ม้าขาวย่างก้าวเข้ามา บุรุษชุดเขียวที่เดิมถูกจับคว่ำไว้บนหลังม้า ถูกเจ้าม้าขาวพาวิ่งโขยกเขยกเข้ามาใกล้
ขณะที่ม้าเดินไป เขาก็อ้วกโอ้กอ้ากไปด้วย ทุกสิ่งที่สำรอกออกมาก็กระจายอยู่บนดอกชมจันทรา หยดเป็นทางยาวระยะหนึ่ง ‘รอยเท้า’ เลยทีเดียว
ผู้คนทั้งหลาย “………..”
นี่มันอะไรกัน?
แม้แต่ตัวตู๋กูจุนเองยังอดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้ ดอกชมจันทราของท่านย่า……….ท่านปู่ทนุถนอมนัก
ม้าขาวตัวนั้นเยื้องย่างมาจนถึงเบื้องหน้าตู๋กูจุน ยกเท้าขึ้นตะกุยอากาศครั้งหนึ่ง ก็สะบัดก้นเสียอีกทีหนึ่ง คนที่แบกมาก็ถูกเททิ้งลงบนพื้น
บุรุษผู้นั้นยังไม่ทันยืนได้มั่งคง ก็หงายท้องก้นจ้ำเบ้ากับพื้นอีก เขาเองก็ไม่ได้รีบร้อนลุกขึ้นมา แต่หันไปอาเจียนโอ้กอ้ากอีกชุดใหญ่ ค่อยยื่นมือออกไปหาตู๋กูจุน “ท่านแม่ทัพ รบกวนดึงข้านักพรตขึ้นหน่อย “
ที่จริงตู๋กูจุนรู้สึกรังเกียจอย่างมาก!
ติดตรงที่ว่าเจ้าคนนี้เป็นน้องเล็กจับมาด้วยตนเอง จำต้องอดกลั้นความไม่พอใจนั้นไว้ ดึงเขาขึ้นมาในครั้งเดียว
คราวนี้ผู้คนทั้งหลายถึงสามารถมองเขาได้อย่างชัดเจน บุรุษที่หนวดเครารุงรัง หน้าตามันเยิ้มผู้นี้ ดูไปมีอายุประมาณสามสิบปี สวมชุดเขียวสามัญทั่วไป ผมเผ้าหน้าตาก็ไร้การตกแต่งไม่มีแม้แต่เครื่องประดับ บนลำคอเพียงสวมประคำสายหนึ่ง
บุรุษผู้นั้นพอยืนได้มั่นคง ก็ใช้ชายแขนเสื้อของตู๋กูจุนเช็ดถูมุมปากที่เปื้อนคราบอาเจียน
ตู๋กูจุน “!!! ” อย่ามาจับข้า ชักดาบของเจ้าออกมา!
ยังดีที่ตู๋กูซิงหลันเดินเข้ามา ขวางอยู่ระหว่างพี่ใหญ่กับบุรุษผู้นั้น นางจับแขนเสื้อของบุรุษผู้นั้นไว้ พลางแนะนำต่อผู้คนทั้งหลายว่า “เกือบจะลืมไปเสียแล้ว เราพาของเครื่องเซ่นไหว้ชั้นเลิศมาด้วยนิ? “
ผู้คนทั้งหลาย “??? “
นางจับบุรุษสกปรกซกมกผู้หนึ่งมาเป็นของเซ่นไหว้มีชีวิตหรือ? ทำไมกัน หรือเห็นว่าท่านย่าของเจ้าโดดเดี่ยวอ้าวว้างอยู่ในยมโลก เลยต้องการจะเผาบุรุษสักคนส่งไปให้หรือ?
ถ้าเช่นนั้นไยจึงไม่เลือกเอาบุรุษที่หน้าตาดีกว่านี้สักหน่อยละ!
เจ้าดูคนผู้นี้สิ เป็นบุรุษที่ไม่มีความโดดเด่นในที่ใดเลย ดวงตาข้างซ้ายก็มีรอยแผลเป็นจากคมดาบเสียด้วยซ้ำ!
ด้วยหน้าตาท่าทางเช่นนี้ แม้แต่ไปเป็นบ่าวรับใช้ในบ้านยังไม่เป็นที่ต้องการเลยด้วยซ้ำมั้ง?
