บทที่ 86 มีบางอย่างเกิดขึ้นกับหยางเฟิง

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 86
มีบางอย่างเกิดขึ้นกับหยางเฟิง
หมอยังคงตอบเพียงสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงราวกับพูดเรื่องทั่วไป “เป็นคำสั่งของคุณชาย!” หลังจากที่หมอตอบเสร็จเขาก็เดินกลับไปประจำที่ของตัวเองโดยไม่สนใจอาการช็อกของไป๋เสวี่ยหลี่เลย วันนี้เขารอดมาได้ ช่างโชคดีจริงๆ!

คุณชายโม่เป็นคนที่มีอำนาจสูงสุดในตระกูลชางกวนซึ่งเป็นของคุณชายคนเดียว ผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคนในตระกูล ชางกวนจะต้องเชื่อฟังไม่อย่างนั้นตระกูลชางกวนจะระบุตัวและออกคำสั่งห้าม

ทันทีที่ตระกูลชางกวนออกคำสั่งห้าม จะไม่มีบริษัทไหนกล้ารับคนคนนั้นเข้าทำงาน นอกจากนี้ยังจะถูกอำนาจของตระกูลชางกวนกดไว้ ซึ่งชีวิตจะแย่ยิ่งกว่าตายซะอีก

ภายในห้อง ชางกวนโม่ดูแลมู่หรงเสวี่ยอย่างดี คอยเปลี่ยนผ้าขนหนูให้เธอ, เช็ดตัวให้เธอและคอยมองผิวขาวผ่องของเธออยู่เรื่อยๆ ในตอนนี้เขาไม่ได้มีความต้องการแต่เป็นทุกข์ซะมากกว่า เพียงไม่กี่วันที่ผ่านมา หน้าของมู่หรงเสวี่ยดูซูบไปมากจนเขาอดไม่ได้ที่จะตบหน้าตัวเอง

ช่วงกลางดึกของคืนนั้นอุณหภูมิของมู่หรงเสวี่ยลดลงแล้ว ในระหว่างนั้นชางกวนโม่ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกหลังจากที่เช็กอาการอยู่หลายครั้ง จนกระทั่งแน่ใจแล้วว่าไม่เป็นไร

วันต่อมา มู่หรงเสวี่ยลืมตาขึ้นมาและเห็นชางกวนโม่นอนอยู่ในชุดเดิม ที่ขอบตาของเขามีรอยคล้ำ ข้างๆเขามีอ่างน้ำและผ้าขนหนู เธอหยิบผ้าขนหนูออกจากหน้าผากแล้วก็มองจ้องไปที่เขา

ความรู้สึกอบอุ่นเกิดขึ้นในหัวใจและรู้สึกปวดใจ เมื่อมองท่าทางของเขา เมื่อคืนเขาไม่ได้นอนเพียงเพื่อจะดูแลเธอ…เธอไม่ได้ขยับเพราะไม่อยากจะรบกวนการนอนของเขา

หลังจากนั้นไม่นาน เสียงโทรศัพท์น่ารำคาญก็ดังขึ้นมา ก่อนที่เธอจะทันได้ปิดเสียง ชางกวนโม่ก็ลืมตาขึ้น เขามองเธออย่างเป็นกังวล รีบแตะตัวเธอซ้ำไปซ้ำมา ทำไม? เขาไม่รู้ว่าทำไม เขาแค่รู้สึกว่าอยากจะอุ่นใจขึ้น “เสี่ยวเสวี่ย ดีขึ้นหรือยัง?”

เมื่อแตะไปที่หน้าอกนุ่ม เขาก็ถึงกับนิ่ง
มู่หรงเสวี่ยหน้าแดงขึ้นมาในทันที และร้องออกมาด้วยความอาย “ลามก มาจับอะไรเนี่ย?!!”

