ด้วยกับดักของอาซที่ถูกวางอย่างแน่นหนาจนไม่มีใครสามารถเล็ดลอดออกไปได้และความช่วยเหลืออย่างกระตือรือร้นจากออสการ์ ทำให้การสืบสวนพรรคขุนนางดำเนินไปอย่างไม่เว้นวัน

แน่นอนว่าในตอนแรกทุกคนยืนยันในความบริสุทธิ์ของตัวเอง แต่ก็โดนมัดตัวด้วยหลักฐานรายละเอียดงบดุลค่าใช้จ่ายที่ตัวเองส่งไป

บางทีนั่นอาจจะเป็นสาเหตุที่พวกที่เปลี่ยนทีท่าเริ่มปรากฏตัวขึ้น

“กระผมทำเพื่อเอาชีวิตรอด ก็เลยช่วยไม่ได้ครับ… กระผมแค่แกล้งทำเพียงเท่านั้นครับ! แน่นอนอยู่แล้วครับ ท่านดยุกกับเลดี้ไอซิสไหว้วานมา แล้วกระผมจะปฏิเสธลงได้อย่างไรครับ! กระผมคิดจะหักหลังในตอนสุดท้ายด้วยครับ! ตามสามัญสำนึกแล้ว กระผมจะกล้าก่อกบฏในอาณาจักรที่ผมถือกำเนิดและเติบโตมาได้อย่างไรกันครับ! กระผมแค่แกล้งทำเท่านั้นเองครับ!”

ไวเคานต์เมอรีอาร์ตตะโกนเสียงดัง

เสียงยืนกรานว่าไม่ได้รับความยุติธรรมนั้นดังจนไม่สมกับเป็นขุนนางชั้นสูง ขุนนางสิบคนยืนกรานแบบเดียวกันราวกับเตี๊ยมกันมา

เพราะถึงแม้เหตุผลที่เถียงมานั้นไม่น่าเชื่อถือเลยแม้แต่นิดเดียว แต่มันก็ไม่มีทางอื่นนอกเสียจากการทำเช่นนั้นแล้ว พวกเขาหวังว่าถ้าถ่วงเวลาออกไปได้สักหน่อย ก็น่าจะพอหาทางหนีออกไปได้ในระหว่างนั้น

“อืม อย่างนั้นหรือครับ ถ้าเช่นนั้นกระผมจะตรวจดูอีกทีนะครับ”

ผู้สอบสวนที่พบวิธีจัดการออกมาจากห้องสอบสวนพักหนึ่ง เพราะพวกเขาใช้วิธีเดิมมาตลอดสามวัน

เขาจะยืนยันความจริงที่ไม่สามารถหาหลักฐานมายืนยันให้แน่ชัดได้อย่างไร

ไวเคานต์เมอรีอาร์ตจึงเต็มไปด้วยความสงสัยและเฝ้ารอให้ผู้สอบสวนกลับมา ทว่าผู้สอบสวนที่มาปรากฏตัวอีกครั้งนั้น ไม่ได้มาเพียงคนเดียว แต่มากับใครอีกคนหนึ่ง

“วิ วิการ์…”

คนนั้นก็คือวิการ์ผู้รู้เห็นเกี่ยวกับเรื่องในครั้งนี้ทั้งหมด

ไม่สิ เขาไม่ได้รู้แค่เรื่องในครั้งนี้เท่านั้น แต่เขารู้ทุกอย่างเกี่ยวกับพรรคขุนนาง เนื่องจากเหล่าขุนนางของพรรคขุนนางมักจะได้รับคำแนะนำจากวิการ์อยู่เสมอ

เพราะเขาให้คำแนะนำที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์มาตลอด ทำให้ทุกคนไว้วางใจเขา และเล่าเรื่องต่างๆ อย่างเปิดอก ดังนั้นจึงไม่มีเรื่องเกี่ยวกับพรรคขุนนางเรื่องไหนที่เขาไม่รู้

“ไม่ได้เจอกันเสียนานนะครับ อ๊ะ จริงๆ ก็ไม่ได้นานขนาดนั้นใช่ไหมครับ”