ตู๋กูซิงหลันคงต้องการล้อเล่นเป็นแน่ ตัวตลกเช่นนี้ยังจะกล้านำมาโอ้อวดอีก ฮ่าๆๆ
“โอ๊ยเง็กเซียนบนสวรรค์! ไทเฮาพะยะค่ะ เครื่องไหว้สักการะล้วนต้องเป็นสิ่งของ ข้านักพรตเป็นมนุษย์ผู้หนึ่ง ย่อมไม่อาจใช่แทนเครื่องเซ่นสรวงได้ ” บุรุษผู้นั้นรีบยกสองมือไขว้กันไว้ ไม่ทันไรก็อดทนไม่ไหว อาเจียนโอ้กอ้ากออกมาอีกสองคำ
” นี่เป็นที่ขบขันต่อทุกท่านแล้ว ข้านักพรตเมาม้า เมื่อครู่พึ่งจะได้สติขึ้นมาหน่อย ” เขาพูดจบแล้ว ก็คิดจะไปคว้าเอาชายแขนเสื้อของตู๋กูจุนมาเช็ดปากอีกสักรอบ
ตู๋กูจุนใช้สายตาอำมหิตจดจ้องเขาครั้งหนึ่ง บุรุษผู้นั้นจึงค่อยๆ เก็บสายตากลับไป
นางเจียงเหม่ยหยู่ก็คิดว่าโอกาสดีมาถึงแล้ว นางขมวดหัวคิ้ว ทำเสียงพิลึกกล่าวว่า “ไทเฮา และท่านแม่ทัพ ที่นี่คือสุสานของพี่สาว ไม่ใช่ที่ใครที่ไหนหรืออะไรนึกจะมาก็มาได้ เจ้าทั้งสองนำตัวตลกอะไรมากัน คิดจะพามาลบหลู่พี่สาวหรือไงฮึ? “
” ยังจะไม่ใช่อีกหรือ เจ้าไม่รู้จักกตัญญู! ” ผีตายโหงในตัว ‘ตู๋กูเหลียน’ ชักสีหน้า
“ฮูหยินผู้เฒ่าผู้นี้ ท่านไงจึงได้พูดเช่นนั้นเล่า? ” นักพรตผู้นั้นสบัดแขนเสื้อเหยียดหลังตั้งตรงประหนึ่งพู่กันด้ามหนึ่ง “ท่านรู้หรือไม่ว่า ไทเฮาและท่านแม่ทัพ ได้เพียรพยายามมากเพียงไร ถึงได้สามารถเชิญข้านักพรตมาประกอบพิธีสวดมนต์ให้กับเย่วฮูหยินได้ “
จะไม่พยายามอย่างยิ่งได้หรือ?
ตอนแรกเขายังปิดวาจากักตนอยู่ในตึกผานหยุน (เมฆาเคลื่อนคล้อย) ของอารามเทียนเก๋อกวนแท้ๆ ตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาไม่ได้อาบน้ำตัดแต่งหนวดเคราเลยสักครั้ง ก็ถูกโจรลักพาตัวเอาดาบพาดคอลากตัวออกมาทั้งอย่างนั้น
ที่จริงแล้วไอ้ตัวหัวหน้าโจรนั่น ใช่เลย ก็คือเจ้าตู๋กูจุนนั่น! มันโหดเ**้ยมมาก! พูดไม่ถูกใจแม้สักคำ เอะอะก็จะตัดคอท่าเดียว!
โอ้ยเง็กเซียนของข้า เจ้าพวกนี้มันพวกชั่วร้าย ชั่วร้ายจริงๆ
จากนั้นไทเฮาน้อยชื่อเสียงเหม็นกระฉ่อนนั้น ก็จับเขาขึ้นม้าเร่งรีบมาตลอดทางจากอารามเทียนเก๋อกวนจนถึงที่นี่
ระหว่างทางที่มานั้น ไทเฮาน้อยนั่นยังใช้ดาบสั้นเจ็ดนิ้วมาคอยกระตุ้นสติของเขาอยู่ตลอด สร้างความหวาดผวาไม่รู้จักจบจักสิ้นอยู่ในสมองของเขา นางช่างรู้จักวิธีการมากมายนัก!