ชางกวนโม่ตอบพร้อมรอยยิ้ม “เปล่า ฉันก็แค่อยากจะเช็กดู…ว่าเป็นอะไรไหม…เมื่อวานเธอทำฉันกลัวไปหมด…”

มู่หรงเสวี่ยส่ายหัว “ไม่เป็นอะไรแล้ว แค่รู้สึกหิวนิดหน่อย…” เธอหิวจริงๆ เธอไม่ได้กินอะไรมานานแล้วและท้องก็เธอก็รู้สึกไม่ค่อยสบายนิดหน่อย

ชางกวนโม่รีบลุกขึ้น “รอเดี๋ยวนะ ฉันจะไปเอามาให้เดี๋ยวนี้เลย…” หลายวันที่ผ่านมาเสี่ยวเสวี่ยได้รับแต่น้ำเกลือและยังไม่ได้กินอะไรเลย…เมื่อคิดแบบนี้หัวใจของเขาก็เจ็บปวดขึ้นมา

หลังจากที่ชางกวนโม่ออกไป มู่หรงเสวี่ยก็หยิบโทรศัพท์ที่เพิ่งจะเงียบไปขึ้นมา ไป๋ซือฮ่าวงั้นเหรอ?! เขามีเรื่องอะไรอีกล่ะ?! แปลกจัง!

มู่หรงเสวี่ยกดปุ่มโทรกลับแล้วปลายสายก็รีบกดรับอย่างรวดเร็ว
“ฮัลโหล มู่หรงเสวี่ย!”
“ใช่ ฉันเอง มีเรื่องอะไรเหรอ? มีอะไรให้ฉันช่วย?” มู่หรงเสวี่ยถามออกไปอย่างสงสัย

“ไม่รู้สิ ช่วงนี้หยางเฟิงทำตัวแปลกๆ เธอรู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา?” น้ำเสียงเป็นกังวลของไป๋ซือฮ่าวดังกลับมา

“หยางเฟิงงั้นเหรอ?! เกิดอะไรขึ้นกับเขาเหรอ?! เขายังไปที่ไนต์คลับฟินิกซ์อยู่อีกเหรอ?” หยางเฟิงสัญญากับเธอแล้วนี่ว่าเขาจะไม่ไปที่นั่นอีก เธอไม่เชื่อหรอกว่าหยางเฟิงจะผิดคำสัญญา

“เปล่า ฉันไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา! อยู่ดีๆเขาก็ดูเหมือนว่าจะเปลี่ยนไป ฉันไม่รู้จักเขาด้วยซ้ำ อีกอย่างหน้าเขาก็ซีดอย่างกับผี แม้แต่ตระกูลหยางเขาก็ไม่ยอมกลับไป…” ไป๋ซือฮ่าวเป็นห่วงหยางเฟิงจริงๆ เขาเล่าสถานการณ์เมื่อเร็วๆนี้ให้เธอฟัง
ทันทีที่ชางกวนโม่เดินเข้ามา เขาเห็นมู่หรงเสวี่ยกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ เธอพยักหน้าให้เขาและชี้มาที่โทรศัพท์ แล้วเธอก็ฟังคนปลายสายพูดต่อ ชางกวนโม่หูพึ่งทันทีราวกับว่ากำลังเผชิญหน้ากับศัตรูอยู่

สักครู่ต่อมาหลังจากที่ฟังไป๋ซือฮ่าวพูดเรื่องท่าทางแปลกๆของหยางเฟิงแล้ว มู่หรงเสวี่ยก็ขมวดคิ้ว มันแปลกจริงๆด้วย สถานการณ์ของหยางเฟิงดูเหมือนมีคนกำลังควบคุมเขาอยู่

“ไป๋ซือฮ่าว เดี๋ยวฉันจะกลับไป นายรู้ไหมว่าหยางเฟิงอยู่ที่ไหน? ฉันจะกลับไปดู สถานการณ์ของหยางเฟิงดูแปลกมากๆเหมือนกับถูกวางยาเลย ฉันต้องเห็นด้วยตาตัวเองถึงจะรู้…”

น้ำเสียงของไป๋ซือฮ่าวฟังดูหดหู่ “ฉันเองก็จะไปดูเขาด้วยเหมือนกัน ฉันไม่เจอเขามาสองวันแล้วด้วย ฉันแค่คิดว่าเธอจะรู้สถานการณ์ของเขา…”
“ฉันเองก็จะไปช่วยด้วย ยิ่งคนเยอะก็ยิ่งทำอะไรได้มากขึ้น ไม่ต้องพูดแล้ว เดี๋ยวกลับไปค่อยเจอกัน” หลังจากนั้นทั้งคู่ก็วางสายไป