เรื่องที่เขาเป็นสายสืบให้เจ้าชายนั้นเป็นที่รู้กันอย่างกว้างขวางชนิดที่ว่าไม่มีใครหน้าไหนที่ไม่รู้เรื่องนี้ ทำให้ไวเคานต์เมอรีอาร์ตชำเลืองตามองวิการ์อย่างระแวดระวัง

“คุณตั้งใจจะหักหลังในตอนสุดท้ายเหมือนกับผมอย่างนั้นหรือครับ”

วิการ์ถามพร้อมกับเผยยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มเยาะอันหยาบช้าสมกับเป็นสายสืบ

“…ใช่แล้วครับ”

ไวเคานต์ยอมรับพลางกระแอมไอ ทันใดนั้นเสียงหัวเราะของวิการ์ก็ดังขึ้น

“รบกวนช่วยออกจากห้องไปสักครู่หนึ่งได้ไหมครับ”

“…หมายถึง กระผมหรือครับ”

ผู้สอบสวนถามพลางชี้นิ้วไปที่ตัวเอง แล้ววิการ์ก็พยักหน้าตอบรับ

“ครับ ใช้เวลาไม่นานครับ”

“…เข้าใจแล้วครับ”

ใครจะกล้าขัดขืนคำพูดของเขาผู้เป็นถึงมือขวาของเจ้าชายกันได้ล่ะ

ผู้สอบสวนออกไปจากห้องทันที และเมื่ออัศวินที่เฝ้าประตูอยู่จากไป วิการ์ก็มานั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามกับไวเคานต์ ก่อนจะเอ่ยปากถาม

“ถ้าคุณไม่มีข้อแก้ตัวที่ดีกว่านี้… คุณคิดว่าข้อแก้ตัวนั้นมันจะได้ผลจริงๆ หรือครับ”

ไวเคานต์ปิดปากแน่นกับคำถามเยาะเย้ยของวิการ์

เพราะเขาเองก็รู้อยู่แก่ใจว่ามันคงไม่ได้ผล แต่เขาแค่พยายามดิ้นรนจนถึงที่สุดเท่านั้นเอง เขารู้ว่าต่อให้ถ่วงเวลาต่อไปแบบนี้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร

“ผมจะให้คำแนะนำอะไรอย่างหนึ่งเพราะเห็นแก่วันเก่าๆ นะครับ”

ไวเคานต์เบิกตากว้างกับคำพูดของเขาที่ฟังดูราวกับว่าเขาจะให้ความช่วยเหลือ

แล้วแววตาของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นแววตาเคลือบแคลงความสงสัยในทันที แววตาที่สงสัยว่าเขาจะมาให้คำแนะนำอะไรเอาป่านนี้ ในเมื่อเขาเป็นคนทำให้เขาต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้

วิการ์พูดพร้อมกับยิ้มอย่างอ่อนโยนราวกับอ่านความคิดของเขาออก

“ไม่รู้หรือว่าผมน่ะคิดกับท่านไวเคานต์แบบพิเศษ”

“พะ พิเศษอย่างนั้นหรือ!”

ช่างเป็นคำพูดที่แปลกประหลาดเสียจริง ไวเคานต์เมอรีอาร์ตถามกลับคำพูดอันไม่คาดคิดนั้นด้วยความตกใจ

“อ๊ะ อย่าเข้าใจผิดนะครับ มันไม่ได้มีความหมายแปลกๆ อะไรหรอก ผมหมายถึงผมจับตาดูคุณ เพราะคุณทำธุรกิจเก่งน่ะครับ ผมถึงได้ให้ข้อมูลนู่นนี่แก่ท่านไวเคานต์ใช่ไหมล่ะครับ”

วิการ์ตอบด้วยสีหน้าจริงจัง ตอนนั้นเองไวเคานต์ถึงได้รู้สึกวางใจ

จะว่าไปแล้วก็นึกถึงเรื่องในอดีตที่เขาให้ข้อมูลหลายอย่างแก่ตัวเองออก ต้องขอบคุณเขาที่ทำให้ธุรกิจดำเนินไปอย่างราบรื่น

