ตอนที่ 681 ซูหลี! / ตอนที่ 682 ลากมาเป็นพรรคพวก

เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ

ตอนที่ 681 ซูหลี!

 

 

เมื่อชำเลืองคนที่อยู่ด้านข้างก็ขยับตามมาทางนี้ก้าวหนึ่งเช่นกัน

 

 

ซูหลีแอบกัดฟันจ้องมองยังรองเท้าปักลวดลายงูหลายปราด มองจนของสิ่งนี้แทบจะทะลุออกมา

 

 

“หยุดเดี๋ยวนี้นะ ข้ายังพูดไม่จบ ใครอนุญาตให้เจ้าออกไปกัน!?” ฉินม่อโจวยิ่งมองอากัปกิริยาเช่นนี้ของนาง เขายิ่งรู้สึกสงสัย จากนั้นจึงเอ่ยตำหนิด้วยเสียงเยียบเย็น

 

 

ในเวลานี้ซูหลีไม่อยากพูดคุยกับเขาเลยแม้แต่น้อย เขาขวางทางอยู่ตรงนี้ นางก็เดินไปอีกทางก้าวหนึ่งและหวังว่าตนจะสามารถก้าวข้ามผ่านท่านอ๋องผู้วุ่นวายเรื่องของผู้อื่นไปได้

 

 

คิดไม่ถึงว่ารองเท้าลวดลายงูที่สมควรตายคู่นั้น จะปรากฏอยู่ตรงหน้าซูหลี

 

 

“…” ซูหลีจนปัญญา

 

 

นี่เขาจงใจจะมีปัญหากับนางนี่นา!

 

 

“ให้พูดอย่างชัดเจน ห้องทรงอักษรนี่เป็นสถานที่ใด มันใช่สถานที่ที่เจ้าจะมาเดินเพ่นพ่านได้ที่ไหนกัน” น้ำเสียงของฉินม่อโจวเต็มไปด้วยความเย็นชา

 

 

ซูหลีสูดลมหายใจเข้าลึก นี่เขาเป็นคนเขลาหรือไม่

 

 

หากนางมีอะไรผิดปกติจริง ที่นี่ล้วนมีทหารลาดตระเวนและผู้ดูแลภายในวังเต็มไปหมด นางจะสามารถเดินมาที่นี่อย่างสง่าผ่าเผยเช่นนี้ได้อย่างไรกัน

 

 

ทว่าคำพูดนี้นางไม่อาจพูดออกมาได้

 

 

นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นจึงเงยหน้าขึ้น

 

 

การที่นางเงยหน้าขึ้นอย่างกะทันหันเช่นนี้ เป็นสิ่งที่ฉินม่อโจวกับจี้เหิงหรานทั้งสองคนคาดไม่ถึง โดยเฉพาะฉินม่อโจว เขาจึงสบตากับซูหลีโดยไม่ทันได้ตั้งตัว

 

 

เขาผงะเล็กน้อย ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยอะไรออกมาก็เห็นซูหลีหลบตาลงอย่างรวดเร็วถอนสายบัวและเอ่ยว่า

 

 

“หม่อมฉันมีที่มาอย่างไร ท่านอ๋องโปรดไปถามฮ่องเต้ด้วยพระองค์เถิดเพคะ กระหม่อมมีเรื่องต้องไปกระทำ ขอประทานอภัยที่ไม่อาจอยู่คุยด้วยได้!”

 

 

พูดจบนางก็ก้าวเท้าเดินออกไป ไม่สิควรจะเรียกว่าก้าวท้าววิ่งออกไป

 

 

อีกทั้งยังถลกกระโปรงของตนเองและวิ่งออกไป!

 

 

“…” ฉินม่อโจวตลึงงัน

 

 

สตรีคนนี้มาจากที่ไหนกัน ถึงได้เดินผิดที่ผิดทางที่นี้!

