ตอนที่ 1975
ในเวลากลางคืน ณ ลานประลองของเมืองไพลิน
ลานประลองแห่งนี้มีพื้นที่กว้างใหญ่อย่างมาก เพียงพอที่จะรองรับผู้คนกว่าหลายล้านคน ที่นั่งบนอัฒจันทร์เรียงซ้อนกันอย่างแน่นขนัด
ทว่าลานประลองตรงกลางก็มีพื้นที่ครอบคลุมกว่าหลายพันกิโลเมตร แม้แต่รอบๆก็ยังติดตั้งค่ายกลยับยั้งไว้ พลังอํานาจปกติทั่วไปไม่สามารถสร้างความเสียหายให้กับลานประลองได้แม้แต่นิดเดียว
บรรดาผู้ชมก็กําลังนั่งอยู่บนอัฒจันทร์ ถูกปกป้องไปด้วยบาเรียโปร่งใส จะไม่ได้รับผลกระทบใดๆจากการประลองนี้
ในช่วงเวลานี้ เซียปิง ซื้ออันและอัจฉริยะคนอื่นๆจากศูนย์กลางของจักรวาลก็กําลังรอให้การประลองเริ่มต้นขึ้น บนอัฒจันทร์ก็เต็มไปด้วยผู้ชม แทบที่จะไม่มีที่ว่าง เห็นได้ชัดว่าการประลองนี้ได้รับความสนใจมากแค่ไหน
“ใครจะเป็นคนแรก?”
ชื่ออันก็มองไปที่ผู้คนรอบๆ ต้องการที่จะถามว่าใครจะออกไปประลองเป็นคนแรก
ในช่วงเวลานี้ทุกๆคนต่างก็เงียบลง ไม่เต็มใจที่จะเอ่ยออกมา ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีความมั่นใจในพลังอํานาจของตนเอง ทว่าถึงอย่างไรเซียปิงก็เคยเอาชนะเฟิงซิงอรี่ จางหาวและเม็งเจิ้นชุนมาก่อน
ต่อให้พวกเขาจะประเมินความสามารถของฝ่ายตรงข้ามต่ําแค่ไหน มันก็ยังคงมีขีดจํากัด
ผู้ที่ออกไปเป็นคนแรกจะเป็นผู้ที่เผชิญกับอันตรายมากที่สุด เพราะยังไม่ได้เห็นไพ่ในมือของฝ่ายตรงข้าม และยังไม่รู้ถึงพลังอํานาจที่แท้จริงของฝ่ายตรงข้ามเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงลังเลกันอย่างมาก ต้องการที่จะหยั่งเชิงสถานการณ์ก่อน
“พวกเจ้าแต่ละคนต่างก็กังวลใจจนเกินเหตุ ยังกล้าเรียกตนเองว่าเป็นลูกศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการเริ่มต้นอีกหรือ? เพียงแค่เด็กบ้านนอกจากทางตะวันออกของจักรวาล ข้าเหมียวหวี่ซวงสามารถเอาชนะเขาได้ภายในหนึ่งนาที”
ในตอนนี้ชายหนุ่มคนหนึ่งที่สวมใส่เสื้อลายดอกก็ตะโกนออกมา บ่งบอกว่าตนเองจะเป็นคนแรกที่ขึ้นไปประลอง
“ไม่คาดคิดว่าเหมียวหวี่ซวงจะเป็นคนแรกที่ลงมือ?! ดูเหมือนว่ามันจะเป็นการต่อสู้ที่ดุเดือดตั้งแต่ครั้งแรก”
“ใครคือเหมียวหวี่ซวง?”