มันแปลกแบบนี้ได้ยังไง? มู่หรงเสวี่ยยังคิดถึงเรื่องที่ไป๋ซือฮ่าวพูด สีหน้าของเขาซีดเผือด ดวงตาของเขาก็แดงระเรื่อและสูญเสียตัวตนไป อย่างไรก็ตามเธอคิดว่ามันเหมือนผลกระทบของยาต้องห้ามที่เธอเคยเห็นในหนังสือแพทย์พื้นฐาน อย่างไรก็ตามจะมีใครที่เข้าใจการทำงานของยากลืนวิญญาณได้ยังไง? ไม่ว่ายังไง เธอต้องไปเห็นด้วยตาตัวเอง

“มีเรื่องอะไรเหรอ? ถึงได้ใจลอยขนาดนี้…” ชางกวนโม่มองมู่หรงเสวี่ยอยู่นานแต่ก็ยังไม่อธิบายว่าใครโทรมาซะทีและเขาก็ยังอยากที่จะรู้อยู่ จึงรีบถามออกไปด้วยน้ำเสียงอึดอัด

“อ่า!? รุ่นพี่หยางได้รับอุบัติเหตุ…ฉันต้องกลับไปดูเขาหน่อย…” มู่หรงเสวี่ยตอบออกไปเพียงแค่ครึ่งเดียว

“ใครกันรุ่นพี่หยาง!? ยังไม่ต้องกังวลนะ กินอะไรก่อนเถอะ เธอไม่ได้กินอะไรมาหลายวันแล้ว…” ชางกวนโม่ถือถ้วยโจ๊กมาและหันไปหยิบช้อนเพื่อเอามาป้อนเธอ

มู่หรงเสวี่ยรู้สึกเขินๆ จึงยื่นมือไปรับถ้วยมาถือเอง “ฉันกินเองได้…”
ชางกวนโม่หลบมือ “อย่าขยับ ฉันป้อนเอง มือเธอยังเจ็บอยู่…” เขามองเธออย่างไม่สนใจ
มู่หรงเสวี่ยมองท่าทางที่แน่วแน่ของเขาจึงดึงมือกลับมาและมีความสุขอยู่เงียบๆ นั่งรอชางกวนโม่ ความรู้สึกอบอุ่นค่อยๆขยายมากขึ้น

หลังจากที่กินโจ๊กเสร็จ มู่หรงเสวี่ยก็อธิบายสายโทรศัพท์ที่เธอเพิ่งจะได้รับ เธอตัดสินใจที่จะกลับไปเดี๋ยวนี้ ถ้าหยางเฟิงถูกวางยาด้วยยากลืนวิญญาณจริงๆ เธอก็ต้องรีบถอนพิษออกให้เร็วที่สุดไม่งั้นถ้าปล่อยให้นานต่อไปก็มีแต่จะยิ่งอันตรายมากขึ้น…ถึงแม้เธอจะปฏิเสธความรักของหยางเฟิง แต่เธอก็ยังเห็นเขาเป็นเพื่อน…ดังนั้นเธอจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ให้ผ่านไป

ในตอนแรกชางกวนโม่ไม่เห็นด้วยอย่างที่สุดเพราะตอนนี้มู่หรงเสวี่ยยังไม่แข็งแรงและเมื่อคืนก็มีไข้สูงด้วย แต่สุดท้ายวันนี้เธอก็พอมีเรี่ยวแรงขึ้นมาหน่อย เธอถึงขนาดลุกขึ้นมาวิ่งรอบๆแล้วแบบนี้เขาจะห้ามได้ยังไง…แต่เสี่ยวเสวี่ยดูเหมือนจะสนใจเพื่อนคนนี้มาก…เขาไม่อยากที่จะทะเลาะกับเธอเพราะเรื่องนี้…และเขาก็ไม่มีกะจิตกะใจจะทะเลาะกับเธออีก…บวกกับดวงตากลมโตคู่นี้ที่ทำให้เขาต้องใจอ่อน ไม่มีแรงที่จะขัดขืนเธออีก…จึงทำได้เพียงตอบตกลงไป

อย่างไรก็ตามตอนนี้เขายังมีงานที่จะต้องทำ เขาจึงทำได้เพียงส่งเย่เฟิงให้ไปคอยปกป้องเธอ เพียงแค่ว่าเวลาที่เธอไม่อยู่ข้างๆ เขามักจะรู้สึกร้อนใจ…เขาอยากที่จะมัดเธอไว้ด้วยเข็มขัดและกอดเธอไว้ในอ้อมแขนของเขา เขาสบายใจกว่าที่จะได้คอยอยู่ดูแลเธอบ้าง

