บทที่ 396 เริ่มเกม
เบเยอร์มองอาร์เธนอย่างมั่นใจและยิ้มออกมา “นี่เป็นโอกาสสำคัญของข้าที่จะได้เผชิญกับการต่อสู้ของจริง และในฐานะอัศวิน นี่เป็นสิ่งที่ข้าตามหามาตลอด ข้ามาที่นี่ในฐานะอัศวิน ไม่ใช่เจ้าชาย”

แล้วเขาก็หันไปทางดยุก “ท่านลุงอุลริช ท่านอนุญาตให้โซเฟียเข้าร่วม ข้าเชื่อว่าท่านคงไม่ปฏิเสธข้าหรอกนะ? ข้าก็ได้รับอนุญาตจากท่านพ่อมาแล้วเช่นกัน”

ดยุกเฒ่าถอนหายใจ “พวกเจ้าคนหนุ่มสาว… ก็ได้…”

เขาหลบสายตาลง และความรู้สึกทั้งหมดก็ซ่อนอยู่ภายใต้ดวงตาสีฟ้าคู่นั้น

นูเรมเบิร์กหัวเราะออกมา “ดีแล้วล่ะ เบเยอร์ อัศวินควรเผชิญกับการต่อสู้ที่แท้จริง หากข้าไม่ได้ขึ้นเหนือไปรบกับจักรวรรดิชาชราน บางทีก็อาจไม่มีโอกาสกลายเป็นอัศวินอาภา เลือดและการต่อสู้สอนให้ข้ากลายเป็นอัศวินอาภาในวันนี้”

“ท่านเป็นต้นแบบให้คข้าเสมอ ท่านลุงนูเรมเบิร์ก” เบเยอร์ยิ้มกว้าง แล้วเขาก็หันไปรอบๆ และเดินไปที่อาร์เธน เขากล่าวทักทายด้วยความเป็นกันเองอย่างยิ่ง “สหายข้า หวังว่าเราจะได้สู้ร่วมกัน”

อาร์เธนออกอาการตื่นเต้นมาก เขาคุกเข่าลงข้างหนึ่งและเปล่าด้วยความเคารพ “เป็นเกียรติอย่างยิ่งพะยะค่ะ เจ้าชายของกระหม่อม กระหม่อมจะเป็นอัศวินของพระองค์ไปตลอดกาล”

พวกขุนนางฝั่งของอาร์เธนก็พากันตื่นเต้นเช่นกัน พลังจากเจ้าชายทำให้พวกเขากลับมาเชื่อมั่นอีกครั้งว่าจะเป็นฝ่ายกำชัย!

เพราะฉะนั้นอาร์เธนถึงตื่นเต้นมาก การมีเจ้าชายเป็นพวกทำให้เขากลับมามีความหวังอีกครั้ง!

ลูเซียนชักเป็นกังวล ขณะมองหน้าของโบลัค โซเฟียก็ยิ้มออกมา “ชักน่าสนุกขึ้นมากแล้วสิ ถ้าไม่มีพี่ข้า เกมนี้ก็คงไม่เป็นธรรมสำหรับพวกเขา”

ตอนนี้ อาร์เธนก็เป็นเพียงอัศวินหลวงระดับสาม

“ไม่เป็นธรรม…” ลูเซียนรู้สึกขำกับคำพูดของโซเฟีย เขามองดูสีหน้าของโซเฟีย และสังเกตสีหน้าของแคลร์และเรล์ฟ

แคลร์กำลังกัดริมฝีปากของตัวเองโดยไม่รู้ตัว และสายตาของนางก็เหม่อลอย ส่วนมือขวาของเรล์ฟก็กำหมัดแน่นดันไว้กับปาก ทั้งสองคนดูจะผิดหวัง เห็นได้ชัดว่าการปรากฏตัวของเจ้าชายทำให้ทั้งสองหมดกำลังใจ

ตอนนั้นเอง ชายหนุ่มคนหนึ่งอายุประมาณสิบเจ็ดหรือสิบแปดซึ่งอยู่ในกลุ่มขุนนางที่เหลือก็ยืนขึ้น “ท่านขอรับ ข้าขอถอนตัว”

อุลริชมองลงไปที่เขาด้วยท่าทีจริงจัง

ขุนนางหนุ่มผู้นั้นพูดออกมาอย่างสิ้นหวัง “พวกท่านๆ ทรงพลังเกินไป ไม่มีทางที่ข้าจะชนะ”

“ฉลาดมาก” ดูด้าพูดด้วยน้ำเสียงแห่งชัยชนะ

อุลริชไม่ได้แสดงความเห็น บางครั้งการยอมถอยไม่ได้หมายความถึงความขี้ขลาด แต่เป็นการตัดสินใจที่ชาญฉลาด

