ข่าวลือเรื่องเหล่าขุนนางของพรรคขุนนางทั้งหมดถูกจับในข้อหากบฏนั้น แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวงภายในเวลาไม่ถึงครึ่งวัน และกระจายไปทั่วอาณาจักรภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์

ข่าวระดับนั้นเป็นข่าวใหญ่ และเป็นข่าวอันตรายสำหรับใครบางคน

ด้วยเหตุนี้ พอบรรดาพวกที่ติดต่อค้าขายกับเหล่าขุนนางของพรรคขุนนางหรือพวกที่มีความข้องเกี่ยวกันได้ยินข่าว ก็ตัดความสัมพันธ์จากหน้ามือเป็นหลังมือ ราวกับไม่เคยรู้จักกันมาก่อน พวกเขาเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างสั่นเทาด้วยความกลัวว่าอาจจะโดนเล่นงานด้วยเหมือนกัน มีบางคนที่จู่ๆ ก็บอกว่าจะไปเที่ยว แล้วหนีออกไปนอกประเทศไปอย่างกะทันหัน

แน่นอนว่าเหล่าขุนนางที่โดนจับโทษฐานกบฏก็ไม่อยู่เฉย พวกเขาพยายามลบล้างความผิดบาปและระดมวิธีต่างๆ แต่ด้วยแผนการสุดท้ายของเจ้าชายและโรฮันที่พวกเขาไม่รู้ ทำให้มันไม่เป็นไปตามที่พวกเขาหวัง

“พะ เพชรพลอยทั้งหมดของคฤหาสน์หายไปแล้วครับ…!”

“…ว่าอย่างไรนะ!”

ไวเคาน์ติสเมอรีอาร์ตกลืนน้ำลายด้วยความตกใจ แล้วถามหัวหน้าคนรับใช้ที่แจ้งข่าวอันน่าสะเทือนใจกลับ

เธอพยายามหาทนายที่เก่งที่สุดในอาณาจักร แล้วรวบรวมทรัพย์สินทั้งหมดที่เหล่าทหารใช้ไปจนเกือบหมด เพื่อช่วยสามีของเธอที่ถูกจับโทษฐานกบฏ แต่นี่มันก็เหมือนกับฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ

“ตะ แต่กลับมีจดหมายนี้วางอยู่แทนครับ…!”

มือของไวเคาน์ติสเมอรีอาร์ตสั่น หลังจากรับจดหมายจากหัวหน้าคนรับใช้มา และดวงตาของไวเคาน์ติสที่เริ่มอ่านจดหมายไปสองสามบันทัดก็เบิกกว้างอย่างไม่สามารถควบคุมได้

[ในกรณีที่เราไม่สามารถชิงอาณาจักรกลับมาได้ เราได้ทำสัญญากับดัชเชสไอซิส เฟรดเดอริกไว้แล้วว่าจะไม่สนับสนุนค่าใช้จ่ายของเหล่าทหารที่ส่งไป ฉะนั้นเราจะเรียกจำนวนเงินดังกล่าวจากคฤหาสน์คืน ทางเราได้ทิ้งรายละเอียดค่าใช้จ่ายไว้ให้แล้ว กรุณาใช้เป็นเอกสารประกอบการดำเนินการ และเราจะเรียกเก็บเงินส่วนที่ขาดจากท่านอีกครั้งในภายหลัง]

นี่มันบ้าอะไรกัน…! เธอมองดูเนื้อหาจดหมายนับหลายครั้งด้วยความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อ แต่เนื้อความนั้นก็ไม่เปลี่ยนไป

“เพชรพลอย… หายไปหมดเลยหรือ”

“คะ ครับ…! พวกเครื่องประดับราคาแพงก็หายไปหมดเช่นเดียวกันครับ…!”

เมื่อเห็นหัวหน้าคนรับใช้ตอบและพยักหน้ายืนยันเช่นนั้น ไวเคาน์ติสเมอรีอาร์ตก็ทรุดฮวบลงไปกับพื้นในท้ายที่สุด

“…เป็นอะไรไหมครับ!”