 

 

เขาไม่เคยเห็นคนเช่นนี้มาก่อน!

 

 

มิหนำซ้ำเมื่อครู่ซูหลีเพียงเงยหน้าขึ้นมาเพียงครู่เดียว เขาจึงไม่สามารถเห็นรูปโฉมของซูหลีได้อย่างชัดเจน ในหัวของเขาเพียงจดจำได้แต่ดวงตาที่เป็นประกายดุจแสงดาวคู่นั้น ช่างสวยงามยิ่ง

 

 

สตรีที่มีดวงตาเช่นนี้ จักต้องเป็นโฉมสะคราญอย่างแน่แท้

 

 

เสียดายที่นางสวมผ้าคลุมหน้าเอาไว้ ดังนั้นฉินม่อโจวจึงมองไม่เห็นความงามนี้

 

 

ดวงตาของฉินม่อโจวมีประกายความเสียดายพาดผ่าน ในใจกำลังครุ่นคิดถึงแต่ซูหลี เขาจึงไม่ได้สังเกตจี้เหิงหรานที่อยู่ด้านข้าง หลังจากเห็นซูหลี สีหน้าของจี้เหิงหรานจึงมีความตกตะลึง

 

 

เมื่อครู่แม้ฉินม่อโจวยังเห็นไม่ชัดเจน ทว่าจี้เหิงหรานกลับเห็นอย่างแจ่มแจ้ง!

 

 

จี้เหิงหรานมีข้อบกพร่องจุดหนึ่ง ก็ไม่สามารถเรียกได้ว่าข้อบกพร่อง ควรจะเรียกว่าพรสวรรค์

 

 

เขามีความสามารถในการจดจำใบหน้าของคนที่เคยผ่านตา

 

 

ไม่ว่าจะเห็นเพียงครั้งหนึ่งหรือคนที่พบเห็นทุกวัน เขาสามารถจดจำไว้ในใจได้อย่างเหนียวแน่น ดังนั้นช่วงเวลาเพียงพริบตาเดียวที่สตรีผู้นั้นเงยหน้าขึ้นมา เขาก็จำคนผู้นั้นได้ทันที!

 

 

ซูหลี!

 

 

คิดไม่ถึงว่าจะเป็นซูหลี!

 

 

แม้สตรีผู้นั้นจะสวมผ้าคลุมหน้าปิดบังใบหน้าไว้มากกว่าครึ่ง ทว่าจี้เหิงหรานก็ไม่มีทางมองผิด ดวงตารูปดอกท้อครู่นั้นโดดเด่นเกินไป เหมือนดวงตาของซูหลีในความทรงจำของเขาราวกับแกะ แม้แต่เปลือกตาที่กะพริบขึ้นช้านั้นก็ยังเหมือนกัน

 

 

ในใจของจี้เหิงหรานนั้นทราบดีว่า แม้คนบนโลกใบนี้จะมีความคล้ายคลึงกันถึงขนาดไหน ทว่าก็ไม่มีทางที่จุดอันเป็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ก็จะเหมือนกันเช่นนี้

 

 

แม้แต่ฝาแฝดก็ยังไม่สามารถคล้ายคลึงกันได้ขนาดนี้

 

 

นอกเสียจากคนทั้งสองคนจะเป็นคนเดียวกัน

 

 

ซูหลี…

 

 

น้ำเสียงเมื่อครู่นี้ อากัปกิริยานั้น และรูปร่าง!

 

 

เห็นได้ชัดว่าเป็นร่างของสตรี!

 

 

ใบหน้าของจี้เหิงหรานตกตะลึงพรึงเพริด ในเวลานี้เขาไม่รู้ว่าตนควรจะพูดอะไรออกมาดี

 

 

เดิมในช่วงเวลานี้ เขาคิดวิถีทางเพื่อจะนำเย่ว์ลั่วออกมาจากข้างกายซูหลี

 

 

นั่นเป็นเพราะชื่อเสียงอันเลื่องลือของซูหลี…

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 682 ลากมาเป็นพรรคพวก

 

 

คิดไม่ถึงว่า สุดท้ายสิ่งที่เขารู้ก็คือ เดิมซูหลีนางเป็นสตรี!

