ตอนที่ 679 หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาท
ซูหลีมีความคิดที่อยากจะตายโดยแท้!
อย่างไรก็ตาม ไม่ต้องรอให้ถึงเวลานั้น
หวงเผยซานเรียกสาวใช้สองคนมาอาบน้ำแต่งตัวให้ซูหลี ทันทีซูหลีเห็นเสื้อผ้าที่ทางนั้นส่งเข้ามา นางก็อยากจะตายเสียจริง
ชุดอาภรณ์ของสตรี!
ชุดอาภรณ์ของสตรีอีกแล้ว!
ซูหลีกระตุกที่มุมปาก จากนั้นจึงยกชุดอาภรณ์สตรีที่ประณีตขึ้นมามองปราดหนึ่ง จากนั้นจึงมองดูถาดไม้สีแดงที่สาวใช้ถืออย่างจริงจังและเอ่ยว่า
“ไม่มีอาภรณ์บุรุษหรือ”
“ใต้เท้าซูโปรดให้อภัย!” ทันทีที่สาวใช้ผู้นั้นได้ยินคำพูดของนาง จึงรีบคำนับด้วยสีหน้าว้าวุ่น
เมื่อคิดก็ว้าวุ่นใจ คนตรงหน้าเห็นได้ชัดว่าเป็นสตรี ทว่านางกลับเรียกซูหลีว่าใต้เท้าซู
“นี่เป็นคำสั่งของหวงกงกงเจ้าค่ะ!”
ซูหลีทราบดีว่าหวงเผยซานหาได้มีใจกล้าบ้าบิ่นถึงขนาดนำอาภรณ์ชุดนี้มาให้นางสวมใส่ นี่จักต้องเป็นคำสั่งของฮ่องเต้อย่างแน่นอน
ทว่านางไม่อยากจะใส่อาภรณ์ชุดนี้…
หลังจากซูหลีชะงักไปครู่หนึ่ง ในใจต่อสู้กันอยู่นาน สุดท้ายก็ผงกศีรษะได้อย่างขมขื่น
นางทราบดีว่าหากแต่งเป็นสตรีออกไปถือว่าเหมาะสมที่สุด เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง ก่อนหน้านี้ที่ป๋ายถานอยู่ด้านนอกของประตู นางก็ได้ยินเสียงของสตรีแล้ว หากในเวลานี้นางแต่งตัวเป็นบุรุษออกไปจักต้องทำให้คนสงสัยอย่างแน่นอน
หากแต่งเป็นสตรีก็แตกต่างกันไป
อีกทั้งคนที่นำชุดมาส่งนี้ก็เห็นได้ชัดว่า คิดอย่างรอบคอบมาก แม้กระทั่งผ้าคลุมหน้าก็เตรียมทุกอย่างให้ซูหลีเรียบร้อยแล้ว
นอกจากจะยินยอม ซูหลียังจะสามารถทำอะไรได้อีกกัน
นอกจากยินยอม?
อาภรณ์ชุดนี้งดงามเป็นอย่างมาก และยังอาภรณ์ตามแบบฉบับของซูหลี เมื่อแต่งตัวและเกล้าผมให้นางเสร็จ แม้แต่สาวใช้ผู้นั้นก็ไม่กล้าชำเลืองมองนางโดยตรง
นางเพียงรู้สึกว่าใต้เท้าซูท่านนี้มีรูปโฉมงดงามเป็นอันดับต้นๆ ส่วนอื่นยังไม่ต้องพูดถึง แค่เพียงดวงตารูปดอกท้อนั้นดูมีเสน่ห์เย้ายวน ทันทีที่ช้อนสายตาขึ้นก็สามารถดูดพลังชีวิตของคนเป็นๆ ไปได้!