หัวหน้าคนรับใช้ถามไวเคาน์ติสด้วยตกใจ เนื่องจากมันเป็นท่าทีการตอบสนองที่เขาคาดคิดไว้แล้ว มือของเขาจึงเคลื่อนไหวไปด้วยความรวดเร็ว

ทว่าโชคไม่ดีที่สภาพของเธอที่ตกใจกลัวจนสั่นระริกดูไม่ค่อยสู้ดีนัก เหล่าคนรับใช้ที่คอยเฝ้าดูอยู่รอบข้างก็ต่างเดินย่ำเท้าตึงตังไปมาอย่างทำอะไรไม่ถูก

“เงียบหน่อย!”

เธอตะโกนเสียงดัง เพราะพวกคนรอบเอาแต่สร้างความวุ่นวาย ทั้งที่เธอก็ปวดหัวอยู่แล้ว

ตอนนั้นเองที่รอบตัวเธอเงียบราวกับหนูตาย เธอจึงได้กุมหัวและใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง

‘จะทำอย่างไรต่อไปดี…!’

ถ้าพวกเขาเอาเครื่องประดับกับเพชรพลอยทั้งหมดไปตามที่หัวหน้าคนรับใช้บอก มันก็จะไม่เหลือหนทางที่จะช่วยไวเคานต์ได้อีกแล้ว เพราะหากเป็นพวกอสังหาริมทรัพย์อย่างพวกคฤหาสน์หรือที่ดิน เธอต้องรายงานตอนที่จะครอบครองมันก็จริง แต่หากเป็นสังหาริมทรัพย์อย่างพวกอัญมณีหรือเครื่องประดับนั้น เธอไม่จำเป็นต้องรายงาน ทำให้เธอสามารถแอบขายระดมทุนอย่างลับๆ ได้ แต่ถ้าโดนเอาของพวกนั้นไปหมดแบบนี้เธอก็ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว

ยิ่งไปกว่านั้น คฤหาสน์และที่ดินของเธอถูกเจ้าชายปิดกั้นไว้ก่อนแล้ว เพื่อไม่ให้ทำการค้าขายได้ เนื่องจากถ้าความผิดบาปของพวกเขาถูกตัดสินและถูกตราหน้าว่าเป็นกบฏ ทรัพย์สินของพวกเขาทั้งหมดก็จะตกเป็นของอาณาจักร

ด้วยเหตุนี้เธอจึงไม่สามารถทำอะไรเพื่อช่วยสามีของเธอได้อีกต่อไป และหลังจากที่คฤหาสน์และที่ดินถูกยึดไป ก็จะเหลือเพียงแค่การโดนปลดออกจากตำแหน่งเท่านั้น เนื่องจากสามีของเธอมีส่วนร่วมในการกบฏจริงๆ

ยิ่งไปกว่านั้นนี่ไม่ใช่ความผิดบาปอะไรอื่น แต่เป็นการกบฏ แน่นอนว่าไม่ใช่แค่ไวเคานต์เท่านั้น แต่ทั้งตระกูลของเขาก็อาจจะไม่สามารถรักษาชีวิตไว้ได้

ไวเคาน์ติสจมอยู่ในความคิดอยู่ครู่หนึ่งและกะพริบตา ก่อนจะเม้มปากแน่นพร้อมยื่นมือออกไป

“…ช่วยประคองที”

“คะ ค่ะ!”

เหล่าสาวใช้ต่างรีบเข้ามาประคองไวเคาน์ติสให้ลุกยืนขึ้น ต่างจากตอนที่เธออ่านจดหมาย ตอนนี้สายตาของเธอดูแน่วแน่และเย็นชาราวกับตัดสินใจอะไรได้แล้ว

“…เตรียมรถม้าและเสบียงให้ที แล้วก็เสื้อผ้าจำนวนหนึ่งด้วย”

“ครับ… จะไปไหนหรือครับ…”

หัวหน้าคนรับใช้ถามกลับด้วยสีหน้าตกใจ หลังจากถูกบอกให้ไปเตรียมแม้กระทั่งเสบียงและเสื้อผ้า