ตามๆ เขาไป ทายาทผู้มีสิทธิ์ที่เหลือยกเว้นเพียงอาร์เธน โบลัค แคลร์ และเรล์ฟต่างก็ตัดสินใจยอมแพ้กันหมด

“พลังของพระองค์ช่างทรงอิทธิพล ฝ่าบาท” อันดริสพูดด้วยน้ำเสียงพอใจอย่างยิ่ง “พระองค์เป็นอัศวินพรสวรรค์สูงที่สุดในบรรดาคนรุ่นใหม่”

ตระกูลศักดิ์สิทธิ์ครอบครองพลังโลหิตที่เรียกว่า ‘ทูตสวรรค์’ แต่สมาชิกของตระกูลแต่ละคนก็มีพลังต่างกัน บางคนถนัดการต่อสู้ระยะประชิด บางคนก็ถนัดการร่ายเวทมนตร์ และบางคนก็ถนัดทั้งสองอย่าง พลังโลหิตของรูดอล์ฟที่สองค่อนข้างสมดุล ซึ่งเรียกว่า ‘ราชันย์เทวทูต’ พลังโลหิตของโซเฟียเรียกว่า ‘เทพธิดาแห่งสายลม’ ทำให้นางกลายเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุผู้เชี่ยวชาญการร่ายเวทมนตร์ และพลังโลหิตของเบเยอร์มีชื่อว่า ‘เทวทูตตุลาการ’ ซึ่งนั่นทำให้เขาเป็นนักรบผู้ช่ำชองการต่อสู้ระยะประชิด

เบเยอร์ส่ายศีรษะและตอบว่า “แม้ข้าจะค่อนข้างมั่นใจ แต่ต้องบอกว่าข้ายังไม่ใช่อัศวินที่เก่งที่สุดในรุ่นของเรา เจ้าหญิงนาตาชาแห่งราชรัฐไวโอเล็ตเป็นอัศวินอาภาตั้งแต่อายุยี่สิบหก ซึ่งหาได้ยากมากแม้ในประวัติศาสตร์ นางมีพลังโลหิตสองสายในร่างเดียว และด้วยอำนาจติดขนาดนั้น นางมีศักยภาพมากพอจะขึ้นเป็นอัศวินทองคำ ข้าชื่นชมนางอย่างยิ่ง แต่เขารู้ดีว่าตอนนี้ยังไม่ดีพอสำหรับนาง ข้าหวังว่าจะได้เป็นอัศวินอาภาให้เร็วที่สุด สักวันข้าจะได้ไปที่อัลโต้เพื่อพบหน้านาง… แต่ข้าก็สงสัยว่าเรื่องเล่าเกี่ยวกับนางเป็นจริงหรือไม่…”

เบเยอร์พูดอย่างตรงไปตรงมา และแน่นอน นาตาชาเป็นอัศวินต้นแบบและเป็นนางในฝันของเขา

“ไม่แน่นาตาชาจะเป็นว่าที่ราชินีแห่งจักรวรรดิของเรา” อันดริสพูดเสริม

ลูเซียนถูคางของตัวเองและมองพวกเขายังมีความหมาย

“ฝันของพี่ข้าคงไม่มีวันเป็นจริง ศาสนจักรไม่มีทางปล่อยให้ราชรัฐไวโอเล็ตกลับมาสู่จักรวรรดิของเราอีกแล้ว ท่านต้องรู้ว่าตอนนี้เจ้าหญิงนาตาชาขึ้นเป็นเคาน์ติสแห่งไวโอเล็ตแล้ว” โซเฟียพูดเสียงเบาๆ แล้วยิ้มออกมา

เดนิซใช้มือจัดทรงผมบริเวณหน้าผาก “ก็บอกยากนะเพ่คะ ความรักมักทำให้คนเป็นคนโง่ ถ้าทั้งจักรวรรดิและราชรัฐมีความเห็นหนักแน่นเหมือนกัน ศาสนจักรก็ตัดสินใจแทนไม่ได้”

“ทุกอย่างก็ขึ้นอยู่กับเบเยอร์แล้วตอนนี้” โซเฟียหัวเราะคิกคัก

ลูเซียนคิดอยู่ในใจว่าพี่ชายของโซเฟียคงสิ้นหวังเมื่ออยู่ต่อหน้านาตาชา และเขาต้องบอกว่าโซเฟียเองอาจมีโอกาสมากกว่า

