ตอนที่ 683 ท่าทางดุจเซียนบนสวรรค์ / ตอนที่ 684 หลานชายซู

เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ

ตอนที่ 683 ท่าทางดุจเซียนบนสวรรค์

 

 

เป็นเพราะเหตุนี้ หลังจากจบการว่าราชกิจวันนี้ เขาจึงเข้าวังเพื่อปรึกษาป๋ายถานโดยเฉพาะ

 

 

พี่ชายของป๋ายถาน ป๋ายเฮ่อก็ถือว่าไม่เลวนัก ทว่าเปรียบเทียบระหว่างป๋ายถานกับป๋ายเฮ่อ ก็ยังถือห่างไกลกันมากโข

 

 

ตนนั้นรู้จักบุตรของตนเองดี นอกจากมีบางเรื่องที่ป๋ายถานจะหัวแข็งไปบ้าง แต่เรื่องอื่นๆ นั้นก็ไม่มีจุดอ่อนอะไรให้พูดอีก

 

 

“ท่านพ่อ” ป๋ายถานสูดหายใจเข้าลึก และรู้ว่าเวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะแสดงความอิจฉาริษยา นางพยายามเก็บความไม่สบายของตนเอาไว้ จากนั้นเอ่ยด้วยเสียงนุ่มนวลว่า

 

 

“หากท่านไม่สามารถดึงเขามาเป็นพวกด้วยกันได้ ท่านพ่อก็ไม่จำเป็นต้องเก็บคนผู้นี้เอาไว้!”

 

 

ป๋ายไต๋ซือได้ยินดังนั้น กลับไม่รู้สึกประหลาดใจ

 

 

ที่จริงแล้วความคิดของเขา ก็เหมือนกับป๋ายถาน!

 

 

ด้วยเหตุนี้เอง บุตรีคนนี้จึงเป็นบุตรที่เขารักมากที่สุด

 

 

“ข้ารู้ใจท่านพ่อดี!”

 

 

ป๋ายไต้ซือขมวดคิ้ว จากนั้นจึงตอบรับคำพูดของป๋ายถาน ในดวงตาของเขามีความโหดเ**้ยมและอำมหิตอย่างบอกไม่ถูก

 

 

 

 

ทางด้านซูหลีหลังจากรีบออกมาจากวังหลวงแล้ว เมื่อเห็นว่าโดยรอบไม่มีใครนางถึงได้พุ่งเข้าไปในรถม้า จากนั้นหยิบชุดสำรองด้านในผลัดเปลี่ยนกับชุดสตรีบนร่างของตน

 

 

นางถอดปิ่นปักผมออกจากศีรษะ จากนั้นรีบเกล้าผมขึ้นไป

 

 

นางยุ่งกับการผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่พักใหญ่ สักครู่ถึงได้จัดการกับตัวเองเรียบร้อย

 

 

“นายน้อย” ชุยตานที่นั่งอยู่ด้านนอกรถม้าและขับรถม้าอย่างรีบเร่ง หลังจากที่เขาไม่ได้ยินการเคลื่อนไหวจากภายใน จึงเอ่ยว่า

 

 

“เมื่อครู่ตอนที่แม่ทัพลู่ออกมา เขาได้บอกกับบ่าวว่า จะพาคุณหนูลู่ไปขอบคุณนายน้อยที่จวนล่าช้าหน่อยขอรับ”

 

 

หลังจากเช็ดเหงื่อบนหน้าผากของนางแล้ว นางจึงพลิกตัวไปม้วนผ้าม่านที่แขวนอยู่บนหน้าต่างของรถม้าขึ้น ทำให้ลมโกรกเข้ามา เพื่อให้ไอความร้อนของร่างกายเบาบางลงไปบ้าง จากนั้นในเวลานี้นางถึงได้คิดทบทวนถึงคำพูดของชุยตาน

 

 

ตอนนี้ทุกคนในเมืองหลวงล้วนทราบดีว่า นางเป็นคนช่วยลู่เหมียนเหมียนเอาไว้ การที่สกุลลู่มาขอบคุณถึงที่จวนนั้น ถือเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว

 

 

เพียงแต่ในใจของซูหลีอดที่จะสงสารลู่เหมียนเหมียนผู้นั้นมิได้

 

 

ทันทีที่เกิดเรื่องเช่นนี้ แม้ลู่เหมียนเหมียนจะไม่ได้ถูกคนข่มเหงจริงๆ ทว่าสุดท้ายแล้วก็เป็นการทำลายชื่อเสียง เดิมลู่เหมียนเหมียนก็ไม่ได้มีชื่อเสียงที่ดีนักในเมืองหลวง บัดนี้เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เกรงว่ายิ่งทำให้ชื่อเสียงของลู่เหมียนเหมียนแย่ลงกว่าเดิม

 

 

นางถอนหายใจออกมาเบาๆ ทว่านี่ไม่มีวิธีอื่นแล้ว

 

 

การว่าราชกิจในวันนี้ พวกเขาก็เห็นแล้วว่า หากพวกเขาไม่นำเรื่องนี้ออกมาพูด ต่อไปไม่รู้ว่านางจะถูกพ่อลูกสกุลเฉิงกระทำสิ่งใดบ้าง หากพลาดโอกาสนี้ คงจะถูกคนบีบบังคับยิ่งกว่าเดิม

 

 

ซูหลีพิงผนังรถม้าครุ่นคิดอะไรเรื่อยเปื่อย จากนั้นหนังตาของนางก็ค่อยๆ หนัก ผ่านไปพักหนึ่งก็ผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัว

 

 

จนกระทั่งรถม้าหยุดอย่างกะทันหัน นางถึงได้ตื่นขึ้น

 

 

ฉินเย่หานนี่ช่าง…

 

 

ไม่มีมนุษยธรรมโดยแท้!

 

 

ซูหลีได้แต่เข็ญเขี้ยวเคี้ยวฟันในใจ เขาทำให้นางมีท่าทางอ่อนปวกเปียกเช่นนี้!

 

 

“นายน้อย ดูเหมือนว่าคนสกุลลู่จะถึงแล้วขอรับ” ในขณะที่กำลังครุ่นคิด จู่ๆ ก็ได้ยินชุยตานเอ่ยคำพูดประโยคนี้ออกมา

 

 

ซูหลีอ้ำอึ้งไป หลังจากหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง นางก็เดินออกมาจากภายในรถม้า

 

 

ทันทีที่ออกมาก็พบว่า ด้านนอกประตูจวนซูมีรถม้าหลายคันจอดอยู่ แล้วลักษณะท่าทางแล้วไม่ใช่รถม้าของสกุลซู

 

 

“นายน้อย ท่านกลับมาแล้ว เร็วเข้าขอรับ แม่ทัพลู่มาถึงแล้ว เขากำลังรอนายน้อยอยู่ภายในห้องรับรองขอรับ!” ทางด้านซูหลีพึ่งจะลงมาจากรถม้าก็ถูกคนขวางไว้ คนที่ขวางนางไว้ไม่ใช่คนอื่น นั่นก็คือพ่อบ้านของสกุลซู

 

 

ซูหลีได้ยินดังนั้นจึงผงกศีรษะ ทว่ากลับไม่พูดอะไรออกมา และก้าวเท้าเข้าไปด้านใน

 

 

ในเวลานี้ภายในห้องรับรองของสกุลซู มีซูไท่และแม่ทัพลู่กำลังนั่งคุยกันอย่างได้อรรถรส

 

 

“ใต้เท้าซู…บุตรชายของท่านนั้นท่าทางดุจเซียนบนสวรรค์ ทว่าไม่รู้ว่าใต้เท้าซูมีงานหมั้นหมายให้กับบุตรชายของท่านหรือยัง” พูดไปพูดมาไม่รู้ว่าทำไมหัวข้อการสนทนาถึงมาหยุดอยู่ที่เรื่องของซูหลีจนได้

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 684 หลานชายซู

 

