บทที่ 395 รวมกลุ่ม
ในเดือนถัดมา ลูเซียนใช้เวลาส่วนใหญ่ในการปรับตัวให้ชินและพัฒนาพลังโลหิตของเขา เหมือนกับสิ่งที่โบลัคตัวจริงจะทำ ส่วนเวลาที่เหลือ เขาจะตระเวนไปตามงานเลี้ยงสังสรรค์ของขุนนางต่างๆ ซึ่งเขาได้บรรลุข้อตกลงเบื้องต้นกับพวกเขาสำหรับความร่วมมือในปราสาทใต้ดิน เขายังไม่ลืมที่จะกลับไปยังคฤหาสน์อันห่างไกลเพื่อเพิ่มพลัง ‘เวทแกล้งตาย’ และ ‘เวทหลับ (ลึก)’ ที่เขาร่ายใส่โบลัคตัวจริงและให้สารอาหารโบลัคเพื่อให้มีชีวิตรอด จนถึงตอนนี้ ลูเซียนยังไม่มีเวลาทดลองเวทมนตร์ใส่โบลัคเพื่อปลุกพลังโลหิตของเขา

วันนี้ท้องฟ้าดูขมุกขมัว และสายลมหนาวเย็นยะเยือก ดูเหมือนว่าพายุลูกแรกของปีนี้กำลังจะมาถึง

กลิ่นของซากไม้ผุพังคละคลุ้งไปทั่วคฤหาสน์ของตระกูลกอร์สที่สร้างขึ้นในยุคจักรวรรดิเวทมนตร์โบราณ ลูเซียนกำลังสวมเสื้อเกราะอัศวินสีดำและเดินลงไปยังชั้นล่างสุดของชั้นใต้ดินด้วยความมั่นใจอย่างสูง

เมื่อเห็นอากัปกิริยาของลูเซียน เราผู้นำของตระกูลกอร์ส ไม่ว่าจะชอบหน้าโบลัคหรือไม่ ต่างก็พยักหน้ายอมรับเบาๆ ในสายตาของพวกเขา จิตวิญญาณที่โบลัคมีอยู่ในตอนนี้ช่างเหมาะสมกับเกียรติภูมิอันยิ่งใหญ่ของตระกูล และมีเพียงขุนนางรุ่นใหม่เช่นนี้เท่านั้นที่มีคุณสมบัติพอจะสืบทอดตำแหน่งดยุก

“แค่เพียงเดือนเดียว… โบลัคดูใช้ได้ทีเดียว เดี๋ยวก่อน… เขาปลุกพลังโลหิตแล้วหรือนี่?” นูเรมเบิร์ก วอน อันจู เคานต์แห่งอัลเดนเบิร์ก อุทานออกมา เขาเกือบจะลืมใส่ซิการ์มวนหนากลับเข้าไปในปากด้วยความประหลาดใจ

นูเรมเบิร์ก วอน อันจู เป็นสมาชิกที่ทรงอิทธิพลเป็นอันดับสามของตระกูล เขาเป็นอัศวินอาภาระดับแปดและได้รับการเคารพในฐานะ ‘แสงดาวสลัว’ เป็นเรื่องง่ายมากที่นูเรมเบิร์กจะสามารถบอกพลังของโบลัค เนื่องจากลูเซียนไม่ต้องการปิดบังอะไรทั้งนั้น

อุลริช ดยุกแห่งกอร์ส อัศวินอาภาระดับเจ็ดผู้ได้รับการเคารพในฐานะ ‘จันทราบัญชาการ’ ก็พยักหน้า “มรดกที่เขาได้รับจากพ่อคงช่วยให้เขาปลุกพลังของตัวเองได้”

“เบ็คแมนเป็นคนโปรดของท่านลุง เขาต้องมีของดีเก็บไว้บ้าง” นูเรมเบิร์กมองดยุกพร้อมกับรอยยิ้มที่มีเลศนัย ทั้งอุลริชและนูเรมเบิร์กสามีผมสีทองและตาสีฟ้าเหมือนกัน แต่ผมของดยุกบางส่วนหงอกขาวเสียแล้ว

