“อย่างที่เจ้าพูดนั่นแหละ นี่คือกระดูกสัตว์อสูรจ้าวเทวะ! มันเป็นวัตถุดิบสำคัญในการสร้างสมบัติวิญญาณ! ครั้งนี้ข้าเพียงต้องการของเพียงสิ่งเดียว นั่นก็คือขนของสัตว์ธาตุหยิน ข้าต้องการสามเส้น!”
เฮ่ยเยี่ยหลางจุนประกาศ
หลายคนแอบกลั้นหายใจเมื่อได้ยินคำประกาศของเขา สายตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
มีจ้าวเทวะมากมายในเผ่าพันธุ์มนุษย์ ซึ่งจ้าวเทวะมีอยู่ในทุกสำนัก แต่สัตว์อสูรระดับจ้าวเทวะนั้นหายากระดับสุดยอด!
กระดูกของพวกมันคือวัตถุดิบที่สมบูรณ์แบบในการสร้างสมบัติวิญญาณหลากหลายชนิด ดังนั้นกระดูกเหล่านี้จึงประเมินค่ามิได้ สิ่งที่เอามาประมูลครั้งนี้นับว่าทำให้ผู้คนพึงพอใจเป็นอย่างมาก!
เฮ่ยเยี่ยหลางจุนโชคดีเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่หนานอู่เองก็ต้องหรี่ตามอง ทุกคนที่นี่เงียบกริบ
สัตว์อสูรหยินนั้นเป็นสัตว์อสูรที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวในดินแดนพรสวรรค์ ฐานพลังของพวกมันอยู่อย่างน้อยในขอบเขตภูติและมีเส้นทางในการอยู่อาศัยหรือที่อยู่ที่ลึกลับ แม้แต่จ้าวเทวะจะออกล่าก็มิอาจจับตัวได้สำเร็จ
เหงื่อหรือขนบนร่างกายมันมีพลังหยินที่ทรงพลังมาก มันคือวัตถุดิบสร้างสมบัติหยินในอุดมคติ ดังนั้นถ้าหากเอาไปแลกในตลาด มันจะหายากยิ่งกว่ากระดูกสัตว์อสูรจ้าวเทวะทั่วไป! ดังนั้นเฮ่ยเยี่ยหลางจุนจึงตั้งราคาที่สูงมากเช่นนี้
คนที่นี่เข้าใจว่าเฮ่ยเยี่ยหลางจุนไม่ได้คาดหวังให้พวกเขาจ่ายในราคานั้นจริง แต่เขาหวังว่าเหล่าผู้เฒ่าที่มองดูอยู่จะตอบสนองบ้าง
แต่หลังจากที่รออยู่นานก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดเลยในลานประลองลับสวรรค์ของจิวโจว ใบหน้าเฮ่ยเยี่ยหลางจุนแข็งทื่อ เขาไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง
“หึหึ ตาข้าแล้วสินะ”
หนานอู่หัวเราะเสียงดัง เขาดีใจที่เฮ่ยเยี่ยหลางจุนขายหน้าเช่นนี้
เฮ่ยเยี่ยหยางจุนแลกที่กับหนานอู่
“ข้ามีสมบัติชิ้นเดียวเท่านั้นที่จะเอามาแลก”
หนานอู่หยิบเอาศิลาก้อนใหญ่ออกมาทันที มันมีขนาดเท่าฝ่ามือ
มีรอยรูปประตูที่ดูแปลกมากบนก้อนหิน ประตูนั้นดูเป็นเพียงแค่รอย แต่มันก็แทบจะดูเหมือนประตูที่ใช้งานได้จริง!
สิ่งนี้ทำให้ซือหยูตัวสั่นด้วยความแปลกใจเพราะเขาคุ้นเคยกับประตูนี้อย่างประหลาด! ในดวงวิญญาณของเขา เขาเคยเป็นประตูเช่นนี้ลอยอยู่อย่างเงียบเชียบถัดจากหม้อเก้ามังกร!
ซือหยูพบประตูนี้ในซากใต้ดินเมื่อเขาไปยังเกาะเฉินยี่ครั้งที่สอง ในตอนนั้น เขาได้เผชิญหน้ากับชายในหมวกไผ่ที่ถูกเก้าศักดิ์สิทธิ์ส่งมา
เมื่อซือหยูเปิดหินที่มีฎีกาสวรรค์ เขาก็ได้เห็นรอยประตูอยู่ภายใน รอยนั้นถูกสลักเอาไว้ในวิญญาณของซือหยู แม้กระทั่งตอนนี้ซือหยูก็ยังไม่เข้าใจว่าประตูนี้มีไว้ทำสิ่งใด
“ประตูนี้ทำสิ่งใดได้ ข้าเองก็ยังไม่รู้ แต่ข้าบอกได้เลยว่ามันเป็นของที่ล้ำค่ามาก! นั่นก็เพราะว่าตอนที่ข้าเจอมัน รอบๆของมันมีเศษสมบัติวิญญาณกองอยู่เต็มไปหมด! ไม่มีทางที่มันจะเป็นของไร้ค่าแน่ จะเสนอราคาเท่าใดก็แล้วแต่พวกเจ้า!”