 

“นี่…ยังไม่มี!” ซูไท่ได้ยินดังนั้นจึงอ้ำอึ้งไปครู่หนึ่ง นับประสาอะไรกับเรื่องในวันนี้หากแม่ทัพลู่ไม่เอ่ยขึ้นมา เขาก็คงลืมไปแล้ว

 

 

ซูหลีอายุสิบเก้าปีแล้ว ชายหนุ่มทั่วไปในอายุอานามเท่านี้ ถึงแม้ยังไม่แต่งงาน ก็ต้องมีการหมั้นหมายแล้ว ทว่าซูหลีนี้ เป็นเพราะไม่มีมารดา ส่วนหลี่ซื่อก็…

 

 

เมื่อนึกถึงหลี่ซื่อ สีหน้าของซูไท่ก็เคร่งขรึมไปครู่หนึ่ง

 

 

นี่ทำให้คนอื่นมองว่า ซูหลีเป็นเด็กที่ไม่มีมารดาดูแลอย่างแท้จริง!

 

 

เพียงแต่บัดนี้จะหางานหมั้นหมายให้ซูหลีก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตำแหน่งของซูหลีในตอนนี้ ตำแหน่งขุนนางของซูหลีก็สูงกว่าซูไท่ผู้ซึ่งเป็นผู้อาวุโสเสียอีก

 

 

แม้จะมีตำแหน่งเป็นบัณฑิตถ้านฮวาของการสอบเคอจวี่ ก็คาดว่าจะคนจำนวนมากก็คงมีความสนใจ

 

 

ดวงตาของซูไท่วูบไหว มิน่าเล่าเขาถึงว่าทำไมหมู่นี้มีขุนนางจำนวนมากมาตะล่อมเชิญเขาไปดื่มสุรา แม้กระทั่งมีบางคนที่ในยามปกติไม่คบค้าสมาคมกับเขา ที่แท้ผลประโยชน์ที่พวกเขามองหาก็คือซูหลีนี่เอง

 

 

ซูหลีเป็นผลประโยชน์อย่างแท้จริง บัดนี้ซูไท่เข้าใจอย่างชัดแจ้ง

 

 

เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาจึงผงะเล็กน้อยแล้วเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ข้าอยากให้เขาตั้งใจเรียนหนังสือ กลัวว่าจะถูกเรื่องเหล่านี้รบกวนใจ ดังนั้นจึงไม่เคยพูดกับเขามาก่อน บัดนี้เป็นเวลาที่ต้องให้เขาลงหลักปักฐานสียที”

 

 

“ที่แท้เป็นเช่นนี้เอง!” แม่ทัพลู่ได้ยินดังนั้นก็ลูบเคราของตน มีประกายแวววาวพาดผ่านในดวงตา

 

 

ทว่าคนที่ยืนอยู่ข้างเขาทั้งสองคน คนหนึ่งก็คือลู่เหมียนเหมียนที่ซูหลีช่วยชีวิตเอาไว้ และซูหลีกลายเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตนางเอาไว้ ส่วนอีกคนก็คือลู่อวี้เหิง สีหน้าของทั้งสองคนแปลกประหลาดมาก

 

 

โดยเฉพาะลู่อวี้เหิง หลังจากได้ยินคำพูดที่มีเลศนัยของแม่ทัพลู่ ใบหน้าของเขาก็ตึงเครียด ดูไม่น่ามองเท่าไรนัก

 

 

“นายน้อยมาแล้วขอรับ!” ในขณะที่กำลังครุ่นคิดก็ได้ยินเสียงดังมาจากด้านนอก ทันทีที่ลู่อวี้เหิงเหลือบตาขึ้นมองก็เห็นซูหลีกำลังเดินเข้ามา

 

 

ก่อนหน้านางถือว่าไม่มีอะไร ทว่าบัดนี้ไม่ว่าจะมองไปทางใด ก็รู้สึกขัดหูขัดตาไปเสียหมด

 

 