ไวเคาน์ติสตอบกลับอย่างใจเย็น

“ฉันต้องกลับไปที่เชอราตันก่อน ไม่ว่าอย่างไรเรื่องกบฏนั่นมันก็เป็นเรื่องที่เขาเตรียมการคนเดียว ฉะนั้นฉันก็ต้องบอกปัดไปว่าฉันไม่รู้เรื่องสิ ถ้าความผิดของเขาไม่หนัก มันก็อาจจะไม่สาวมาถึงฉันก็ได้ ระหว่างนั้นฉันก็จะเตรียมหย่า… แต่ถ้ายังไม่เป็นไปตามที่ฉันหวังไว้อีกล่ะก็ คงต้องหลบหนีหรือไปซ่อนตัว… ฉันต้องเอาตัวรอดให้ได้ไม่วิธีใดก็วิธีหนึ่ง …ฉันรับผิดชอบพวกเธอไม่ได้ ดังนั้นฉันจะไม่บอกให้พวกเธอตามฉันมาหรอกนะ”

คนเดียวที่เธอเลือกมีเพียงหัวหน้าคนรับใช้เท่านั้น เพราะเธอแทบจะไม่เหลือเงินอยู่ในมือแล้ว

เหล่าคนรับใช้ที่เหลืออยู่ก็ตกงานอย่างกะทันหัน พวกเขาเฝ้ามองไวเคาน์ติสจากไปอย่างเหม่อลอย

และทางเลือกที่ไวเคาน์ติสเลือกที่จะทิ้งสามีของตัวเองแล้วจากไปอย่างไม่รอช้านั้น เป็นทางเลือกที่ฉลาดมาก เพราะเจ้าชายที่เตรียมลงโทษพรรคขุนนางมาเป็นเวลานานไม่ยอมพลาดโอกาส เขาใช้ทุกวิถีทาง แล้วเพิ่มข้อหาให้แก่พวกเขา และยังมีแม้กระทั่งผู้เปิดโปงปรากฏตัวขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด ทำให้พวกเขาไม่สามารถปฏิเสธเพื่อหนีเอาตัวรอดได้

ผู้เปิดโปงคนนั้นก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลนอกเสียจากออสการ์ผู้สืบทอดตระกูลท่านดยุกเฟรดเดอริก

“นักโทษออสการ์ เฟรดเดอริกอยู่ไหน”

หลังจากจับกุมตัวไอซิสและท่านดยุกผู้นำการก่อกบฏแล้ว เหล่าอัศวินกลับมาที่คฤหาสน์อีกครั้ง เพื่อหาตัวออสการ์

ออสการ์เป็นผู้สืบทอดตระกูลท่านดยุกก็จริง แต่เขาไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวโดยตรงกับเรื่องครั้งนี้ และเขาก็ไม่ได้ลงนามในเอกสารใดๆ ดังนั้นจึงดูเหมือนว่าเขาจะไม่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ แต่เหล่าอัศวินก็ตามหาเขาด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง ถึงแม้เขาไม่จำเป็นจะต้องถูกจับ

“ทะ ท่านออสการ์… ถูกขังอยู่ครับ”

“ถูกขังอย่างนั้นหรือ ที่ไหน”

เหล่าอัศวินขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเหล่าคนรับใช้พูดเช่นนั้น แล้วถามอย่างโมโหว่าที่นั่นอยู่ที่ไหน

“กระผมจะนำทางไปครับ”

อัศวินรีบตามคนรับใช้ที่บอกว่าจะนำทางไปอย่างว่องไว เมื่อพวกเขาไปถึงและเคลื่อนพวกเครื่องเรือนที่กั้นอยู่ แล้วเปิดประตูเข้าไป ก็เห็นออสการ์อยู่ข้างในจริงๆ

อัศวินมองดูใบหน้าที่ดูซูบผอม ก่อนจะเอ่ยปากถามเขา

“ท่านออสการ์ เฟรดเดอริกใช่ไหมครับ”

“…ใช่ครับ”

ออสการ์ตอบอย่างไม่ร้อนรนราวกับสิ่งที่เขาคิดไว้ได้มาถึงแล้ว

เจ้าชายสั่งให้พวกเขาจับกุมตัวออสการ์มาโดยตรงทันที และพวกเขาก็มาด้วยความวิตกกังวล ทว่าเขากลับแสดงท่าทีนิ่งเฉยไม่สะทกสะท้าน เหล่าอัศวินจึงพยายามซ่อนความสงสัยเอาไว้ แล้วเฝ้าสังเกตออสการ์

“ถ้าตอนนี้มันยังไม่สายเกินไป ผมจะเล่าเรื่องทุกอย่างเองครับ”