เมื่อใกล้ถึงเวลา อุลริช ดยุกแห่งกอร์ส ก็ประกาศออกมา

“เขาเริ่มการแข่งขัน ผู้เข้าแข่งขันคนแรกในพวกเจ้าสี่คนที่สามารถเข้าไปยังห้องลับที่มีภาพเขียนบรรพบุรุษตระกูลของเราได้จะเป็นผู้ชนะ หากไม่มีใครไปถึงห้องลับ คนที่อยู่รอดเป็นคนสุดท้ายก็จะชนะ จำไว้ว่า ปราสาทใต้ดินเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่ว่าพวกเจ้าจะใช้เงินซื้อแผนที่มามากแค่ไหน พวกมันก็ไร้ประโยชน์ นอกจากนี้ เมื่อเข้าไปยังปราสาท พวกเจ้าจะถูกส่งไปคนละจุด อย่ามัวอยู่กับที่ นั่นมันเสียเวลา”

ไม่มีกฎ โดยพื้นฐานแล้วไม่มีกฎใดในปราสาทใต้ดิน อย่างไรก็ตาม ในการแข่งขัน ห้ามใครนำผู้ติดตามเข้าไปด้วย และพลังโลหิตจะต้องถูกตรวจสอบ เพื่อป้องกันไม่ให้ใครว่าจ้างอัศวินอาภามาสวมบทของตนด้วยการแปลงกาย

ประตูหินรูปร่างประหลาดด้านหลังของอุลริชค่อยๆ กลายเป็นสีดำ เหมือนกับอสุรกายกำลังอ้าปาก อาร์เธนเป็นคนแรกที่ยืนอยู่หน้าประตู

เคานต์นูเรมเบิร์กหยิบเข็มตระกูลกอร์สออกมาแทงลงบนหลังมือของอาร์เธน

ลูเซียนรู้ว่านั่นเป็นการทดสอบพลังโลหิต เขารู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาเนื่องจากเขาไม่มั่นใจว่าหน้ากากแปลงกายจะซ่อนตัวตนของเขาจัดการตรวจสอบนี้ได้หรือไม่

หยดเลือดติดอยู่บนปลายเข็มแล้วถูกดูดเข้าไปอย่างรวดเร็ว

นูเรมเบิร์กพยักหน้าเบาๆ “เจ้าเข้าไปได้ อาร์เธน”

อาร์เธนเดินเข้าไปในประตู ก่อนที่จะเข้าไปในปราสาท เขามองกลับมาที่โบลัคด้วยท่าทีหาเรื่องและแกว่งกำปั้นไปมา ก่อนที่ลูเซียนจะตอบอะไร อาร์เธนก็หายเข้าไปในความมืดแล้ว

แล้วก็ถึงตาลูเซียน

ลูเซียนยื่นมือซ้ายออกไปอย่างสุขุม พยายามควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจและกล้ามเนื้ออย่างดีที่สุด ลูเซียนรู้สึกถึงกระแสไฟดูดเบาๆ ตอนที่เข็มแทงทะลุผิวหนัง

เมื่อเข็มหลุดออกจากมือเขา ลูเซียนเตรียมพร้อมรับมือสถานการณ์ หากเขาถูกจับได้ เขาจะใช้โอกาสดีที่สุดในการจับโซเฟียเป็นตัวประกันเพื่อหนีออกจากที่นี่

หยดเลือดดูเหมือนกับพระจันทร์สีน้ำเงินดวงเล็กๆ แสงจันทร์ดูนุ่มนวลและอ่อนโยน หยดเลือดสั่นไหวอยู่บนปลายเข็มเล็กน้อย และหัวใจของลูเซียนถึงกับเต้นไม่เป็นจังหวะ

วินาทีต่อมา หยดเลือดก็ถูกดูดเข้าไป

“เจ้าเข้าไปได้ โบลัค” เคานต์นูเรมเบิร์กตอบ “แต่ในอาวุธและชุดเกราะของเจ้า?”

ลูเซียนชี้ไปที่กระเป๋าของเขาแล้วตอบยังเคารพ “ทั้งหมดอยู่ในนี้ขอรับ”

นูเรมเบิร์กพยักหน้าและไม่ได้ถามอะไรต่อ ขณะเดียวกัน เรล์ฟและแคลร์ซึ่งยืนอยู่หลังลูเซียนต่างก็มีท่าทีประหลาดใจ

ทั้งสองได้รู้ว่าโบลัคปลุกพลังโลหิตที่เรียกว่า ‘จันทราสีเงิน’

ลูเซียนเดินตรงเข้าไปในความมืดอย่างสุขุมโดยไม่หันกลับมามองข้างหลัง

เขารู้สึกเหมือนเดินผ่านหมอกหนาที่เย็นยะเยือก แล้วลูเซียนก็พบว่าตัวเองอยู่ในห้องพักข้ารับใช้ขนาดใหญ่ที่มีเตียงนอนไม้และตู้เสื้อผ้าเก่าๆ เรียงรายเป็นแถวๆ