ทั้งยังโหดอำมหิตยิ่งเสียกว่าตู๋กูจุนเสียอีก ข่มขู่เสียงจนเขาไม่อาจไม่ยินยอม ไม่กล้าจะขัดขืนนาง
แน่นอน ประเด็นสำคัญนั่นก็เพราะว่า ไทเฮาน้อยนาง…..
น่าเสียดายเป็นเพราะเมาม้ามากไป ตลอดทางเมาจนแทบไม่ได้สติ พอตื่นมาก็พบเห็นผู้คนมากมาย เขาย่อมรู้สึกละอายมากแล้ว
เจียงเหม่ยหยู่อยากจะหัวเราะให้ฟันโยกแล้ว เจ้าคนซกมกเช่นนี้ยังต้องไปเชิญมาอีกหรือ?
” เจ้าพวกลวงโลกตัวสกปรกนี้มาจากที่ใดกัน? เด็กๆ จับมันโยนออกไปให้ข้า! ทันใดนั่นนางก็ร้องขึ้นมาอย่างเกรี้ยวกราด
นางรู้ดีว่า ฝ่าบาททรงรังเกียจสิ่งสกปรกเลอะเทอะ ก่อนหน้านี่เหลียนเอ๋อร์เพียงแต่ผายลมต่อหน้าเขาไปไม่กี่ที เขาก็สั่งลดขั้นจากไฉเหรินกลายเป็นเหม่ยเหริน
เช่นนี้หากนางจะไล่เจ้าคนสกปรกนี่ออกไป ฝ่าบาทย่อมไม่ทรงตำหนิแน่
พวกเจ้าดูสิ พระขนงของฝ่าบาทขมวดมุ่นจนแทบจะชนกันอยู่แล้ว แสดงว่าไม่ทรงสบพระทัยอยู่เป็นแน่
ใช่แล้ว ฮ่องเต้ไม่ทรงสบพระทัยอย่างยิ่งจริงๆ เห็นหรือไม่ว่าเมื่อครู่ตู๋กูซิงหลันกระทำสิ่งใดลงไป?
นางจับจูงชายแขนเสื้อของบุรุษตัวสกปรกผู้นั้น!
เป็นถึงไทเฮาแท้ๆ ต่อหน้าผู้คนทั้งหลายยังจะกล้าใกล้ชิดบุรุษอื่นได้อีกหรือ? และยังจะเป็นคนที่สกปรกซกมกขนาดนั้น!
ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนหน้านี้บุรุษนั่นกับนางยังขี่ม้าตัวเดียวมาด้วยกัน!
หากว่าอดีตฮ่องเต้ทรงมองดูอยู่ คงจะทรงกริ้วจนกระโดดออกมาจากพระสุสานแล้ว!
ฮ่องเต้ทรงครุ่นคิดอย่างหมกมุ่น ยิ่งเขาได้เจอะเจอตู๋กูซิงหลันบ่อยครั้งมากเท่าไร เขายิ่งพบว่าสตรีผู้นี้ยิ่งทียิ่งไม่เคารพกฎเกณท์มากเท่านั้น
รอให้กลับถึงวังเมื่อไหร่ เขาจะให้หัวหน้านางกำนัลที่มีประสบการณ์ดูแลสั่งสอนเข้มข้นที่สุดมาอบรมนางให้จงหนัก อะไรคือมารยาทของเชื้อพระวงค์! อะไรคือพระเกียรติยศของไทเฮา!