รูปร่างเล็กอ้อนแอ้น ใบหน้าก็เล็กเพียงฝ่ามือ ผิวขาวดุจเครื่องเคลือบ ดูแล้วคล้ายกับอ่อนแอกว่าลู่เหมียนเหมียนหลายส่วน คนเช่นนี้จะมาเป็นสามีของลู่เหมียนเหมียนอย่างนั้นหรือ

 

 

“…” ลู่อวี้เหิงพลันใบหน้าเคร่งขรึม

 

 

ช่างไม่เหมาะสมกันเลยสักนิด

 

 

“แม่ทัพลู่!” ทันทีที่ซูหลีเข้ามาก็คารวะแม่ทัพลู่เป็นอันดับแรก บัดนี้นางเป็นขุนนางใหญ่ขั้นหนึ่งระดับล่าง เป็นขุนนางเช่นเดียวกับแม่ทัพลู่ จึงไม่จำเป็นต้องทำความเคารพเหมือนดังแต่ก่อน เพียงแค่ทำความเคารพเล็กน้อยก็พอแล้ว เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงความนอบน้อบของคนรุ่นหลัง นั่นก็เพียงพอแล้ว

 

 

แม่ทัพลู่เห็นอากัปกิริยาของซูหลี จึงฉีกยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ ไม่รอให้ซูหลีเอ่ยอะไรมาก จู่ๆ เขาก็ลุกขึ้นยืนและเอ่ยว่า

 

 

“หลานชายไม่จำเป็นต้องเกรงใจ!”

 

 

ซูหลีได้ยินดังนั้น เท้าของนางแทบจะเป๋กลางอากาศจนหกคะเมนไปด้านหน้า

 

 

โชคดีที่นางตอบสนองได้เร็วพอสมควรและทำให้ร่างของนางยืนอย่างมั่นคง ทว่าใบหน้ากลับฉายแววประหลาดออกมา นางเบิกตากว้างและจ้องซูไท่ นี่เป็นการใช้สายตาสอบถามซูไท่ว่า นี่แม่ทัพลู่ต้องการทำอะไรกัน!

 

 

ซูไท่ก็ไม่เข้าใจเช่นกัน

 

 

แม่ทัพลู่เป็นคนหยาบกระด้าง น้อยมากที่เขาเรียกคนอื่นเช่นนี้ ที่จริงแล้วในใจของเขาก็ไม่สบายใจเท่าไร ทว่าเมื่อเห็นท่าทางของซูหลี กลับหวนคิดถึงยามที่ซูหลีเข้ามาปกป้องลู่เหมียนเหมียนและสกุลลู่ในท้องพระโรง ในใจของเขาก็รู้สึกพึงพอใจมาก

 

 

“นั่งลงเถอะ!” อย่างไรซูไท่ก็เป็นคนมากประสบการณ์ อย่างไรก็พอจะคิดได้ว่าแม่ทัพลู่หมายความว่าอย่างไร

 

 

ทว่าในเวลานี้เขาไม่ค่อยไว้วางใจ ชื่อเสียงของลู่เหมียนเหมียนผู้นี้…ไม่พูดถึงเรื่องนี้ ยามที่ซูหลีกับลู่เหมียนเหมียนยืนอยู่ด้วยกันนั้น นั่นเป็นสิ่งที่แปลกประหลาดเป็นอย่างมาก จะเป็นเรื่องแปลกมากหากจะฝืนดึงทั้งสองคนนี้มาอยู่ด้วยกัน!

 

 

ทว่าสถานการณ์นี้ไม่เหมาะที่จะเอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมา

 

 

“หลานชาย ในเมื่อเจ้ามาแล้ว เช่นนั้นข้าก็จะไม่เสแสร้งแล้ว!” แม่ทัพลู่เป็นคนที่ใจร้อน เมื่อคิดได้เช่นนี้ก็ต้องการทำอะไรออกมาทันที

 

 

“หลานชายซู ข้าขอถามเจ้า เจ้าคิดว่าลู่เหมียนเหมียนของข้าเป็นอย่างไร?!”