ไม่นานหลังจากนั้นมู่หรงเสวี่ยก็รีบกลับไปที่เมือง A ด้วยเครื่องบินส่วนตัวและรีบติดต่อไป๋ซือฮ่าวทันที พวกเขานัดเจอกันที่ร้านอาหาร

ระหว่างทาง มู่หรงเสวี่ยเองก็โทรหาโม่จื่อเหวินและขอให้เขาใช้แผนกรักษาความปลอดภัยของบริษัทเพื่อตามหาหยางเฟิงด้วยและรายงานสถานการณ์ล่าสุดอย่างเร็วที่สุด แผนกรักษาความปลอดภัยนี้แตกต่างจากแผนกรักษาความปลอดภัยทั่วไป นี่เป็นแผนกบูรณาการความปลอดภัย, มีช่องทางใต้ดินและข้อมูลการสื่อสารทั่วโลก ถึงแม้มันจะแค่เพิ่งเริ่ม แต่โม่จื่อเหวินก็ทำได้ดีมากและเครือข่ายการสื่อสารก็ค่อยๆเติบโตขึ้นเรื่อยๆ แน่นอนว่ายังมีพื้นที่อีกมากที่ต้องการการพัฒนา

พวกเขาต่างก็เป็นห่วงสถานการณ์ของหยางเฟิง ดังนั้นพวกเขาจึงรีบมาถึงสถานที่นัดพบอย่างเร็วที่สุด
“ได้ข่าวอะไรบ้างไหม?” มู่หรงเสวี่ยถามออกมาทันทีที่เจอกัน
ไป๋ซือฮ่าวส่ายหน้า “ส่งคนออกไปหาข่าวตั้งมากมายแต่ก็ยังไม่ได้ข่าวอะไรเลย…”
“แล้วช่วงนี้ที่ตระกูลหยางเป็นไงบ้าง?!” เป็นไปได้หรือเปล่าที่ตระกูลหยางจะมีอะไรผิดปกติ? มู่หรงเสวี่ยคิดแล้วจึงถามออกไป
“ฉันเองก็สงสัยเรื่องนี้มานานแล้วเหมือนกัน แล้วก็ตามสืบเรื่องนี้มานานแล้วด้วย แต่ที่ตระกูลไม่มีอะไรผิดปกติเลย ทั้งธุรกิจและเรื่องอื่นๆของตระกูลหยางก็ปกติดี…”

“หยางเฟิงได้ติดต่อใครบ้างหรือเปล่า?” มู่หรงเสวี่ยคิดถึงสถานการณ์อื่น
ไป๋ ซือฮ่าวคิดเรื่องนี้แล้วจึงตอบออกมา “นอกจากฉัน หยางเฟิงก็ไปเจอลูกพี่ลูกน้อง หลินจื่อชิง แต่ก็เจอกันนานแล้วก่อนที่หยางเฟิงจะกลายเป็นแบบนี้นะ…”
สีหน้าของมู่หรงเสวี่ยเปลี่ยนไป “ได้ให้คนไปเช็กเรื่องของหลินจื่อชิงบ้างหรือยัง?”
ไป๋ซือฮ่าวเองก็กลายเป็นซีเรียสขึ้นมา “ยังเลย เธอมีอะไรผิดปกติงั้นเหรอ?! ฉันจะให้คนไปเช็กเดี๋ยวนี้เลย…”
หลินจื่อชิงเองถ้าทำเรื่องอะไรไม่ดีก็คงจะปิดบังไว้อย่างดีเลยทีเดียว ถ้าหลินจื่อชิงทำอะไรผิดจริงๆถึงแม้หยางเฟิงจะปล่อยเธอไป แต่เขาจะทำให้เธอต้องรู้สึกแย่ไปตลอดแน่ๆที่กล้ามาทำอะไรแบบนี้กับพี่ชายตัวเอง เขาคงจะทนไม่ได้
หลังจากนั้น พวกเขาก็แยกย้ายกันไปและบอกไว้ว่าถ้าใครได้ข่าวอะไรให้แจ้งอีกฝ่ายด้วย
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา โม่จื่อเหวินก็โทรหามู่หรงเสวี่ยเพื่อรายงานว่าตอนนี้หยางเฟิงอยู่ที่วิลล่าของหลินจื่อชิง มู่หรงเสวี่ยรู้สึกตกใจเมื่อได้ยินข่าว เป็นฝีมือหลินจื่อชิงจริงๆด้วย
ทันทีที่เธอกำลังจะโทรหาไป๋ซือฮ่าว แต่อีกฝ่ายก็โทรเข้ามาพอดี