ลูเซียนสวมอุปกรณ์เวทมนต์ต่างๆ ทั้งกำไลเชือกอัคคี รองเท้าหลบฉาก เสื้อคลุมแปลงกาย และถุงมือยักษ์กินคน แล้วเขาก็แปลงเสื้อคลุมเวทมนตร์ให้กลายเป็นเสื้อเกราะสีเงิน เขาถือดาบที่ชื่อว่า ‘ดาบน้ำแข็ง’ อยู่ในมือ ลูเซียนออกจากห้องและก้าวเข้าสู่โถงทางเดิน ด้วยข้อมูลที่ได้รับมาจากไรน์ เขาก็เริ่มมองหาห้องลับ

ลูเซียนรู้มาว่าครั้งหนึ่งเคยมีชีวินรสายนเวท หรือสิ่งมีชีวิตที่ถูกสร้างขึ้นมาจากการเล่นแร่แปรธาตุ อยู่ในปราสาทใต้ดินแห่งนี้ แต่มันก็หายไปโดยไม่ทราบสาเหตุ ดังนั้น ปราสาทแห่งนี้จะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาตามแต่สัญชาตญาณของตัวปราสาท และคำสั่งที่เหมือนกับการผูกดวงโหราศาสตร์ของธานอส

ลูเซียนเดินอยู่ภายในปราสาทอย่างช้าๆ คอยสังเกตกระแสไหลเวียนของพลังงาน

เนื่องจากเขาไม่รู้ว่าดยุกและพวกขุนนางที่เหลือสามารถเฝ้าดูเหตุการณ์ข้างล่างนี้ได้หรือไม่ ลูเซียนจึงต้องระวังตัวเป็นพิเศษ เขาจะไม่แผ่พลังวิญญาณออกไป

เมื่อเลี้ยวตรงมุมทางเดิน เขาก็เผชิญหน้ากับอันดริสและโจเซลีนในห้องที่เปิดโล่งตรงหน้าเขา

“ฮ่าๆ เจ้าคนไร้ประโยชน์! ไหนล่ะเจ้าหญิงของเจ้า? ผู้ช่วยของเจ้าไปอยู่ที่ไหน?” อันดริสหัวเราะออกมาเสียงดัง เขาอยู่ในชุดเกราะสีดำ “ดูเหมือนพระเจ้าจะไม่ไยดีเจ้าเลยนะ!”

อันดริสยกดาบขนาดใหญ่ของเขาขึ้นสูงและพุ่งตรงมาทางโบลัค

โจเซลีนและผู้ช่วยของนางรู้สึกว่าโชคดีมาก การบังเอิญเจอกับโบลัคตอนที่เขาอยู่คนเดียวเป็นโอกาสทองของพวกเขา หากปล่อยให้โบลัคเจอกับเจ้าหญิงและเดนิซ โบลัคอาจกลายเป็นปัญหาใหญ่ของพวกเขา

ขณะเดียวกัน โจเซลีนก็แสดงความเมตตาของนางออกมาทางสายตา อย่างไรเสียแล้วโบลัคก็หลงรักนางมาเป็นเวลานาน

บางทีโบลัคกำลังยืนนิ่งด้วยความกลัว เนื่องจากเขาไม่ได้ขยับตัวเลย อันดริสกระโดดขึ้นสูงและตะบันดาบเข้าใส่โบลัคอย่างรุนแรง

“ไปลงนรกซะ!” อันดริสตะโกนลั่น

ทันใดนั้น มือสีเงินคู่หนึ่งก็หยุดดาบขนาดใหญ่ของเขาไว้

มือคู่นั้นเย็นเฉียบ แต่ก็ส่งพลังพอที่จะหยุดการโจมตีของอันดริส ซึ่งตอนนี้ห้อยโตงเตงอยู่กลางอากาศไม่ต่างจากกบรอการถูกเชือด

โจเซลีนและขุนนางคนอื่นๆ ต่างตกใจสุดขีด ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร

อันดริสมองเข้าไปในดวงตาสีฟ้าของโบลัค และความกลัวจับขั้วหัวใจก็เข้าเกาะกุมเขา

แสงของดาบตวัดวาบขึ้น อันดริสรู้สึกเย็นเยือก เกราะของเขาแตกออกตรงกลางอกรวมถึงเสื้อเชิ้ตชั้นใน เมื่อเกราะและเสื้อผ้าครึ่งหนึ่งร่วงลงกับพื้น อันดริสก็อยู่ในสภาพเปลือยเปล่า

หากพลังนั้นรุกคืบเข้ามาอีกสักนิ้วหนึ่ง… อันดริสไม่กล้าแม้แต่จะคิด เมื่อขาของเขาไม่เหลือพละกำลัง เขาก็คุกเข่าลงกับพื้น

“ข้าบอกแล้ว… อย่ามาร้องขอความเมตตาต่อหน้าข้า” ลูเซียนส่ายศีรษะ

………………………………….