“เสร็จแล้ว เช่นนั้นก็ออกไปเถอะ” เดิมซูหลีอยากที่จะผูกผ้าคลุมหน้าขึ้นมาทันที ทว่าหลังจากนางยกมือขึ้นกลับชักมือลง
ในเมื่อฝ่าบาททรงตั้งพระทัยให้นางแต่งตัวเช่นนี้ เช่นนั้นนางก็จะแต่งตัวเช่นนี้ให้เขาดู
วันนี้ผ้าพันหน้าอกของนางถูกฉีกขาดพอดี และประสิทธิผลของยาปลอมตัวได้สลายหายไปอย่างสมบูรณ์หลังจากที่นางกับฉินเย่หานมีอะไรกันแล้ว จึงเป็นการสวมอาภรณ์บนร่างสตรีอย่างแท้จริง
เมื่อซูหลีคิดดังนั้น จึงหยิบผ้าคลุมหน้ามาไว้ในมือ จากนั้นเดินออกไปด้านนอก
“หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาท ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นๆ ปี” น้ำเสียงออดอ้อนของสตรีและมีความอ่อนหวานชวนให้คล้อยตาม อีกทั้งมีความนุ่มนวลอย่างบอกไม่ถูก เดิมฉินเย่หานกำลังนั่งอ่านราชฎีกา เมื่อได้ยินเสียงนี้แล้วก็แหงนศีรษะขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่
ทันทีที่ชำเลืองมองก็มิอาจละสายตาของตนออกมาได้
คนที่อยู่ตรงหน้านี้ สวมเสื้อกันหนาวที่ทอด้วยไหมแดง บนชุดนั้นปักลวดลายร้อยวิหคคำนับพญาหงษ์ ส่วนท่อนล่างนั้นสวมกระโปรงทรงสุ่มสีขาวดุจหิมะ เห็นเพียงแค่ปลายเท้าเล็กๆ เท่านั้น ส่วนผมนั้นเกล้าเป็นทรงตกหลังม้า[1] ด้านข้างผมมวยปักด้วยปิ่นแก้วรูปนกกางเขนเกาะกิ่งเหมย ทั้งยังมีไข่มุกเป็นพู่ยาวระย้าลงมา
พู่ระย้าบนปิ่นปักผมพลิ้วไหวไปพร้อมกับการเคลื่อนไหวของนาง ยิ่งขับให้ใบหน้าของนางดูมีเสน่ห์เย้ายวนมากยิ่งขึ้น
ดวงตารูปดอกท้อที่น่าเย้ายวนใจค่อยๆ ช้อนขึ้น จนเห็นดวงตาสีดำสนิทแต่เป็นประกายแวววาว เป็นแสงแพรวพราวดุจแสงดาว ดูฉลาดแพรวพราวเป็นอย่างมาก
น้อยครั้งที่ฉินเย่หานจะจ้องมองสตรีอยู่ตลอดเวลาเช่นนี้ ทว่าการปรากฏตัวของซูหลีทำให้เขาต้องมองแล้วมองอีกและเป็นการยากที่จะละสายตาจากนาง
ซูหลียืนห่างจากเขามาก แต่ก็รู้ว่าเขายังมองนางอยู่
นางเม้มริมฝีปากเล็กน้อย ก่อนที่จะรอให้เขาพูดนางก็ลุกขึ้นยืนมองเขาด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มและเอ่ยว่า “ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันมีเรื่องต้องไปกระทำ จึงไม่สะดวกที่จะอยู่ต่อเพคะ”
“เช่นนั้นหม่อมฉันขอตัวลาแล้วเพคะ” แม้พูดว่าขอตัวลา กลับชำเลืองตาขึ้นมอง
——
[1] ทรงตกหลังม้า เป็นการเกล้ามวยผมในราชวงศ์ฮั่น ทรงตกม้าเป็นทรงผมหนึ่งที่มวยผมเอียงอยู่ด้านข้าง ลักษณะคล้ายกำลังตกหลังม้า
ตอนที่ 680 หยุดเดี๋ยวนี้!
เพียงเห็นดวงตาที่เดิมมีเสน่ห์เป็นอย่างมากของซูหลี ในเวลานี้กลับมีกลิ่นอายบางอย่างบอกไม่ถูก
หากคนอื่นจ้องมองนางคงจะดีกว่านี้ ดวงตาของฉินเย่หานพลันเปลี่ยนเป็นลุ่มลึกขึ้นทันใด
เขาต้องการแม้กระทั่งอยากจะจับนาง และ…
“หม่อมฉันขอตัวลาเพคะ” คิดไม่ถึงว่าเขาจ้องนางตาไม่กะพริบเช่นนี้ นางกลับแย้มยิ้มอย่างมีเสน่ห์ให้กับเขา จากนั้นจึงนำผ้าคลุมหน้าที่อยู่ในมือสวมขึ้น หลังจากค่อยๆ คำนับเขาครั้งหนึ่ง นางก็หมุนกายออกจากที่นี่
“…” ฉินเย่หานยังคงนิ่งเงียบ
ตลอดทางที่ซูหลีเดินออกจากห้องทรงอักษร นางยังรู้สึกว่าด้านหลังของนางมีสายตาที่ร้อนแรงเป็นอย่างมากคอยจับจ้องอยู่ คล้ายกับจะกลืนกินนางทั้งร่างก็มิปาน
นางถอนหายใจออกมาอย่างเบาใจ สีหน้าเปลี่ยนเป็นดีขึ้นกว่าเดิม
ดูแต่กินไม่ได้ นี่ถือเป็นสิ่งตอบแทนที่นางมอบให้แก่ฉินเย่หานในวันนี้!