“เสี่ยวเสวี่ย ฉันได้ข่าวมาว่าช่วงหลังๆมานี้หลินจื่อชิงติดต่อกับพวกองค์กรลับด้วย แต่หาต้นตอขององค์กรไม่ได้ เลยไม่รู้ว่าพวกนี้ทำอะไรกัน?…แล้วช่วงนี้หลินจื่อชิงก็ซื้อของใช้ผู้ชายบ่อยๆ ฉันสงสัยว่าเธออาจจะซ่อนหยางเฟิงไว้…”

“ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นฝีมือเธอแน่ ตอนนี้หยางเฟิงอยู่ที่วิลล่าของเธอ ฉันเพิ่งได้ข่าวมาแล้วกำลังจะโทรหานายพอดี…”
“อะไรนะ!? เป็นเธอจริงๆงั้นเหรอ นังผู้หญิงชั้นต่ำ เธออยากจะทำอะไรกับหยางเฟิง…” ไป๋ซือฮ่าวพูดด้วยความโกรธที่หลินจื่อชิงกล้ามาเข้ามายุ่งกับตระกูลหยาง ขนาดตระกูลไป๋ของเขายังไม่กล้าเลย
มู่หรงเสวี่ยขมวดคิ้วและพูดเกี่ยวกับเรื่องการช่วยหยางเฟิง “สิ่งที่สำคัญที่สุดคือวิธีที่จะช่วยหยางเฟิง ฉันไม่รู้ว่าตอนนี้ในวิลล่าของหลินจื่อชิงมีคนอยู่มากแค่ไหนและพวกเขาเป็นใครกันบ้าง?”
“ไม่สำคัญว่าพวกนั้นเป็นใครหรอก ฉันจะหาคนไปจัดการพวกนั้นเอง…” ไป๋ซือฮ่าวโกรธมากจนอยากที่จะเข้าไปฆ่าหลินจื่อชิงที่วิลล่าตอนนี้เลย

“อย่าเพิ่งใจร้อน ค่อยๆว่าแผนแล้วไปเจอกันที่ป่าเล็กๆห่างจากวิลล่าของหลินจื่อชิง 500 เมตร”
“ได้ อีกครึ่งชั่วโมงเจอกัน!”

หลังจากวางสาย มู่หรงเสวี่ยมองไปที่เย่เฟิงที่กำลังยืนจ้องเธอตาไม่กะพริบ “ฉันจะไปห้องน้ำ นายคงไม่ตามฉันเข้าไปด้วยใช่ไหม?”

เย่เฟิงมีท่าทางอึดอัดเล็กน้อย “ไม่ครับนายหญิงน้อย ผมจะรออยู่ที่ประตู” มู่หรงเสวี่ยมองเขาอย่างมีเลศนัยและรีบเดินเข้าห้องน้ำไป เธอไม่ได้จะไปห้องน้ำแต่กำลังจะเตรียมอะไรบางอย่าง เธอไม่รู้ว่าสถานการณ์ในคืนนี้จะอันตรายหรือไม่ ดังนั้นเธอจึงต้องเตรียมยาฤทธิ์แรงๆเพื่อกันไว้ก่อน ยาทำให้เวียนหัว ใช่เลย!!!
หลังจากที่เข้าไปในห้องน้ำ มู่หรงเสวี่ยล็อกประตูและรีบเข้าไปในมิติลับทันที เธอหยิบยาฤทธิ์แรงๆที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ออกมา ใส่พวกมันลงไปในกระเป๋าและเตรียมยาถอนพิษอื่นๆ

ครึ่งชั่วโมงต่อมา ทั้งสองก็มาพบกันที่ป่า ไป๋ซือฮ่าวบอกให้คนเข้าไปสำรวจ วิลล่าของหลินจื่อชิงมียามห้าคนอยู่ด้านนอกและอีกสิบคนอยู่นอกกำแพงบ้าน แต่ภายในบ้านไม่ชัดเจนว่ามีกี่คน และมีคนไม่น้อยกว่าสิบคนที่ตรวจตราโดยใช้กล้องวงจรปิดและยังมีพื้นที่ที่เข้าไปสังเกตการณ์ไม่ได้อีกด้วย