“เจ้าไม่รู้จักเขางั้นรึ? ดูเหมือนว่าเจ้าจะได้ความรู้และประสบการณ์จริงๆ เจ้านี่คือทายาทโดยตรงของเซนต์ในตระกูลเหมียว เลื่อนขั้นขึ้นมาในระดับกฎเทวรูปขั้นสูงสุดด้วยอายุเพียงแค่ห้าร้อยปีเท่านั้น ถูกมองว่าเป็นหนึ่งใน ทายาทของตระกูลเหมียวที่มีความหวังในการเลื่อนขั้นเป็นเซนต์ที่สุด ว่ากันว่าบรรพบุรุษเก่าแก่ของตระกูล เหมียวก็เห็นความสําคัญของเขาเป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงได้สนับสนุนการบ่มเพาะของเขามาโดยตลอด”
“เป็นอย่างนี้นี่เอง ดูเหมือนว่าเจ้านี่คงจะเอาชนะเซี่ยงได้อย่างง่ายดาย
“เป็นจริงอย่างที่ว่า ถึงแม้ว่าเหมียวหวี่ซวงจะไม่ได้ถึงกับเป็นศิษย์นอกอันดับต้นๆของดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการเริ่มต้น ทว่าพลังการต่อสู้ของเขาก็ไม่ใช่สิ่งที่จะประมาทได้เลย เป็นที่ประจักษ์ชัดเจนต่อทุกๆคน ไม่มีทาง ที่จะพ่ายแพ้ให้ใครง่ายๆ”
ผู้คนก็พูดคุยกันด้วยอารมณ์ที่ล้นหลาม ผู้คนจํานวนมากก็รู้จักเจ้าเหมียวหวี่ซวงผู้นี้อย่างชัดเจน ฝ่ายตรงข้ามก็เป็นหนึ่งในยอดฝีมือที่ทรงพลังในเมืองไพลินแห่งนี้ มีเพียงน้อยคนที่จะเป็นคู่มือให้กับเขาได้
“เหมียวหวี่ซวง เจ้าจะต้องระวังตัวไว้ ถึงอย่างไรเจ้าเด็กนั่นก็เคยเอาชนะเฟิงซิงอวี่ จางหาวและเม็งเฉินชุนมาก่อน บางทีเขาอาจจะมีไพ่ตายที่ทรงอานาจซ่อนอยู่”
ชื่ออันก็เอ่ยเดือนออกมา
“เฟิงซิงอวี่ จางหาวและเมิงเจิ้นชุนทั้งสามนั่นเป็นเพียงแค่บุคคลไร้น้ํายาเท่านั้น มีที่ไหนที่จะเทียบกับข้าเหมียวหวี่ซวงได้”
เหมียวหวี่ซวงก็พูดออกมาอย่างภาคภูมิใจ “ใครกันที่จะไม่รู้ว่าข้าเหมียวหวี่ซวงเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญความสา มารถศักดิ์สิทธิ์36กระบวนท่า ไม่ว่าจะเป็นย่างก้าวตะวันจันทรา แรงโน้มถ่วงคณานับ ฝ่ามือปีศาจจองจํา กระบองโกลาหลหกวิถี พลังงานวารีพันชั้น กรงเล็บวิหคคลั่งผนึกจักรวาล…..”
“ความสามารถศักดิ์สิทธิ์แต่ละกระบวนท่าต่างก็มีพลังอํานาจที่สะเทือนน้ําสะเทือนบก สามารถที่จะฉีกทําลายพื้นพิภพได้อย่างง่ายดาย ทําลายล้างสวรรค์และแผ่นดิน หากแสดงออกมาทั้งหมด มันจะมีพลังอํานาจที่ แม้แต่ข้าก็ยังต้องเกรงกลัว”
“เด็กบ้านนอกที่มาจากตะวันออกของจักรวาลผู้นี้ คงจะพบยอดฝีมือมาไม่มาก ทว่ากลับต้องการที่จะต่อสู้กับข้าเหมียวหวี่ซวงผู้นี้ ช่างไม่รู้ซะแล้วว่าความตายสะกดอย่างไร”
เขาก็ยืนไขมือไว้ข้างหลังทั้งสองข้าง เชิดหน้าชูตา หยิ่งผยองอย่างถึงที่สุด
“ข้าเพียงคิดว่าเจ้าไม่ควรที่จะประมาทจนเกินไป”
ซื้ออันก็พูดเตือนสติด้วยความหวังดีเท่านั้น เขาไม่ต้องการให้เหมียวหวี่ซวงประมาทฝ่ายตรงข้ามจนเกินไป เพราะถึงอย่างไร แม้แต่สิงโตที่ต่อสู้กับกระต่าย มันก็ต้องพยายามสังหารฝ่ายตรงข้ามอย่างเต็มที่
“ไสหัวไปซะ อย่านาข้าเหมียวหวี่ซวงไปเปรียบกับบุคคลไร้น้ํายาอย่างพวกเจ้า เจ้าพวกมดปลวก ต้องการให้ ข้าระวังตัว ภายใต้ความห่างชั้นของพลังอํานาจ ไม่มีความจําเป็นที่จะต้องระวังตัว!”