พอเขาลดการระแวดระวังลง วิการ์ก็พูดต่ออย่างไม่ปล่อยให้เกิดช่องว่าง

“ถึงอย่างไรคุณก็รู้ว่าคุณไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้อย่างปลอดภัยได้อยู่แล้ว ฉะนั้นก็ต้องคิดถึงการลดความเสียหายให้ได้มากที่สุดครับ”

“…จะต้อง ทำอย่างไรหรือครับ”

“ง่ายนิดเดียวครับ ต้องเปิดโปงยังไงล่ะครับ”

เปิดโปง ใคร

ไวเคานต์ได้แต่กะพริบตาและไม่ได้ตอบอะไรกลับไป วิการ์จึงอธิบายต่ออีกครั้ง

“คุณต้องเปิดโปงใครก็ตามที่ปฏิเสธข้อกล่าวหาเช่นเดียวกับคุณครับ เปิดโปงและรับการลดหย่อนโทษครับ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าแอบฟ้องน่ะครับ”

“…ผะ ผมจะไปทำเรื่องน่ารังเกียจแบบนั้นได้อย่างไรครับ!”

ไวเคานต์แผดเสียงออกมาด้วยความโกรธ และตอบอย่างเฉียบขาดว่าไม่มีทางทำเรื่องแบบนั้นได้ ราวกับคำว่าเปิดโปงและแอบฟ้องนั้นไปทำให้เขาไม่ชอบใจ

วิการ์เห็นท่าทีของเขาแล้วก็เดาะลิ้น บอกว่าเขาช่างโง่เสียจริงๆ

“ถึงจะบอกว่าเป็นการเปิดโปง แต่ก็ไม่มากเกินไปกว่าการพูดถึงความผิดบาปที่มีอยู่แล้วหรอกนะครับ ถ้าคุณพูดความจริง แล้วรักษาชีวิตเอาไว้ได้มันจะไม่ดีกว่าโดนแขวนคอโดยที่ไม่พูดความจริงอยู่แบบนี้หรือครับ สุดท้ายถ้าคุณตาย ชีวิตก็จบอยู่ดีนะครับ”

“….”

เมื่อเขาพูดถึง ‘ความตาย’ ที่ถูกกำหนดไว้แล้วกับชายผู้โง่เขลา สีหน้าของไวเคานต์ก็ซีดลงอย่างเห็นได้ชัด ต่างจากตอนที่คิดอยู่ในหัวเพียงคนเดียว คำว่า ‘ตาย’ ที่ได้ยินออกมาจากปากคนอื่นนั้นมากเพียงพอที่จะสร้างความตึงเครียดให้แก่เขา

วิการ์ถามยืนยันอีกครั้ง

“คุณจะยอมบอกเรื่องที่คุณรู้ แล้วมีชีวิตรอดออกไป หรือว่าจะขัดขืนอย่างนี้ต่อไป แล้วตายอย่างไร้ความหมายล่ะครับ”

“…”

ตาย ฉันจะตาย

ถ้าฉันอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไรแบบนี้ ก็จะหนีไม่พ้นจากความตาย

เหงื่อจากหน้าผากของไวเคานต์เมอรีอาร์ตผู้ที่จมหายไปในความคิดโดยไม่มีคำพูดใดๆ ออกมา ไหลลงมาผ่านแก้มและคางเขา แล้วหยดลงบนโต๊ะ แม้จะไม่มีคำตอบ แต่เขาก็คงรู้อยู่แก่ใจว่ามีทางเดียวเท่านั้นที่เขาจะมีชีวิตรอดอยู่ต่อไปได้

ก่อนวิการ์ที่หมดธุระแล้วจะออกจากห้องไป เขาได้ทิ้งคำแนะนำสุดท้ายเพิ่มเสริมเข้าไปที่จะช่วยให้เขาตัดสินใจได้ง่ายขึ้น