ทั้งสองมีท่าทางแปลกใจอย่างมาก ใครกันจะจ้างคนมากมายขนาดนี้ไว้ในวิลล่าตัวเอง?! เห็นได้ชัดว่าสิ่งผิดปกติที่มู่หรงเสวี่ยคิดไว้มันถูกต้อง ไม่รู้ว่าหลินจื่อชิงจะทำอะไรกับหยางเฟิง งั้นจะรอช้าไม่ได้แล้ว

“ตอนนี้ทุกคนกินยาถอนพิษกันไว้ก่อน ฉันเอายาฤทธิ์แรงๆติดตัวมาด้วย แต่ละคนหยิบไปหนึ่งถุงแล้วก็กินยากันไว้ก่อนด้วยนะ…” มู่หรงเสวี่ยหยิบยาฤทธิ์แรงและยาถอนพิษออกมาจากกระเป๋าและเตรียมที่จะแบ่งให้ทุกคน
ไป๋ซือฮ่าวพูดออกมาอย่างไม่เห็นด้วย “ยาพวกนี้มันออกฤทธิ์ช้าเกินไป ไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไร อย่าเปลืองพลังงานเลย!” เขาไม่ได้อยากที่จะหักหน้ามู่หรงเสวี่ย แต่แค่ว่ายาพวกนี้มักจะใช้เวลาเป็นชั่วโมงกว่าที่จะออกฤทธิ์ แต่ถ้ามีอาวุธอยู่ในมือก็สามารถยิงพวกนั้นได้ในทันที ทำไมต้องรอให้ยาออกฤทธิ์ด้วย

มู่หรงเสวี่ยเห็นว่าทุกคนในกลุ่มไม่เห็นด้วยกันเธอ หนึ่งหรือสองคนถึงขนาดแอบขำอยู่เล็กๆ มู่หรงเสวี่ยหยิบผงยาขึ้นมาและเป่าไปที่สองคนที่เพิ่งแอบขำอยู่ เพียงเสี่ยววินาทีพวกนั้นก็ล้มลงไปกองกับพื้น แน่นอนคนอื่นๆไม่ได้กลิ่นของยาจึงไม่เป็นอะไร มู่หรงเสวี่ยกินยาถอนพิษกันไว้ก่อนแล้วและเย่เฟิงก็กินเข้าไปแล้วเช่นกัน เขาไม่เชื่อในยาของมู่หรงเสวี่ยแต่รู้สึกว่าเขาต้องลองกินก่อนที่เธอจะกินเข้าไป

มือปืนคนหนึ่งของไป๋ซือฮ่าวจ้องตาเขม้นจนเกือบจะลืมหายใจ ครั้งนี้ทุกคนรีบรับยาไปและกลืนยาถอนพิษเข้าไปทันที และลืมสองคนที่นอนอยู่ที่พื้นไปเลย

หลังจากนั้นสักพัก ไป๋ซือฮ่าวก็แบ่งทีมเพื่อที่จะเข้าไปในทุกทิศทาง และเพราะมีผู้หญิงเพียงคนเดียวที่อยู่ในทีม จึงเป็นเอกฉันท์ที่จะให้มู่หรงเสวี่ยรออยู่ข้างนอกแต่สุดท้ายเธอก็เข้าไปด้วย
มู่หรงเสวี่ยรู้ความสามารถของตัวเองดีและจะไม่เป็นตัวถ่วงของทุกคนแน่นอน เย่เฟิงตามมู่หรงเสวี่ยไปตลอด นี่เป็นหน้าที่เดียวของเขา นั่นคือการคุ้มครองนายหญิงน้อย เขาไม่ได้สนใจเรื่องอื่นเลย
ในระหว่างที่มู่หรงเสวี่ยกำลังรออย่างเป็นกังวล ในที่สุดไป๋ซือฮ่าวก็ให้สัญญาณเธอ เธอเดินเข้าไปพร้อมถอนหายใจอย่างโล่งอก ตลอดทางมีแต่คนสลบ มู่หรงเสวี่ยรู้สึกโล่งใจที่ไม่มีใครบาดเจ็บเลย