ออสการ์ที่ถูกเหล่าอัศวินจ้องมองอยู่พักหนึ่งพูดบางอย่างที่ไม่คาดคิดออกมา

อัศวินจึงถามกลับว่าเขาหมายความว่าอย่างไร

“เล่าทุกอย่างหรือครับ”

“หมายถึงเบื้องหลังของเรื่องในครั้งนี้น่ะครับ พวกคุณสืบสวนกันมาแล้วก็คงจะรู้ แต่ผมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้โดยตรงครับ แต่ผมรู้เรื่องผ่านพี่สาวและท่านพ่อ… ผมจะให้ความร่วมมือเองครับ”

เหล่าอัศวินที่ได้ยินเขาพูดว่าจะให้ความร่วมมือกับการสืบสวนแต่โดยดี ต่างมองหน้ากันเหมือนกับจะถามว่าเมื่อกี้ที่ได้ยินเป็นเรื่องจริงหรือ แล้วตรวจดูอย่างเงียบๆ ทั้งที่เขาน่าจะเถียงว่าเขาไม่ได้ทำ แต่เขากลับบอกว่าจะให้ความร่วมมืออย่างนั้นน่ะหรือ

“จริงหรือครับ”

“…ครับ”

ออสการ์ตอบพร้อมกับพยักหน้า อัศวินจึงตระหนักว่าเขาพูดจริง ทันใดนั้นพวกเขาก็ตอบว่าเข้าใจแล้วด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนเป็นอย่างมากเทียบกับในตอนแรก

“เข้าใจแล้วครับ ถ้าเช่นนั้นกรุณาไปกับพวกเราด้วยครับ เนื่องจากท่านบอกว่าจะให้ความร่วมมือกับการสืบสวน ฉะนั้นกระผมจะไม่กุมตัวท่านครับ”

อัศวินมีท่าทีอ่อนน้อมต่อออสการ์ที่ไม่มีการขัดขืนใดๆ

“ท่านออสการ์…”

เสียงของหัวหน้าคนรับใช้ที่เป็นห่วงเขาก็ไล่ตามออสการ์ที่ตามหลังอัศวินไปอย่างเงียบๆ ทันที

แล้วออสการ์ก็หยุดเดิน ก่อนจะไหว้วานขอร้องหัวหน้าคนรับใช้

“…ฝากคฤหาสน์ด้วยนะ”

“เข้าใจแล้วครับ กรุณากลับมาอย่างปลอดภัยนะครับ”

เช่นเดียวกับเหล่าขุนนางที่ถูกจับคนอื่นๆ ออสการ์ใช้เวลาทั้งคืนอยู่ในเรือนจำชั่วคราวที่เตรียมไว้เพื่อการสืบสวน แต่เขาถูกย้ายไปอยู่อีกที่หนึ่งทันทีอย่างไม่คาดคิดในวันถัดมา

“ตกใจเลยทีเดียวล่ะที่บอกว่าจะให้ความร่วมมือน่ะ”

“คะ ครับ เจ้าชาย”

ออสการ์ตกใจที่เขาถูกย้ายไปที่ราชวังก็จริง แต่เขาไม่คิดเลยว่าจะได้เข้าพบเจ้าชายอย่างในเวลาอันรวดเร็วขนาดนี้ ออสการ์ตกใจ แล้วก้มหัวโค้งคำนับอย่างสุภาพ

อาซที่มองเขาด้วยหางตายืดตัวขึ้นให้ตรง ก่อนจะเอ่ยปากพูด

“นายบอกว่าจะให้ความร่วมมืออย่างนั้นใช่ไหม”

“…ใช่แล้วครับ”

“นั่นสินะ…”

ถึงฉันจะหวังไม่ให้นายทำแบบนั้นก็เถอะ ออสการ์สะดุ้งตกใจกับคำพูดเสริมของเขา

ทว่าในไม่ช้าเขาก็เข้าใจว่าทำไมเจ้าชายถึงคิดเช่นนั้น เห็นได้ชัดว่าต้องเป็นเพราะอาเรียแน่ๆ

ตอนนี้ความสัมพันธ์ของเธอกับเจ้าชายได้รับการเปิดเผยอย่างเป็นทางการแล้วก็จริง แต่ในอดีตนั้นอาเรียเคยมีข่าวลือด้านชู้สาวกับเขา