 

 

นี่…

 

 

นี่เป็นการตบตาระดับไหนกัน!

 

 

ทว่าแม้จะตบตาอย่างไรจี้เหิงหรานก็เชื่อมั่นว่าการคาดการณ์ของตนไม่มีทางผิดพลาด สตรีที่ซอยเท้าไปอย่างรวดเร็วเมื่อครู่จักต้องเป็นซูหลีอย่างแน่นอน!

 

 

บัณฑิตถ้านฮวาของราชสำนักผู้ที่มีชื่อเสียงขจรทั่วหล้า ใต้เท้ากลับเป็นสตรีผู้หนึ่ง!

 

 

ไม่รู้ว่าหากคนใน ท้องพระโรงเหล่านั้นทราบเรื่องนี้แล้ว จะมีท่าทีอย่างไรกัน!

 

 

 

 

ณ ตำหนักซีซา

 

 

“เป็นอย่างไร ได้ยินข่าวอะไรมาหรือไม่” สีหน้าของป๋ายถานดูย่ำแย่จนถึงขีดสุด หาได้มีกิริยาท่าทางสวยเพรียบพร้อมและอบอุ่นเหมือนยามปกติเลยแม้แต่น้อย

 

 

ขันทีผู้น้อยคุกเข่าอยู่ที่พื้นได้ยินดังนั้น จึงรีบเอ่ยว่า “ทางห้องทรงอักษรนั้น คนของเราไม่สามารถแทรกแซงเข้าไปได้ ข้าน้อยก็ไม่กล้าเข้าไปในบริเวณนั้น จึงทำได้เพียงจับตามองอยู่ห่างๆ พ่ะย่ะค่ะ…”

 

 

“แล้วเป็นอย่างไรบ้าง!?” ป๋ายถานอดกลั้นต่อไปไม่ไหว จากนั้นจึงเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา

 

 

“ทูลเหนียงเหนียง หลังจากเหนียงเหนียงเสด็จออกไป ข้าน้อยก็คอยเดินสำรวจตามถนนด้านนอกของห้องทรงอักษรอยู่ตลอด รออยู่นานถึงได้เห็นไหวอ๋องและใต้เท้าจี้เดินไปทางห้องทรงอักษร จากนั้นผ่านไปพักหนึ่งก็เห็น…ก็เห็นสตรีชุดแดงผู้หนึ่งเดินออกมาจากห้องทรงอักษรพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ป๋ายถานกำมือแน่น ใบหน้าเต็มไปด้วยความกระวนกระวายใจ และเอ่ยว่า “เจ้าเห็นรูปโฉมของนางหรือไม่”

 

 

“ไม่เห็นพ่ะย่ะค่ะ!” ขันทีผู้นั้นส่ายศีรษะไปมา จุดที่เขายืนอยู่ไกลออกไป จึงไม่เห็นหน้าตาของสตรีผู้นั้น อีกทั้ง…

 

 

“ข้าน้อยยืนอยู่ไกลมาก จึงไม่สามารถเห็นรูปโฉมของนางได้ อีกทั้งบนหน้าของสตรีผู้นั้นยังมีผ้าคลุมหน้าด้วยพ่ะย่ะค่ะ! นางออกไปอย่างรวดเร็ว กระหม่อมยังไม่ทันจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง สตรีผู้นั้นก็หายไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”

 

 

หากเขาไม่ได้เห็นด้วยตาของตนเอง ขันทีผู้นี้คงคิดว่าตนเองเกิดความรู้สึกหลอนไปเสียแล้ว!