ท่านลุงที่นูเรมเบิร์กเอ่ยถึงก็คือพ่อของอุลริชและเบ็คแมน ซึ่งเป็นดยุกคนก่อน ว่ากันว่าดยุกคนก่อนตั้งใจให้เบ็คแมนเป็นผู้สืบทอดอำนาจ แต่ภายในปราสาทใต้ดิน ทันใดนั้น อุลริชก็เปิดเผยพลังอัศวินหลวงระดับห้าออกมา เขาจึงสามารถเอาชนะเบ็คแมน ซึ่งมีอุปกรณ์เวทมนตร์และเทพมากมาย ในที่สุด อุลริชก็เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งดยุก

มาร์ควิสและเคานต์จากตระกูลนี้ต่างมองที่ดยุกชราด้วยสีหน้าแปลกประหลาด ในความคิดของพวกเขา ทุกคนต่างคิดว่าที่เบ็คแมนต้องตายตั้งแต่เป็นหนุ่มก็เพราะดยุกเฒ่าผู้นี้

สมัยโบลัคยังไม่มีพลังโลหิต เขาก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่ของดยุกเฒ่าแต่อย่างใด อย่างไรก็ตาม ตอนนี้โบลัคไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ชายหนุ่มผู้เต็มไปด้วยความมั่นใจและสุขุมย่อมได้รับความสนใจเป็นพิเศษจากดยุกเฒ่า

ในฐานะดยุก อุลริชก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ข้าไม่ชอบพวกที่ชนะด้วยอุปกรณ์ทรงพลัง แต่ผู้ชนะก็คือผู้ชนะ ผู้ชนะจะไม่ถูกประณามและจะได้ทุกอย่างตามสัญญา”

เห็นได้ชัดว่าดยุกเฒ่ามีความคิดดูแคลนโบลัค แต่เขาก็สัญญาว่าเขาจะทำให้การแข่งขันในครั้งนี้ยุติธรรม

“ดีมาก” นูเรมเบิร์กพูดอย่างมีความหมาย ในความคิดของเขา เขาสงสัยในคำกล่าวอันยิ่งใหญ่จากตระกูลขุนนางตระกูลนี้เสมอ โดยเฉพาะคำพูดของดยุกซึ่งกุมอำนาจของตระกูลมาเกือบสี่สิบปี

ภายในจักรวรรดิไฮลซ์ศักดิ์สิทธิ์ ยังมีตระกูลขุนนางอื่นๆ อีกมากมายที่ถวิลหาอำนาจของตระกูลกอร์สด้วยความอิจฉา ไม่เว้นแม้กระทั่งจักรพรรดิผู้ลึกลับและมักใหญ่ใฝ่สูง ฉะนั้น อุลริชต้องมีความสามารถสูงในฐานะผู้นำแห่งตระกูลกอร์ส

จักรพรรดิรูดอล์ฟที่สองเป็นคนเดียวที่สามารถเลื่อนขั้นสู่ระดับตำนาน หลังจากสืบทอดบัลลังก์ต่อจากบรรพบุรุษรุ่นแรกๆ ในราชวงศ์อันศักดิ์สิทธิ์ พลังของเขาน่ากลัว และเขายังตั้งชื่อตำแหน่งแปลกๆ ให้กับตัวเอง ‘กฎระเบียบใหม่และผู้กำเนิดก่อน’

ขณะที่บรรดาผู้นำตระกูลตรงหน้าประตูหินรูปร่างแปลกประหลาดกำลังสนทนากัน ลูเซียนก็เข้าร่วมกับสมาชิกตระกูลคนอื่นๆ ซึ่งพร้อมก่อนอยู่แล้ว

แคลร์และเรล์ฟสร้างมองโบลัคเหมือนเป็นศัตรู ทั้งสองจึงไม่เอ่ยคำทักทายเขา บรรยากาศดูน่าตะขิดตะขวงใจ