“ผมได้ยินมาว่าออสการ์ผู้สืบทอดตระกูลดยุก เฟรดเดอริกก็ได้รับการประกันชีวิตแบบนั้นเหมือนกันครับ เรื่องนั้นท่านไวเคานต์อาจจะรู้อยู่แล้วก็ได้นะครับ”

ออสการ์ เฟรดเดอริก พอได้ยินข่าวลือมาบ้างก็จริง แต่เขาเอาชีวิตรอดด้วยวิธีนั้นจริงๆ น่ะหรือ! ไวเคานต์นึกเรื่องที่เขาเดือดพล่านหลังจากได้ยินข่าวลือที่ว่าเขาเพิ่งไปอยู่ฝั่งเดียวกับเจ้าชายและย้ายไปอยู่ที่ราชวัง

เรื่องไม่กี่วันที่ผ่านมานี่เอง เขาด่ากราดออสการ์ไปว่าออสการ์ทำอะไรขี้ขลาดไม่รู้จักโต แต่ถ้ามันสามารถทำให้เขารอดชีวิตไปได้จริงๆ… ทำอย่างนั้นมันจะไม่ดีกว่าหรือ

“แม้ผมจะเป็นคนทรยศ แต่ผมก็ไม่อยากเสียท่านไวเคานต์ไปทั้งแบบนี้ ฉะนั้นผมหวังว่าท่านไวเคานต์จะตัดสินใจได้อย่างถูกต้องนะครับ และเพราะสิ่งที่คนรุ่นหลังจะจดจำกันก็คือคนที่ลงโทษพวกกบฏและเหลือรอดชีวิตออกไป ไม่ใช่คนที่ตายด้วยโทษฐานกบฏครับ ความอับอายมันอยู่แค่ชั่วคราวนะครับ ท่านไวเคานต์”

เพราะประวัติศาสตร์มักจะเขียนถึงผู้ชนะในทางที่ดีเสมอไงล่ะครับ” วิการ์ที่คำพูดนั้นไว้ แล้วออกจากห้องไปอย่างไร้เยื่อใย

แล้วผู้สอบสวนและอัศวินก็กลับเข้ามาทันทีอย่างไม่เว้นช่องว่าง และเริ่มการสอบสวนที่หยุดไว้ก่อนหน้านี้อีกครั้ง

“คุยอะไรกันหรือครับ”

ผู้สอบสวนถามด้วยน้ำเสียงคมชัด สายตาของเขาเป็นสายตาที่เคลือบแคลงไปด้วยความสงสัยในบทสนทนาระหว่างวิการ์ เพราะท่าทีของไวเคานต์ต่างไปจากตอนแรกมาก

และแล้ว

“…กระผมจะบอกทุกอย่างที่ทราบครับ”

ผู้สอบสวนเบิกตากว้างเมื่อได้ยินคำพูดของไวเคานต์ที่เปลี่ยนไปอย่างว่านอนสอนง่ายราวกับเขาไม่เคยคัดค้านมาก่อน แล้วถามเขากลับ

“ท่านพูดว่าอะไรนะครับ”

“เรื่อง เรื่องที่ผมทำลงไปน่ะครับ กระผมยอมรับทั้งหมด และสำนึกความผิดบาปแล้ว…  แล้วก็…”

ผู้สอบสวนพยักหน้ารอคำพูดสุดท้ายของเขา เพราะเขายังพูดไม่จบ

ไวเคานต์สังเกตท่าทีของผู้สอบสวนและลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกลืนน้ำลายดังเอื๊อกและพูดต่อ

“แล้วก็… ถ้ากระผมบอกความจริงเกี่ยวกับคนอื่นๆ ที่ปฏิเสธ มันจะ มันจะช่วยชีวิตกระผมได้ไหมครับ…”

 เมื่อได้ยินไวเคานต์สารภาพคำที่เขารอคอยมานาน ผู้สอบสวนพยายามกลั้นหัวเราะที่จะหลุดออกมา แล้วตอบกลับ