เหมียวหวี่ซวงก็พูดอย่างเหยียดหยาม “รอดูก่อนเถอะ ข้าจะแสดงความสามารถศักดิ์สิทธิ์ทั้ง36กระบวนท่า ออกมา สั่งสอนเจ้าเด็กนั้น ทําให้เขารู้ว่าจักรวาลกว้างใหญ่เพียงใดและตนเองต่ําต้อยเพียงใด อย่าคิดว่าการที่เอาชนะบุคคลที่ไร้น้ํายาเพียงแค่ไม่กี่คนแล้วจะมาวางมาดใหญ่โตที่ศูนย์กลางของจักรวาลและดินแดนศักดิ์สิทธิ์ แห่งการเริ่มต้นได้”
วิซ!
หลังจากที่สิ้นเสียงของเขา เขาก็ไม่ได้พูดจาไร้สาระอะไรอีก ร่างของเขากะพริบหายไป ทันใดนั้นก็ได้กระโดดขึ้นบนลานประลอง ยืนประจันหน้ากับเซียปิงที่อยู่ห่างออกไป
“เจ้าหนู ข้าเหมียวหวี่ชวงคือคู่ต่อสู้คนแรกของเจ้า”
เหมียวหวี่ซวงก็ยืนไขว้มือไว้ข้างหลังทั้งสองข้าง มีสีหน้าที่ยโสโอหัง สายตามองท้องฟ้า หยิ่งผยองอย่างถึงที่สุด เหมือนว่าจะไม่ต้องการมองเซียปิงด้วยซ้ํา “นี่ถือว่าเป็นเกียรติของเจ้า ไม่คาดคิดว่าจะมีโอกาสได้ต่อสู้กับยอดฝีมืออันดับต้นๆของเมืองไพลินอย่างข้า นี่คือโอกาสที่ยิ่งใหญ่ซึ่งน้อยคนนักที่จะได้รับโอกาสนี้ไป นี่คือเกียรติยศอันสูงสุด”
“แน่นอนว่าเป็นเพราะนี่คือลานประลองของดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งการเริ่มต้น เจ้าจึงจะไม่ตาย ทว่าก็หลีกเลี่ยงการที่จะบาดเจ็บสาหัสไม่ได้ หวังว่าเจ้าครั้งนี้เจ้าจะได้รับบทเรียนที่จดจําไปตลอดชีวิต อย่าคิดท้าทายยอดฝีมือที่แข็งแกร่งอย่างส่งเดช เพราะมันจะเป็นการก้าวเดินอยู่บนเส้นทางแห่งความตาย”
“โอ้ เจ้าคือยอดฝีมืออันดับต้นๆของเมืองไพลินรี? ไม่คาดคิดว่าจะกล้าออกมาเป็นคนแรก ดูเหมือนว่าเจ้าจะพอมีฝีมืออยู่เหมือนกัน” เซียปิงก็ขมวดคิ้วพร้อมกับมองไปที่เหมียวหวี่ซวง
“เหอะ เจ้าเด็กบ้านนอกที่ไม่รู้ประสีประสา ความแข็งแกร่งของข้าไม่สามารถอธิบายเป็นคําพูดได้ อย่าพูดจาไร้สาระ เริ่มต้นเถอะ ข้าจะทําให้เจ้าได้สัมผัสด้วยร่างกายตนเองว่าสุดท้ายแล้วข้าแข็งแกร่งแค่ไหน หวังว่าเจ้าจะไม่พ่ายแพ้ไปอย่างรวดเร็วเกินไป ให้ข้าได้เพลิดเพลินกับการต่อสู้นี้หน่อยเถอะ”
เหมียวหวี่ซวงก็ยิ้มออกมาอย่างดุร้าย
อึ้ง!
ในตอนนี้ก็มีเสียงกริ่งดังขึ้นมาในลานประลองทันที เสียงนี้ดังก้องไปทั่วทั้งท้องฟ้าของลานประลอง บ่งบอกว่าการประลองเริ่มต้นขึ้นแล้ว
“ความสามารถศักดิ์สิทธิ์ แรงโน้มถ่วงคณานับ!”