ทุกคนในลานนกกระจอกเทวะมองหน้ากัน ไม่มีใครสักคนที่รู้ว่าของสิ่งนี้คืออะไร ทันใดนั้นก็มีร่างโปร่งใสลงมาจากลำแสงเบื้องบน
ทันทีที่ร่างนั้นถึงพื้น เขาเดินไปหาหนานอู่และหยิบหินจากมือของเขามาดู ท่าทางอุกอาจของเขาทำให้ผู้คนตกใจ
พร้อมกันนั้นยังมีภูติอีกห้าคนตามลงมา ทุกคนล้วนรีบมาตรวจดูหินก้อนนี้ พวกเขามิอาจหยุดมองมันได้
“ประตูชีวาเหิน! นี่คือประตูชีวาเหินไม่ผิดแน่!”
หนึ่งในภูติอุทานออกมา พวกเขามองหน้ากันด้วยความอัศจรรย์ใจ
“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าประตูชีวาเหินจะยังมีอยู่ในโลกใบนี้!”
ประตูชีวาเหินรึ? ซือหยูเพ่งความสนใจกับมันอย่างใกล้ชิด
“ใช่แล้ว ประตูนี้เคยถูกใช้อัญเชิญอสูรที่เกือบจะกลืนกินมนุษย์ไปทั้งดินแดนพรสวรรค์!”
อัญเชิญอสูรรึ? ซือหยูใจสั่นเมื่อได้ยินคำพูดนั้น การได้ต่อสู้กับอสูรมาหนึ่งครั้งทำให้เขาไม่อยากจะเผชิญหน้ากับมันเป็นครั้งที่สอง! และอสูรที่พวกเขาพูดถึงยังเป็นอสูรจริงๆที่ไม่ใช่ตัวที่เกิดจากเส้นขนหนึ่งเส้น
ขณะที่เหล่าภูติกำลังพูดคุยกัน…
“มันเกิดขึ้นมาหลายปีแล้ว ไม่มีใครบอกได้ว่าใครที่จะยืนยันสิ่งนี้หรืออัญเชิญอสูรมาได้!”
“หึหึ ต้องพูดให้มากกว่านี้อีกรึ? นอกจากท่านผู้นั้นใครกันจะทำได้?”
ผ่านไปไม่นาน หนึ่งในหมู่ภูติละสายตาไปและส่ายหน้า
“นี่มันก็แค่ภาพเขียนของประตูชีวาเหิน มันไม่ใช่ประตูชีวาเหินจริงๆ ถ้าพวกเจ้าสนใจมันก็เชิญไปแลกเถอะ”
หลังจากที่เขาพูดจบ ทุกคนนอกจากภูติคนหนึ่งได้กลับไป ภูติคนสุดท้ายที่ยังอยู่คือภูติคนแรกที่ลงมา เขาครุ่นคิดและคืนก้อนหินไปอย่างไร้อารมณ์
“มันก็แค่ของธรรมดาที่ไร้ค่าเท่านั้น”
เขาพูดจบและจากไป
หนานอู่ตกใจจนปากบิดเบี้ยวอย่างคุมไม่อยู่ ของที่เขาเห็นเป็นสมบัติกลับกลายเป็นของที่ไร้ค่าสูงสุด!
เฮ่ยเยี่ยหลางจุนปิดปากหัวเราะเบาๆ
“หึหึ ถ้าเจ้าคิดว่ามันเป็นสมบัติก็เก็บมันไว้เองเถอะ!”
หนานอู่จ้องกลับอย่างโกรธเกรี้ยว
“ตลกอะไรของเจ้า? ถ้าข้าโชคดีพอจนได้เจอประตูชีวาเหินของจริง คนอย่างเจ้าก็หัวเราะไม่ออกหรอก!”
เฮ่ยเยี่ยหลางจุนใบหน้าแข็งทื่อ
“เจ้าอย่ามาเล่นมุกแบบนี้จะดีกว่า เหล่าผู้เฒ่ากำลังมองดูอยู่นะ!”