หลังจากไม่กี่วินาทีต่อมา อาร์เธนซึ่งอยู่ในชุดทหารอลังการก็เดินเข้ามาพร้อมกับสหายขุนนางของเขา ซึ่งรวมถึงโจเซลีนและดูด้า ด้วยความมั่นใจอย่างสูง เขาพยักหน้าให้กับสมาชิกตระกูลคนอื่นๆ ซึ่งรวมถึงลูเซียน

“พวกเจ้าจะลงไปด้วยหรือ?” เมื่อเห็นโจเซลีน ดูด้า และขุนนางหนุ่มสาวคนอื่นๆ แต่งตัวมาเต็มยศ นูเรมเบิร์กก็ถามขึ้น

เสียงของดูด้าดังออกมาจากภายในหมวกเกราะและเป็นเสียงที่ฟังดูเสแสร้ง “ขอรับใต้เท้า อีกเพียงขั้นเดียวข้าจะกลายเป็นอัศวินตัวจริง บิดาของข้าบอกว่าการแข่งขันนี้เป็นโอกาสที่ดี หากเกิดอะไรขึ้น ข้าเชื่อว่าวงเวทที่ตระกูลกอร์สสร้างขึ้นจะส่งเราออกไปได้ทันเวลา เราจะไม่ตายที่นี่”

เห็นได้ชัดว่าดูด้ากำลังกลัวไม่มากก็น้อย

“ข้ารับรองได้ นอกจากวงเวทแล้ว ‘มงกุฎรุ่งโรจน์’ ท่านเมทาทรอน ก็จะลงไปในประสาทด้วยเพื่อดูแลให้ทุกอย่างเรียบร้อย” นูเรมเบิร์กกล่าวให้คำรับรอง เขาและพ่อของดูด้า เคานต์ปอร์ติ เป็นสหายกัน และแน่นอน เขาไม่เอ่ยถึงพลังที่ซ่อนอยู่ ตระกูลกอร์สไม่ต้องการให้คนจากตระกูลขุนนางตะกูลอื่นมาจบชีวิตในปราสาท เนื่องจากพวกเขาไม่ต้องการมีปัญหาที่ไม่จำเป็น

เมื่อได้ยินคำรับรองจากนูเรมเบิร์ก ลูเซียนก็หลับตาลงซ่อนความกังวล เรื่องที่เมทาทรอนจะลงไปในปราสาทใต้ดินด้วยไม่ใช่ข่าวดีสำหรับเขา

‘มงกุฎรุ่งโรจน์’ เมทาทรอน เป็นหนึ่งในอัศวินทองคำสองนายที่ประจำตระกูลกอร์ส เขามีอายุเกือบสามร้อยปี และมีอาวุโสยิ่งกว่าเหล่าผู้นำตระกูลคนปัจจุบัน ดังนั้น เขาจึงได้รับความเคารพอย่างสูง

“พวกเราไม่มีอะไรต้องกังวลเมื่อรู้ว่าเซอร์เมทาทรอนจะอยู่ข้างล่างด้วย” ดูด้าพยักหน้าและรู้สึกโล่งใจขึ้นมาก

แม้ว่าขุนนางหนุ่มสาวส่วนใหญ่จะปลุกพลังโลหิตได้ด้วยตนเอง แต่พวกเขาก็ยังขาดประสบการณ์ในสนามรบจริงๆ เมื่อเทียบกับขุนนางจากราชรัฐไวโอเล็ตและประเทศอื่นๆ ความท้าทายหนักสุดที่พวกเขาเคยเผชิญก็แค่ปีศาจก็อบลินปีศาจหัวสุนัขเท่านั้น หรืออาจพูดได้ว่าพวกเขาเหมือนกับดอกไม้ที่โตในเรือนกระจก

ดังนั้นเมื่อเผชิญหน้ากับการต่อสู้อันโหดร้ายของจริง ขุนนางหนุ่มสาวพวกนี้ต่างวิตกกังวลเป็นอันมาก

เมื่อเห็นว่านูเรมเบิร์กกำลังมองดูพวกเขา โจเซลีนก็ยิ้มออกมาอย่างสง่างาม “ท่านคะ ข้าเป็นอัศวินแล้ว และข้าต้องการอยู่เคียงข้างคู่หมั้นค่ะ”