ถึงแม้ข่าวลือจะเงียบไปเพราะเรื่องการหมั้นหมายกับมิเอล แต่ก็ถูกผู้คนซุบซิบอย่างพร่ำเพรื่อมาระยะหนึ่ง และหากเป็นเจ้าชายที่คบหาอยู่กับอาเรีย อาจจะรู้ความจริงก็ได้

ความจริงที่เขายังคงมีใจให้อาเรียอยู่

บางทีอาจจะเพราะเหตุนั้น เจ้าชายถึงได้ส่งอัศวินมาจับเขาก็ได้ แม้เขาจะไม่ใช่แกนนำ

ไม่สิ นั่นถูกต้องแล้วล่ะ ตอนนี้อาเรียเป็นใหญ่เป็นโตจนอยู่ไกลเกินกว่าเขาจะเอื้อมถึงไปแล้ว แต่ดูเหมือนเจ้าชายก็ยังไม่ชอบขี้หน้าเขาเท่าไรนัก

เขาจึงคิดว่าบางทีเจ้าชายอาจจะหวังให้เขาไม่ให้ความร่วมมือและเป็นพวกของพ่อกับพี่สาว จะได้ลงโทษประหารชีวิตแบบเดียวกันกับที่พวกเขาได้รับ

อาซดูไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมากกับท่าทีว่านอนสอนง่ายของออสการ์ ราวกับว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นถูกต้อง

“ฉันหวังว่าการให้ความร่วมมือโดยสมัครใจของนายจะมาจากความรักชาติจริงๆ นะ”

“…!”

คำพูดที่อาซพูดออกมานั้นราวกับรู้อย่างทะลุปรุโปร่งว่าความร่วมมือในครั้งนี้ไม่ได้มาจากจิตใจอันรักชาติ แต่มาจากจิตใจอันคิดไม่ซื่อของเขา ออสการ์กระวนกระวาย แล้วหลบสายตาเขา

ตั้งแต่ที่รู้ว่าอาเรียเป็นดาวของอาณาจักร ไม่สิ ตั้งแต่ที่รู้ว่าเธอกลายเป็นพวกเดียวกับเจ้าชาย เขาก็หวังให้ตั้งแต่ท่านดยุกไปจนถึงพรรคขุนนางหยุดเผชิญกับเจ้าชายเสียที เขาหวังว่าพวกเขาจะไม่ไปขวางทางข้างหน้าของเธอ

ตอนนี้เธอได้สร้างผลงานอันยอดเยี่ยม และกลายเป็นหญิงที่ไม่อาจแย้งได้ไปแล้ว แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่อยากกลายเป็นศัตรูกับเธอ

เขาจึงพยายามพร่ำบอกพี่สาวกับพ่อให้เลิกทำเรื่องบุ่มบ่ามอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่สุดท้ายสิ่งที่เขาได้รับก็คือผลลัพธ์อันน่าเวทนาเช่นนี้

ด้วยเหตุนี้เขาจึงให้ความร่วมมือด้วยความสมัครใจเพื่ออาเรีย มากเสียกว่าเพื่ออาณาจักร ทำให้เขาตอบกลับไปช้า แสร้งทำว่ามันไม่ใช่อย่างนั้น อาซจ้องมองออสการ์อยู่พักหนึ่ง แล้วขำออกมา ก่อนจะพูดอย่างเย็นชา

“ดี ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ฉันก็ไม่จำเป็นต้องมาคอยระวังนายอีกต่อไป ฉะนั้นฉันก็จะปล่อยผ่านไปล่ะนะ ไม่ว่าอย่างไรเลดี้อาเรียก็ไม่ได้สนใจใครอื่นนอกจากฉันอยู่แล้ว”

“….”