“ก็คงจะอย่างนั้นไม่ใช่หรือครับ เพราะเจ้าชายท่านเป็นคนใจกว้างน่ะครับ ความผิดพลาดแค่ครั้งเดียวท่านให้อภัยอยู่แล้วครับ อีกทั้งยังอยู่ในการรับรองจากกฎหมายของอาณาจักรด้วยครับ เรื่องที่ผู้ที่ให้ความร่วมมือกับการสืบสวนจะได้รับการลดหย่อนโทษน่ะครับ”

ไวเคานต์ได้รับคำตอบที่เป็นราวกับเชือกช่วยชีวิต แล้วเขาก็ทำหน้าของผู้เปิดโปงขึ้นมาทันที

เขาถามเพื่อเป็นการยืนยันอย่างระมัดระวังอีกครั้ง

“รับประกันไหมว่าจะเป็นความลับ…”

“ครับ แต่แน่นอนว่ากระผมจะต้องรายงานต่อเจ้าชาย ฉะนั้นไม่ว่าอย่างไรก็คงจะมีชื่อของท่านหลงเหลือไว้ในเอกสารการสอบสวนน่ะครับ”

คำพูดที่ว่าจะมีชื่อของเขาหลงเหลือไว้ในเอกสารการสอบสวนนั้นทำให้เขาไม่ค่อยสบายใจ แต่เขาก็คิดว่ามันเป็นเรื่องปกติที่เจ้าชายจะต้องได้รู้ว่าใครเป็นคนเปิดโปง

ถ้ามีเวลาอีกสักนิดและถ้ามันไม่ใช่เรื่องถึงชีวิต เขาคงจะคิดไตร่ตรองเรื่องนี้อีกครั้งอย่างรอบคอบ แต่เขาไม่ได้มีเวลาคิดเหลือเฟือ เพราะมันเป็นสถานการณ์ที่มีชีวิตของตัวเองเป็นประกัน

“…ถะ ถ้าอย่างนั้นกระผมจะบอกทุกอย่างเองครับ”

แววตาของไวเคานต์ที่ตัดสินใจได้แล้วในที่สุด ก็ดูแน่วแน่ขึ้นมา มันเป็นดวงตาที่พร้อมจะขายคนอื่นและเอาชีวิตรอด

เขาไม่รู้ตัวเลยว่าความผิดบาปของเขานั้นได้ใหญ่หลวงเกินไปแล้ว และต่อให้เขาได้รับการลดหย่อนผ่อนโทษไป ก็ไม่มีประโยชน์อะไร

ด้วยผลลัพธ์อันน่าพึงพอใจนี้ ผู้สอบสวนเสิร์ฟน้ำชาอุ่นๆ แก่นักโทษ และการสอบสวนก็เริ่มดำเนินต่อไปอย่างราบรื่นเหมือนกับติดปีก

* * *

ข่าวลือที่ว่ามีคนเริ่มแอบฟ้องนั้นแพร่กระจายไปยังผู้ที่ถูกจับกุมตัวอย่างรวดเร็ว

ข่าวนั้นแพร่ไปพร้อมกับข่าวลือของออสการ์ ข่าวลือที่ว่าถ้าใครแอบฟ้องก็จะเอาชีวิตรอดไปได้

ถึงแม้จะไม่ทราบแหล่งที่มา แต่มันก็เป็นที่แน่ชัด เพราะผู้สอบสวนรู้ข้อมูลที่ไม่มีทางรู้มาได้เลยถ้าไม่มีใครไปแอบฟ้องเขา

ใครกันแน่

ต่างคนต่างเริ่มสงสัยกันเองภายในชั่วพริบตา เพราะชื่อของคนที่ทำเช่นนั้นไม่ได้ถูกเปิดเผยอย่างชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้นสถานการณ์ยังเลวร้ายลงจนควบคุมไม่อยู่ เพราะไวเคานต์เมอรีอาร์ตที่เป็นคนแอบฟ้องจริงๆ แสร้งทำเป็นว่าตัวเองไม่ได้ทำ แล้วโมโหและอาละวาด