เสื้อเกราะโซ่ถักสีกุหลาบเผยให้เห็นรูปร่างอันก็งดงามของนาง ขุนนางหนุ่มหลายคนที่ยืนอยู่ด้านหลังอาร์เธนต่างลอบมองโจเซลีนเป็นครั้งคราว

เมื่อได้ยินคำพูดของโจเซลีน อาร์เธนก็ยิ้มกว้างออกมา ขณะเดียวกัน ขุนนางส่วนที่เหลือก็หันไปจ้องมองโบลัค เพื่อรอดูสีหน้าอันละอายใจของโบลัค

อย่างไรก็ตาม ลูเซียนเพียงแค่ยิ้มออกมา ราวกับว่าเขากำลังดูโอเปร่าละครน้ำเน่า

การตอบโต้ของลูเซียนทำให้ดูด้าและอาร์เธนต่างผิดหวัง คุณนางหนุ่มคนหนึ่งที่ชื่อ อันดริส ถึงกับพูดจาเสียดสีออกมา “โบลัค เจ้านี่หน้าตัวเมียจริงๆ?!”

ในสายตาของเขา โบลัคเป็นเพียงคนขี้ขลาด!

ลูเซียนมองหน้าอันดริสแล้วตอบว่า “หวังว่าเจ้าจะไม่คุกเข่าต่อหน้าข้าในภายหลังนะ”

“เราจะได้เห็นกัน เราจะสู้ด้วยของมากมายที่พ่อเจ้าทิ้งไว้อย่างนั้นหรือ?” อันดริสเห็นกระเป๋าที่ผูกติดกับเข็มขัดรอบเอวลูเซียน

“ข้าพนันได้ว่าว่าเจ้าไม่อยากเห็นของพวกนี้หหรอก” ลูเซียนตอบด้วยน้ำเสียงข่มขู่ ลูเซียนใส่แหวน เครื่องราง และอุปกรณ์เทพและเวทมนตร์ทั้งหมดไว้ในกระเป๋า

ขณะที่อันดริสกำลังหัวเสียกับท่าทีของลูเซียน ก็มีกลุ่มๆ เดินออกมาจากประตูชั้นใต้ดิน และเดนิซเป็นคนเดินนำกลุ่มนี้

“ไง โบลัคที่รัก เรามาช่วยท่าน” เดนิซทักทายเขาต่อหน้าขุนนางคนอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครสนใจเขา เนื่องจากหญิงสาวผมทองดวงตาสีฟ้าที่มาด้วยกันนั้นก็คือเจ้าหญิงโซเฟีย บุตรสาวคนเดียวของรูดอล์ฟที่สอง

“โซเฟีย เจ้าจะร่วมการแข่งด้วยหรือ?” อุลริช ดยุกแห่งกอร์ส ขมวดคิ้วเบาๆ

รอยยิ้มอ่อนหวานที่น่ารักทรงเสน่ห์ปรากฏบนหน้าโซเฟีย “ใช่แล้วค่ะ ท่านลุงอุลริช ข้าอยากแข่งด้วยจะได้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นข้างล่างบ้าง นี่เป็นบททดสอบของข้า ข้าเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุระดับห้า แม้ไม่มีท่านหญิงมาร์นินาคอยคุ้มครอง ข้าก็ยังมีพลังสูงสุดในบรรดาพวกเราอยู่ดี”

“แต่…” คณะผู้นำตระกูลกอร์สต่างลังเลใจ หากเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าหญิง ตระกูลของพวกเขาคงมีปัญหาใหญ่

“ให้ข้าไปเถอะ ท่านลุงอุลริช! ข้าดูแลตัวเองได้!” โซเฟียกระพริบตาและแอบชี้ไปที่หน้าอกของนางเพื่อบอกว่ายังมีวิธีรับรองความปลอดภัยอื่นอีก “สมาชิกราชวงศ์บางคนก็เคยลงไปข้างล่างมาก่อน และข้าได้รับอนุญาตจากท่านพ่อแล้ว”