หนานอู่ก้มหน้าและเงียบลง นั่นก็เพราะว่าหลายปีก่อน อสูรได้ทำให้เกิดการนองเลือดในดินแดนพรสวรรค์ อสูรตนนั้นกลืนกินมนุษย์มากมายนับไม่ถ้วนและกลายเป็นฝันร้ายของชาวดินแดนพรสวรรค์ ดังนั้นการเล่นตลกเช่นนี้จึงไม่น่าอภิรมย์เท่าใดนัก
แต่ซือหยูกลับรู้สึกต่างออกไปเพราะเขามีประตูชีวาเหินอยู่กับตัวจริงๆ!
ข้าจะใช้ประตูอัญเชิญอสูรออกมาควบคุมได้จริงๆรึ?
ซือหยูตกตะลึงเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาตกใจจนไม่ได้ยินว่าจางซื่อเหลียนเรียกเขาสองครั้งแล้ว
“หมายเลขหก! ถึงรอบเจ้าแล้ว!”
จางซื่อเหลียนเรียกเขาเป็นครั้งที่สาม
ซือหยูที่เพิ่งจะได้ยินนางเดินออกมาที่ด้านหน้า เขาหยิบเอาสมบัติเทพระดับกลางออกมา มันเป็นของที่เขาได้มาจากราชามนุษย์ของตำหนักชิงวิญญาณ
เมื่อของชิ้นนี้ปรากฏ ความสนใจของเหล่าผู้คนก็ลดลงไปมาก เพราะไม่มีใครเลยที่ขาดสมบัติเทพ
เฮ่ยเยี่ยหลางจุนแอบหัวเราะ เขาคิดว่าคนคนนี้คงจะนำสิ่งที่ตระการตาออกมาแลก เขาไม่คิดเลยว่ามันจะเป็นแค่สมบัติเทพกระจอกๆ หลายคนที่นี่ก็คิดแบบเดียวกัน
“มีใครอยากได้มันหรือไม่?”
ซือหยูโบกค้อนทมิฬหนึ่งครั้ง
ในตอนนั้นเอง ยอดฝีมือเร่ร่อนคนหนึ่งที่บ่มเพาะวิชาอสูรได้หยิบเอาเศษแก้วมาหนึ่งชิ้น
“หนึ่งเศษ! เท่านี้ก็มากพอแล้ว”
นี่เป็นข้อเสนอที่เท่าเทียมเพราะสมบัติเทพระดับกลางนั้นมีค่าเพียงเท่านี้ ซือหยูพอใจกับข้อเสนอมาก เขายินดีที่ได้เห็นว่าแม้แต่สมบัติเทพระดับกลางก็มีค่าหนึ่งเศษแก้ว
แกร๊งๆๆๆๆๆ
เสียงกระดิ่งดังขึ้น ผู้คนหันมองดูด้วยความแปลกใจ ทุกคนหันมามองและพบว่าที่ใต้เท้าของซือหยูมีสมบัติเทพอยู่เป็นจำนวนมาก
แม้แต่ระดับที่ต่ำสุดก็เป็นสมบัติเทพระดับกลาง บางชิ้นเป็นสมบัติเทพระดับสูง! ระดับของสมบัติส่วนมากอยู่ในระดับธรรมดา แต่จำนวนมากมายนี้น่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง! มีสมบัติอยู่อย่างน้อยสี่สิบชิ้น!
และยังมีสมบัติหลากหลายประเภท บางชิ้นเป็นของอศูรขณะที่บางอย่างของลัทธิขงจื้อ มันเยอะราวกับของทุกชิ้นเป็นเพียงของปลอมที่เอามาจัดแสดงให้ดู!
“อึก…นั่นมันเรือบินเทวะของตำหนักชิงวิญญาณ!”
“เขามีมีดโลหิตของโจวฉีหมิงด้วย!”
“นั่นมันมีดคร่าพยัคฆ์ของโจวจิ้งสำนักยูเฟิง!”
“แล้วก็กระบี่แล่มัจฉาของหยางยี่เต๋าจากสำนักศีลหวนคืน!”
ผู้คนตกใจที่สุดในเรื่องที่สมบัติเทพทุกอย่างนั้นมาจากทุกสำนักในดินแดนพรสวรรค์! นี่เป็นเรื่องใหญ่ที่พวกเขาสนใจ! พวกเขาตื่นตะลึง หลายคนสงสัยว่าทำไมสมบัติเหล่านี้ถึงมาอยู่ที่นี่!
แม้แต่สมบัติของโจวฉีหมิงกับหยางยี่เต๋าก็ตกมาอยู่ในมือของชายคนนี้! ทุกคนมองซือหยูราวกับมองสัตว์อสูรที่ชั่วร้าย
“เจ้าเป็นใครกันแน่?”
จางซื่อเหลียนหรี่ตา นางตกใจมากเช่นเดียวกับคนอื่นๆ!