บุรุษผู้นั้นก็คล้ายกับว่าจะรู้สึกได้ถึงแรงอาฆาตที่ส่งออกมา เขาถึงได้รีบถอยออกให้ห่างจากจีเฉวียนสักหน่อย หันไปตอบเจียงเหม่ยหยู่ว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านช่างไร้เหตุผลยิ่งนัก ข้านักพรตคือนักพรตอู๋เจินจากอารามเทียนเก๋อกวน มาที่นี่เพื่อทำพิธีสวดมนต์ให้กับเย่วฮูหยินเป็นพิเศษ จะใช่คนหลอกลวงที่ไหนกันละ? “
“ท่านนักพรตอู๋เจินคือนักพรตผู้สูงส่ง ฟังว่ารูปลักษณ์สง่าราศีไม่ธรรมดา แล้วจะเหมือนเจ้าที่ดูไปคล้ายกับขอทานได้อย่างไรกัน? ” ในหมู่ผู้คนเองก็มีผู้ที่นับถือเหล่านักพรต
พวกเขาย่อยเกิดความรู้สึกว่าภูมิปัญญาของตนเองนั้นกำลังถูกดูหมิ่นอย่างรุนแรง
ตู๋กูซิงหลันและตู๋กูจุนช่างชอบก่อเรื่องก่อราวดีนัก ไม่รู้ไปสรรหาใครจากไหนมาปลอมตัวเป็นนักพรตอู๋เจิน
“โอ้ยข้าแต่เง็กเซียนบนสวรรค์ นี่ไม่ใช่ว่าไทเฮาและท่านแม่ทัพสามารถเป็นพยานยืนยันให้ได้หรอกหรือ? ” นักพรตอู๋เจินรู้สึกหมดปัญญาอยู่บ้าง ได้แต่ใช้สองมือนวดขมับพลางทอดถอนหายใจ
ยามปกติเขามักจะให้ความสำคัญกับรูปลักษณ์ สูงส่งเยือกเย็น ไม่ยินยอมพบกับใครโดยง่าย ไม่สนใจไปเจอะเจอผู้ใด……และมักจะไม่ให้ความช่วยเหลือใครด้วยซ้ำ
และไม่ใช่เพราะคราวนี้ไม่ทันได้ตั้งตัวไปเสียหน่อยถึงได้ถูกจอมมารสองชาติภพนี่จับตัวมาหรอกหรือ?
พวกเจ้าก็ลองมาไม่อาบน้ำสักเดือนดูบ้างสิ หากว่ายังดูหล่อเหลาสง่างามเหนือธรรมดาอยู่ได้ละก็ เขายินดีตัดหัวตนเองมาทำเก้าอี้นั่งเลย
“เฮอะๆๆๆๆๆ ตลกจริงๆ? เจ้าเป็นคนที่ไทเฮาและท่านแม่ทัพนำมา พวกเขาจะนับเป็นพยานได้อย่างไร? ” เจียงเหม่ยหยู่หัวเราะร่วนเสียจนฟันจะหลุดออกมา เจ้าเดรัจฉานสองตัวนั่นชอบโอ้อวดก็นับว่าแย่แล้ว นี่จะยังโง่เขลาอีกหรือ?
จะโง่เองก็ช่างเถอะ แต่นี้ยังอุตส่าห์เอาคนที่โง่ยิ่งกว่ามาด้วย
นักพรตอู๋เจิน “………”
พอยิ่งเห็นเขาไม่ปริปากพูดจา เจียงเหม่ยหยู่ก็ยิ่งคิดขึ้นมาได้ นางหันไปมองทางเต๋อเฟย กล่าวว่า “พระสนมเต๋อเฟยเพคะ ท่านวอนขอยันต์เสริมวาสนาภพหน้ามาจากท่านนักพรตอู๋เจิน ท่านต้องเคยพบกับเขามาแล้ว รบกวนท่านช่วยพิจารณาดูสักหน่อย ว่านี่ใช่ท่านนักพรตอู๋เจินหรือไม่? “
“จริงด้วย เต๋อเฟยพะยะค่ะ ขอท่านจงได้โปรดเปิดโปงเจ้าคนลวงโลกผู้นี้ต่อหน้าผู้คนทั้งหลาย! ไทเฮาและท่านแม่ทัพถูกหลอกไปแล้ว! แต่ว่าพวกเราไม่มีทางโง่งมเสียจนถูกหลอกได้เช่นนั้น!
ที่น่าโกรธแค้นก็คือว่า พวกเขาเกรงว่าพระสนมจะหวาดกลัวไทเฮาและท่านแม่ทัพ เสียจนไม่กล้าพูดความจริง
เพราะว่าดูไปแล้ว บุรุษผู้นี้จะอย่างไรก็ดูคล้ายกับพวกหากินหลอกลวงไปทั่วแผ่นดิน
เจ้าสองพี่น้องชายหญิงตัวเลวร้ายนี่ ไม่ใช่ว่ากำลังพยายามโกหกทั้งๆ ที่ลืมตามองอยู่หรือไง?