สมาชิกราชวงศ์คนสุดท้ายที่เข้าร่วมการแข่งขันก็คือตัวจักรพรรดิเอง แล้วแต่ตอนนั้น เขายังเป็นเพียงเจ้าชาย

เนื่องจากจักรพรรดิอนุญาตแล้ว อุลริชก็พยักหน้าด้วยสีหน้าไม่สู้ดี “ระวังตัวด้วย”

“เจ้าข้า!” โซเฟียฉลองอย่างมีความสุข แล้วนางก็เดินเข้าไปหาลูเซียนและเดนิซ วันนี้นางสวมชุดเกราะเสื้อคลุมสีขาวล้วน แล้วนางก็ทักทาย “ดีใจที่ได้เจอกันอีก ท่านโบลัค”

เจ้าหญิงงดงามและอ่อนหวานเหมือนดังดอกทิวลิปบานที่รายล้อมไปด้วยผีเสื้อและผึ้งมากมาย ขนาดลูเซียนยังละสายตาจากนางได้ลำบาก

“กระหม่อมจะปกป้องฝ่าบาทเองอย่างดีที่สุด แม้ต้องแลกด้วยชีวิตของกระหม่อม” ลูเซียนตอบด้วยน้ำเสียงละครโอเปร่า อย่างไรก็ตาม ในหัวใจของเขากลับเต็มไปด้วยคำถาม ทำไมโซเฟียถึงอยากร่วมการแข่ง? นางมีแผนอะไร? หรือนางเพียงอยากช่วยให้โบลัคได้กลายเป็นทายาทคนต่อไปของตระกูลกอร์ส?

ลูเซียนหวังว่าแผนของเขาจะเป็นไปตามที่วางไว้

ขุนนางคนอื่นๆ ต่างหงุดหงิดรำคาญใจ พวกเขาไม่รู้เลยว่าทำไมเจ้าหญิงถึงมาแสดงความรักความอาลัยโบลัคผู้ไร้คุณค่าผู้นี้ เจ้าหญิงเป็นถึงนักเล่นแร่แปรธาตุระดับห้าพร้อมกับพลังที่ปลุกแล้ว!

ขณะนั้นเอง ขุนนางหนุ่มสาวหลายคนเริ่มพิจารณาใหม่ว่าควรเข้าร่วมกลุ่มกับโบลัคหรือไม่ ในสายตาของพวกเขา ด้วยการสนับสนุนของเจ้าหญิงและเดนิซ มีโอกาสสูงที่โบลัคจะเป็นผู้ชนะ!

ทันใดนั้นเอง สถานการณ์ก็เปลี่ยน!

อยู่ๆ เสียงที่ทุ้มต่ำก็ดังมาจากประตู “ท่านลุงอุลริช ขอเข้าร่วมด้วยคน”

ทุกคนต่างประหลาดใจเป็นอันมาก ชายร่างสูงผมทองคนหนึ่งเดินเข้ามา หน้าตาของเขาคมสันอย่างยิ่ง แสดงให้เห็นถึงความเป็นชายชาตรี และเห็นได้ชัดว่าเขาเป็นชายที่มีร่างกายกำยำ

เมื่อเห็นว่าชายผู้นั้นมีหน้าตาคล้ายกับเจ้าหญิง ลูเซียนก็ยิ่งรู้สึกสับสน ทำไมทุกคนต้องพากันสนใจกับการแข่งขันของตระกูลกอร์สด้วย?

“เจ้าชาย?!” พวกเขาไม่อยากเชื่อสายตา

ชายหนุ่มผู้สวมเกราะสีเงินธรรมดาผู้นี้คือทายาทลำดับที่หนึ่งของจักรวรรดิไฮลซ์ศักดิ์สิทธิ์ ‘เบเยอร์’ เจ้าชายแห่งสเตนเบิร์ก!

เขาคืออัจฉริยะผู้ใกล้ที่จะเลื่อนขั้นเป็นอัศวินอาภา!