ยิ่งไปกว่านั้นข่าวลือแพร่สะพัดไปทั่วว่าถ้าแอบฟ้องเหมือนที่คนนั้นและออสการ์ทำ อาจจะเอาชีวิตรอดออกมาได้ก็ได้ ทำให้เหล่าขุนนางเริ่มขัดแย้งไม่ปรองดองกันเอง ถ้าตัวเองไปแอบฟ้อง แล้วร้องขอชีวิตจะดีกว่าไหม

“…ออสการ์ไม่สำเหนียกเลยว่าตัวเองมันคนละชั้นกับพวกเราแท้ๆ!”

เคนที่ได้ยินข่าวลือก็เกิดโมโห เสียงของเขาสะท้อนไปทั่วโถงทางเดินอันเงียบสงัด

ในน้ำเสียงของเคนนั้นแฝงความแน่วแน่ว่าให้ตายอย่างไรเขาก็จะไม่ยอมจำนน มันเป็นความตั้งใจอันแน่วแน่ที่จะปกป้องเกียรติของขุนนางไว้จนถึงที่สุด

ไอซิสที่ถูกขังอยู่ในห้องข้างๆ เคน กำหมัดของเธอแน่น หลังจากได้ยินเสียงของเขา

“กล้าดียังไง…”

ความป่าเถื่อนครอบงำคำพูดที่เธอพูดออกมาคนเดียว เธอถูกโรฮันกับอาซหักหลังยังไม่พอ เธอยังถูกเหล่าขุนนางที่อยู่ฝ่ายเดียวกันมาตลอดและน้องในไส้หันหลังให้อีก สำหรับเธอแล้ว เธอไม่สามารถยอมรับสถานการณ์นั้นได้เลย

ยิ่งไปกว่านั้น

“…ทั้งหมดนี่ก็เป็นเพราะท่านไอซิสนั่นแหละค่ะ”

มิเอลที่ถูกขังอยู่ในห้องเดียวกันเอาแต่ทำให้เธอเป็นเจ็บปวดไม่หยุดหย่อน เธอไม่ได้ทำให้ไอซิสเจ็บปวดทางด้านร่างกาย แต่เธอเอาแต่โยนภาระความรับผิดชอบทั้งหมดให้ไอซิส ทำให้จิตใจของเธอถูกทำลายทั้งวันทั้งคืน

“ตอนแรกฉันก็ไม่ได้ขัดขืนเจ้าชายเสียหน่อย… ฮึกๆ…”

มิเอลหยิบยกเรื่องในอดีตที่สายไปแล้วขึ้นมาพูดพลางทำท่าจะร้องไห้ สภาพของเธอดูไม่ค่อยดีนัก และเพราะสิ่งที่เธอได้ยินจากอาเรียตอนก่อนที่เธอจะถูกจับ

ขอให้เมตตาอย่างนั้นหรือ นางชั่วนั่นน่ะนะ ทั้งที่เป็นแค่ลูกสาวโสเภณีที่ซ่อนจิตใจชั่วร้ายเอาไว้น่ะนะ

มิเอลคิดไตร่ตรองคำพูดของอาเรียที่ปกป้องเธอในช่วงหลายวันที่ผ่านมา พลางพูดพึมพำคนเดียวว่าอาเรียจะปล่อยให้เธอตายไปช้าๆ อย่างทุกข์ทรมานแน่นอน เธอหลับๆ ตื่นๆ อย่างเช่นบางครั้งเธอก็ตื่นขึ้นมาด้วยความหวาดกลัวและเกิดอาการชัก

“…ถ้าเลดี้มิเอลทำตามที่ฉันบอกให้ดีตั้งแต่แรก เรื่องมันก็คงไม่กลายเป็นแบบนี้หรอกค่ะ!”

ถ้ามิเอลจัดการกับอาเรียได้ดีล่ะก็ ถ้าเป็นแบบนั้นเจ้าชายก็คงไม่ชายตามองเธอ แล้วเรื่องก็คงไม่กลับตาลปัตรมาเป็นแบบนี้ ไอซิสเถียงกลับไปอย่างแรง

“ฉันไม่น่าตามท่านไอซิสเลย… ดัชเชสทำพวกเราทุกคนพังหมดเลย…!”

มิเอลพูดราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่ไอซิสพูด น้ำตาของเธอหลั่งไหลลงมาไม่หยุดจากดวงตาที่บวมเป่ง

เธอดูเหมือนจะเสียสติไปแล้ว เรื่องนี้เกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมาไม่รู้กี่วันแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไร

“…หุบปากสักทีได้ไหม!”

ถึงอย่างนั้นไอซิสก็ทนต่อไปไม่ไหว แล้วแผดเสียงออกมา เพราะไอซิสเองก็ไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีเท่าไรนัก

เธอเฝ้ารอทนายพลางสัมผัสความรู้สึกที่เลือดของเธอเย็นลงไปในสถานการณ์ที่ทุกอย่างเป็นไปตามแผนการของเจ้าชายทั้งหมด แต่ก็ไม่มีใครมาหาเธอเลยสักคน

ไม่สิ หาไม่ได้ต่างหาก เพราะพวกที่เห็นพ้องต้องกันกับเธอทุกคนก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้นเธอถูกยึดทรัพย์สินไปหมดไม่เหลืออะไรเลย เช่นเดียวกับเหล่าขุนนางคนอื่น

เธอจึงนั่งลงราวกับเป็นตุ๊กตาพัง ตกลงสู่ห้วงความรู้สึกผิดหวังที่ไม่อาจหยั่งรู้ความลึกได้ แต่แล้วจู่ๆ เธอก็ได้ยินเสียงที่คุ้นเคย

“มิเอล”

พอเงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นอาเรียที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นต้นตอของเรื่องทั้งหมดนี้ยืนอยู่

บัดนี้เธองดงามราวกับนางฟ้าที่ลงมาจากสวรรค์ เธอสวมเสื้อผ้าหรูหราที่ไอซิสและมิเอลไม่สามารถเพลิดเพลินเสพสุขได้

แม้เธอจะเป็นหญิงสาวที่ทำให้ตัวเองต้องตกลงมาอยู่ในนรก แต่ด้วยความงดงามอย่างแท้จริงของเธอแล้ว ทำให้มิเอลพูดอะไรไม่ออก ขนาดที่ความซอมซ่อและความละอายใจที่เธอไม่เคยแม้แต่จะได้สัมผัสมันแม้แต่ครั้งเดียวนั้นไหลไปทั่วร่างของเธอ

ทำไมกัน

เธอเป็นหญิงที่มีชาติกำเนิดต่ำต้อยกว่าใครๆ แท้ๆ แต่ทำไมเธอถึงได้งดงามขนาดนั้น คนที่ต้องรู้สึกแบบนี้ไม่สมควรจะเป็นฉัน แต่เป็นหญิงคนนั้นแท้ๆ…!

“เป็นอะไรไหม”

“…!”

มิเอลตกใจและกรีดร้องอย่างไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมากับวิธีการพูดอย่างรักใคร่ของเธอ เธอมีสีหน้าราวกับได้เห็นมัจจุราช

“น่าสงสารจังเลย… หน้าเธอช้ำไปหมดแล้ว”

จริงอยู่ว่าน้ำเสียงของเธอฟังดูเป็นห่วง แต่ไม่รู้ว่าภายในนั้นแฝงอะไรไว้ เธอจึงสั่นกลัวอย่างรุนแรง

“เธอไม่ต้องกลัวอีกต่อไปแล้วนะ ฉันจะทิ้งน้องสาวเพียงคนเดียวของฉันได้ลงคอได้อย่างไรกันล่ะ ใช่ไหม”

อาเรียพูดพร้อมเผยยิ้ม แล้วทำไม้ทำมือกับอัศวินที่มากับเธอ

ในมือของเขามีกุญแจที่สามารถเปิดกรงเหล็กแข็งของเรือนจำนี้อยู่

…………………………………………………………