม่เห็นกลัว เจ้าจะกลัวอะไร? “ 

 

 

เต๋อเฟย “! “ 

 

 

ผู้คนทั้งหลาย “??? “ 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “…….” 

 

 

ฝ่าบาทพระองค์ทรงพลาดอะไรไปหรือไม่ เจ้าคนสกปรกนั่นเป็นไทเฮาทรงนำมา นางจะไปกลัวหรือ?  

 

 

ขอพระองค์โปรดทรงปกป้องพระสนมเต๋อเฟยที่น่าสงสารสักนิดเถอะ นางเป็นเพียงสาวน้อยผู้อ่อนแอบอบบางเท่านั้น 

 

 

แต่น่าเสียดายดวงพักตร์ของฮ่องเต้กลับไม่แสดงพระอารมณ์ใดๆ ทรงทำประหนึ่งว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพระองค์แม้แต่น้อย 

 

 

นี่มันบุรุษมากรัก ที่รู้จักแต่ลอยชายตัวพ่อ 

 

 

สายพระเนตรของพระองค์เอาแต่จับจ้องอยู่ที่ตู๋กูซิงหลันเท่านั้น 

 

 

ดูเจ้าตัวแสบน้อยจอมหลอกลวงนี่สิ นางทำท่าเสมือนว่าตนก่อเรื่องใหญ่โตจะเป็นจะตายแล้ว มารยา!  

 

 

ในหัวและในตัวนางมีแต่เล่ห์เหลี่ยมแผนร้าย ช่างรู้จักวางแผนจัดการผู้อื่นนัก 

 

 

ฮ่องเต้กลับทรงรู้สึกว่า เฝ้าดูเจ้าตัวแสบนี่เล่นละคร ก็สนุกดีอยู่เหมือนกัน 

 

 

ตู๋กูซิงหลันไม่กล้าเอ่ยวาจาใดๆ แม้สักคำ ราวกับว่านางกลัวผู้คนจะหันมากลุ้มรุมนางเสียอย่างนั้น 

 

 

ผู้คนต่างก็ปวดใจสงสารเต๋อเฟยอย่างที่สุด ยังจะไม่ใช่เพราะตู๋กูซิงหลันหรือ? หากไม่ใช่เพราะนางล่อลวงจิตใจของฝ่าบาทไปจนหมด มีหรือฝ่าบาทจะทรงโหดร้ายกับเต๋อเฟยถึงเพียงนี้?  

 

 

นักพรตอู๋เจินยืนอยู่เบื้องหน้าเต๋อเฟย กระพริบตาปริบๆ ไปที่นาง ผ่านไปครู่ใหญ่เขาค่อยกล่าวออกมาว่า “เจ้ากลัวข้าทำไม ข้านักพรตเป็นผู้บำเพ็ญเพียร กินเจ เจ้าเป็นของคาว ข้านักพรตไม่กินเจ้าหรอก” 

 

 

พูดแล้ว ท่านนักพรตอู๋เจินก็ได้แต่กุมกระเพาะอ้วกโอ้กอ้ากออกมาอีกรอบ ผู้คนต่างเห็นชัดเจนเลยว่า ในบรรดาเศษอาหารที่เขาสำรอกออกมายังมีเศษเนื้อม้วนที่ยังย่อยไม่หมด….. 

 

 

“อะ ขอโทษที ข้ายังเมาม้าอยู่ไม่หาย…” ท่านนักพรตอู๋เจินโบกมือไปมาอย่างขออภัย 

 

 

เต๋อเฟยพูดไม่ออกเสียแล้ว ตอนนี้นางรู้สึกว่าใบหน้าร้อนผะผ่าว ดูสิว่าตอนนี้ฝ่าบาทกับตู๋กูซิงหลันอยู่ติดชิดกันถึงเพียงไหน ส่วนนาง…ราวกับถูกลืมอยู่ในซอกหลืบของวังอย่างน่ารังเกียจ ไม่เป็นที่โปรดปรานของฝ่าบาทแม้สักน้อย 

 

 

ฝ่าบาททรงทำเกินไปแล้ว ถึงกลับปล่อยให้เจ้าตัวตลกนี่เข้ามาใกล้นางได้ 

 

 

ทั้งๆ ที่ก่อนที่ตู๋กูซิงหลันจะปรากฎตัวขึ้นมานั้น ไม่ใช่อย่างนี้สักหน่อย… 

 

 

เจียงเหม่ยหยู่ทนดูต่อไปไม่ไหว นำเหล่าองครักษ์ของตระกูลตู๋กูเข้ามาล้อมตัวนักพรตอู๋เจินเอาไว้ กล่าวเสียงเข้มเด็ดขาดว่า “จับเจ้าคนไร้มารยาทจอมหลอกลวงนี้ลงเขาไปให้ข้า ไล่มันออกนอกเมืองไป หากไม่ได้รับอนุญาต อย่าให้มันได้เหยียบเมืองหลวงแม้สักครึ่งก้าว! “ 

 

 

ว่ากันตามจริงแล้ว ที่นี่เป็นที่กลบฝังเหล่าบรรพชนตระกูลตู๋กูของพวกนาง ตอนนี้นางคือประมุขหญิงของตระกูล แน่นอนว่าย่อมมีสิทธ์ขับไล่คนออกไป 

 

 

ต่อให้เป็นฝ่าบาท ก็ไม่อาจยื่นพระหัตถ์สอดแทรกได้ใช่ไหม?  

 

 

เพราะอย่างไร นี่ก็คือเรื่องของตระกูลตู๋กูเอง 

 

 

ขณะที่พวกเขากำลังจะเข้าไปจับคน ก็พลันได้ยินเสียงม้าของทหารตระกูลตู๋กูที่เชิงเขาส่งเสียงร้องอย่างผิดปกติขึ้นมา เพียงครู่เดียวก็รู้สึกได้ถึงสายลมหอบหนึ่งพัดโหมมาถึง เมื่อหรี่ตามองไปก็เห็นคนสิบกว่าคนในชุดนักพรตสีเขียวสดใสต่างถือแซ่ปัดเอาไว้ในมือลอยลมลงมา 

 

 

ที่จริงเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรทั้งหลาย จะมากจะน้อยต่างก็มีวิชาเหาะเหินเดินอากาศกันทุกคน แต่ว่ายามท่านนักพรตเหล่านี้ปรากฎกายขึ้น แต่ละท่านบุคลิกประดุจเทพเซียนผู้ลึกล้ำในชั้นฟ้าจุติลงมาบนพิภพ เมื่อรวมกับทิวทัศน์ของดอกชมจันทราที่ผลิบานอยู่ทั่วภูเขาเข้าด้วยกัน ย่อมสร้างความประทับใจอันน่าตื่นตะลึงแก่ผู้คน 

 

 

ท่านนักพรตทั้งหลายต่างรักษาความเคร่งขรึม หลังกวาดตามองไปในหมู่ผู้คนรอบหนึ่ง ก็รีบรุดเดินมาถึงเบื้องหน้านักพรตอู๋เจิน ตวัดแส้ปัดลง กล่าวอย่างเคารพนพนอบว่า “ท่านผู้อาวุโสอู๋เจิน พวกศิษย์มาช้าเกินไป ขอโปรดอภัย” 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

​拂尘 (Fu Chen) แส้ปัด 

 

 

酱肘子 (jiang zhou ji) เนื้อม้วนหมักซอสจิ้มน้ำจิ้มเปรี้ยว