 

 

ป๋ายถานได้ยินดังนั้น สีหน้าของนางจึงเปลี่ยนไปจนมิอาจคาดเดาได้และดูไม่น่ามองเป็นอย่างยิ่ง

 

 

“พอแล้ว เจ้าออกไปเถอะ!” คนที่อยู่ด้านข้างเมื่อได้ยินคำพูดของขันทีผู้นี้ จึงโบกมือบอกให้เขาออกไป

 

 

“ท่านพ่อ…” คนผู้นั้นไม่ใช่ใครอื่น นั่นก็คือป๋ายไต้ซือ บิดาแท้ๆ ของป๋ายถาน!

 

 

“เรื่องของสตรีผู้นี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญ!” ป๋ายไต้ซือลูบที่เคราของตนเอง จากนั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

 

 

หลังจากป๋ายถานได้ยินคำพูดของบิดา สีหน้าจึงเปลี่ยนเป็นย่ำแย่กว่าเดิม

 

 

ป๋ายไต้ซือเห็นนางเป็นเช่นนี้ ในใจจึงมีความไม่เข้าใจนัก ตั้งแต่ป๋ายถานเข้ามาอยู่ในวัง ยังไม่เคยได้รับการโปรดปรานจากฮ่องเต้ ทว่าบัดนี้ กลับมีสตรีจากที่ไหนปรากฏตัวขึ้นมา และยังกระทำเรื่องเช่นนั้นในห้องทรงอักษรกับฮ่องเต้อีก…

 

 

ป๋ายถานถูกเลี้ยงดูแบบประคบประหงมโดนเอาอกเอาใจมาตั้งแต่เล็ก เป็นธรรมดาที่จะไม่ยินยอมให้เรื่องนี้ผ่านไปได้โดยไม่ครุ่นคิดอะไร

 

 

ทว่าบัดนี้ พวกเขาไม่ควรสนใจเรื่องของสตรีอะไรนั่น ยังมีเรื่องที่อยู่ตรงหน้าที่ต้องจัดการอีกมากมาย หากจัดการไม่เรียบร้อย เกรงว่า…

 

 

“อย่าเพิ่งสนใจว่าสตรีผู้นั้นจะเป็นใคร ปล่อยเรื่องนี้ไว้ก่อน ส่วนซูหลี พวกเราจักต้องลากเขามาเป็นพรรคพวก!” ป๋ายไต้ซือเอ่ยคำพูดประโยคนี้ออกมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

 

 

ป๋ายถานได้ยินดังนั้นจึงดึงสติกลับมา นางมองไปที่บิดาของตนปราดหนึ่ง จากนั้นเอ่ยด้วยสีหน้าทะมึนตึงว่า “หากท่านพ่อต้องการลากซูหลีมาเป็นพรรคพวก ลูกก็พอเข้าใจ เพียงแต่อุปนิสัยของซูหลีผู้นั้นดูพิลึกพิลั่นมาโดยตลอด เขาช่างเป็นคนที่ยากจะจัดการ ท่านพ่อเคยคิดหรือไม่ว่า หากคนผู้นี้ไม่สามารถจัดการได้ง่ายๆ เช่นนั้นควรจะทำอย่างไร”

 

 

หลังจากป๋ายไต้ซือได้ยินคำพูดของป๋ายถาน สีหน้าของเขาจึงดูเข้มขึ้น

 

 

เขานั้นมีทายาทจำนวนไม่น้อย ทว่าป๋ายถานเป็นคนที่ได้ดั่งใจเขาที่สุด บุตรีคนนี้เป็นคนฉลาดปราดเปรียวมาโดยตลอด ไม่ว่าจะด้านการเรียนหรือด้านอื่นๆ…

 

 

ป๋ายไต้ซือเคยคิดแม้กระทั่ง หากป๋ายถานเป็นบุรุษ เขาคงจะมีความสุขและสามารถฝากเรื่องของสกุลป๋ายไว้ในมือของป๋ายถาน เขาถึงจะวางใจที่สุด