เหมียวหวี่ซวงก็ตะโกนเสียงดังออกไป มือทั้งสองข้างประสานเข้าด้วยกัน สร้างสนามอาณาเขตที่น่าสะพรึงกลัวขึ้นมา โดยที่มีร่างกายของเขาเป็นจุดศูนย์กลาง ครอบคลุมพื้นที่ในระยะกว่าพันกิโลเมตร ครอบคลุมไปทั่วทั้งลานประลองแห่งนี้
ทันใดนั้นแรงโน้มถ่วงที่น่าสะพรึงกลัวก็กดทับลงมาในสนามอาณาเขตนี้ เหมือนว่าจะบิดเบือนแม้กระทั่งอากาศ ก้อนหินแต่ละก้อนต่างก็ถูกแรงโน้มถ่วงนี้บดขยี้จนกลายเป็นผุยผง หัวลานประลองสันไหวอย่างต่อเนื่อง
ไม่ว่าผู้บ่มเพาะใดๆที่อยู่ในสนามอาณาเขตนี้ อยู่ในสนามแรงโน้มถ่วงนี้ พวกเขาจะต้องตกที่นั่งลําบาก ราวกับถูกภูเขานับหมื่นลูกกดทับลงมาก็ว่าได้
“หึหึ เจ้าเด็กโง่เขลา ภายใต้แรงโน้มถ่วงคณานับของข้า คาดการณ์ได้ว่าแม้แต่จะหายใจก็ยังยากลําบาก จงยอมจํานนแต่โดยดี…เวรเอ๊ย สุดท้ายแล้วนี่มันคืออะไรกัน?!”
เหมียวหวี่ซวงก็วางแผนที่จะใช้แรงโน้มถ่วงที่ไร้ที่สิ้นสุดในการเอาชนะคู่ต่อสู้ ต้องการกดทับจนฝ่ายตรงข้ามลงไปนอนกับพื้นด้วยสภาพที่ไม่เต็มใจ โศกเศร้าและสิ้นหวัง เขาก็วางแผนที่จะดูถูกเหยียดหยามเจ้านี้ บีบบังคับให้ฝ่ายตรงข้ามยอมจํานน
ทว่าทันใดนั้นเขาก็ค้นพบว่าแรงโน้มถ่วงของตนเองไม่มีผลใดๆกับเจ้าเด็กนี่เลย ร่างของเจ้านั่นก็กะพริบหายไปอย่างกะทันหัน ทันใดนั้นก็ปรากฏขึ้นมาต่อหน้าตนเองก่อนที่จะประเคนหมัดออกมาโดยตรง
หมัดนี้ก็ซัดเข้ามาที่ศีรษะของเขาอย่างจัง ทันใดนั้นก็มีเสียงที่ดังสนั่นปะทุออกมา ราวกับเป็นเสียงกลองทุ้ม อากาศระเบิดออก ทั่วทั้งร่างกายของเขาราวกับสูญเสียการควบคุม กระเด็นตีลังกาออกไปโดยตรง
ตีบ!
วินาทีต่อมา ทั่วทั้งร่างของเขาก็อัดเข้ากับบาเรียของลานประลองอย่างรุนแรง กระแทกเข้าไปจนบาเรียสั่นสะเทือนอย่างต่อเนื่อง บีชส่งเสียงดังขึ้นมา ในขณะเดียวกันพลังอํานาจการสะท้อนกลับของบาเรียก็ถ่ายทอดมาที่ร่างกายของเขา
“ลั่ก!” เหมียวหวี่ซวงกระอักเลือดคําโตออกมา เลือดทั่วทั้งร่างกายของเขาสาดกระเซ็นไปรอบๆ จากนั้นร่างของเขาก็หล่นลงจากบนอากาศและกระแทกลงสู่พื้นจนกลายเป็นหลุมลึกขนาดใหญ่
ฟองไหลออกมาจากปากของเขา สายตาพร่ามัวจนมองเห็นดวงดาว วิงเวียนศีรษะ เขาเพียงจ้องมองไปที่เซียปิงด้วยความตกใจเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะคอพับลงไป ไม่คาดคิดว่าจะหมดสติไปเช่นนี้ ไม่สามารถที่จะพูดอะไรได้ด้วยซ้ํา