ถ้าเจ้าชายไม่ได้คอยระวังเขา ก็ไม่จำเป็นต้องพูดแบบนั้น แต่เหตุผลที่เขาอุตส่าห์ยกเรื่องอาเรียขึ้นมาพูด ดูเหมือนจะเป็นการเตือนและขู่อย่างหนึ่ง

คำขู่ที่ว่าอย่าฝันไปเลย เพราะอาเรียไม่มีใจให้แม้แต่นิดเดียว และคำขู่ที่ว่าอย่าแม้แต่จะจินตนาการ เพราะเขาอยู่ข้างๆ เธอ

เขาจะพยักหน้ารับทราบ และสลายความเป็นปรปักษ์ของเจ้าชายลงก็ได้ ทว่าที่เขาไม่ทำเช่นนั้นและปิดปากแน่นเพราะศักดิ์ศรีและความเย่อหยิ่งของเขา

อาซที่เอาชนะในสงครามอารมณ์แบบเด็กๆ ที่ไม่อาจมองได้ว่าเป็นสงครามระหว่างเจ้าชายและผู้สืบทอดตระกูลดยุกก็หันไปหาออสการ์ด้วยใบหน้าไต่สวนนักโทษอย่างไม่รู้ตัว ก่อนจะเอ่ยปากถาม

“แล้วนายจะให้ความร่วมมืออะไรนะ”

“…ผมจะบอกทุกอย่างที่ทราบครับ”

“นายต้องการอะไรจากการขายตระกูลและพรรคพวกล่ะ”

“…ไม่ต้องการอะไรครับ ผมแค่หวังว่าจะไม่มีพวกที่ทำให้อาณาจักรเกิดความวุ่นวายอีกต่อไปก็เท่านั้นเองครับ”

เขาพูดจริง เพราะถ้าอาณาจักรสงบ อาเรียก็จะสบายใจไปด้วย

ทว่าอาซนั้นพยายามหาเจตนาอันไม่บริสุทธิ์ที่อยู่ในตัวออสการ์ออกมา

“บุตรตระกูลดยุกนี่ช่างเป็นนักฉวยโอกาสเสียจริงๆ นายมันเป็นพวกนอกคอกที่ไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้ในเอกสารใดๆ ต่างจากท่านดยุกและดัชเชสไอซิส แต่นายก็สมควรที่จะได้รับโทษเดียวกันกับพวกเขาในฐานะที่เป็นผู้สืบทอดของตระกูลแกนนำกบฏ แต่ว่า… นายก็เริ่มมาเปิดโปงความผิดของคนอื่นๆ อย่างนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงโทษสถานหนัก”

ถึงแม้สีหน้าและท่าทางของเขาจะอธิบายอย่างชัดเจนว่าเขาไม่ได้มีเจตนาจะทำเช่นนั้น แต่อาซก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แล้วเหน็บแนมเขา เพราะเขาสามารถพ้นโทษประหารตัดหัวด้วยการให้ความร่วมมือและเปิดโปงพวกกบฏได้จริงๆ

หลังจากที่อาซเสียเวลามากมายไปกับการติเตียนออสการ์ด้วยคำพูดอันไร้ประโยชน์ราวกับเขามีเรื่องสั่งสมมามาก ทั้งที่เขาก็ไม่ได้มีเวลาเหลือเฟือขนาดนั้น เขาก็หยิบยกประเด็นหลักขึ้นมาพูดเหมือนกับเขาพอใจแล้ว

“ตอนนี้เราอยู่ในจุดที่เพิ่งเริ่มสอบสวน ฉะนั้นช่วยอยู่ที่ราชวัง แล้วให้ความร่วมมือด้วย เดี๋ยวจะส่งเอกสารตามไปอีกไม่นาน ส่วนเรื่องห้อง นายพักอยู่ที่นี่จะดีกว่า”

“…เข้าใจแล้วครับ”

“ฉันมีข้อมูลเหลือเฟือแล้วก็จริง แต่ถ้าได้คำให้การของผู้สืบทอดตระกูลดยุกเฟรดเดอริกเพิ่มไปอีกก็คงจะดีกว่า ถึงจะต้องเสียนามสกุลเฟรดเดอริกไปในอีกไม่ช้าแล้วก็เถอะนะ”

อาซหมุนตัวออกจากห้องไป หลังจากเผยความเป็นปรปักษ์ต่อออสการ์ด้วยคำพูดเหน็บแนมจนถึงที่สุด

ออสการ์ถูกทิ้งให้เหลืออยู่คนเดียวภายในห้องที่ล้อมรอบไปด้วยความเงียบสงัดภายในชั่วพริบตา เขาถอนหายใจที่กลั้นไว้ออกมาอย่างสุดกลั้น

…………………………………………