ซูหลียกยิ้มหัวเราะขึ้น ดวงตารูปดอกท้อหยีลงเล็กน้อย ช่างยั่วเย้าอย่างบอกไม่ถูก
“ถวายบังคมท่านอ๋อง!” ทว่าไม่รอให้นางหัวเราะนาน พลันได้ยินเสียงเช่นนี้ดังขึ้น
ซูหลีตกใจวาบในทันที จากนั้นจึงแหงนศีรษะขึ้นมองก็พบกับฉินม่อโจวกับจี้เหิงหรานทั้งสองคนกำลังเดินตามกันมาทางนาง
ไม่ใช่การเดินมาทางนี้ ควรจะกล่าวว่า กำลังเดินไปยังห้องทรงอักษรที่อยู่ด้านหลังของนาง
“…” ซูหลีตะลึงงัน
นี่ยังไม่ให้นางมีความสุขสักเท่าไหร่ ก็มีเรื่องเช่นนี้โผล่มาอีก ในเวลานี้นางสวมอาภรณ์เช่นนี้อยู่
ซูหลีถึงกับปวดหัวขึ้นมาทันที นางอยากจะหลบทั้งสองคนนี้ ทว่าทันทีที่หมุนกายไปกลับพบว่าบริเวณนี้นั้นว่างเปล่า หาได้มีที่ให้นางซ่อนตัวไม่
อีกทั้งนางแต่งตัวมิเหมือนกับสาวใช้ภายในวัง คนที่เฉลียวฉลาดแค่มองปราดเดียวก็รู้ว่านางไม่ใช่สาวใช้ในวัง
กอปรชุดอาภรณ์สีแดงสดทั้งชุดนี้…
ในเวลานี้ซูหลีกลับกลายเป็นเป้าสายตาในบริเวณหน้าห้องทรงอักษรมากที่สุด!
“นี่ใครกัน” เสียงของฉินม่อโจวดังมากนั้นด้านหน้า สีหน้าของซูหลีจึงเปลี่ยนไปในทันที ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้นางจึงทำได้เพียงก้มศีรษะของตนลง ไม่กล้าสบตากับฉินม่อโจว
“นี่…” คนที่เดินนำฉินม่อโจวกับจี้เหิงหรานทั้งสองคนมา ก็คือขันทีผู้น้อยคนหนึ่ง เมื่อเห็นสตรีผู้หนึ่งปรากฏตัวที่นี่อย่างกะทันหัน เขาก็อ้ำอึ้งไปทันที
ซูหลีก่นด่าฉินม่อโจวอยู่ในใจหลายประโยค ในยามปกติไม่เห็นว่าเขาจะสายตาดีขนาดนี้ ทว่าในเวลานี้สายตากลับดีนัก ทันทีที่เดินมาก็เห็นนางเป็นคนแรก!
“หม่อมฉันถวายบังคมท่านอ๋องเพคะ” นางกัดฟันไม่ปล่อยให้ขันทีผู้นั้นเปิดปากเอ่ย กลับเป็นคนส่งเสียงออกมาเอง
ดีที่เสียงของนางกับเสียงของซูหลีในความทรงจำของฉินม่อโจวแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง นางดูมีเสน่ห์เย้ายวน แม้แต่น้ำเสียงยังอ่อนหวานจนถึงขีดสุด ไม่เหมือนเสียงที่ทุ้มต่ำของซูหลีเลยสักนิด
ฉินม่อโจวขมวดคิ้วเล็กน้อย คนที่แทนตัวเองว่าหม่อมฉัน ไม่ใช่คนในวังแน่แท้ เช่นนั้นทำไมถึงรู้สึกแปลกใจยิ่งนัก
ในขณะที่เขาคิดจะสอบถาม คิดไม่ถึงว่าจะเห็นสตรีก้มศีรษะมองปลายเท้าของตนเองโดยตลอด ฉินม่อโจวขมวดคิ้วและเอ่ยว่า
“เงยหน้าขึ้น!”
ซูหลีชะงัก
จะเงยหน้าขึ้นทำไมกัน!
ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาจี้เหิงหรานไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ เพียงแต่ที่นี่เป็นห้องทรงอักษร ไม่มีใครทราบเรื่องท่าทีที่ฮ่องเต้ทรงปฏิบัติต่อสตรีทั่วไปได้ชัดเจนเท่าเขาแล้ว
ดังนั้นนี่เป็นโอกาสที่หาได้ยากที่เขาจะเกิดความสงสัย และจ้องมองไปที่ซูหลี
สายตาของทั้งสองคนนี้ทำให้ซูหลีกดดันเพิ่มขึ้นทวีคูณ
นางพลันรู้สึกว่าอย่าได้สนใจเรื่องธรรมเนียมมารยาทอะไรนัก สามารถออกไปได้ก็ควรจะรีบไปก่อน
“หม่อมฉันมีเรื่องด่วน ขอทูลลาเพคะ” นางถอนสายบัวให้กับทั้งสองคน ขณะที่ก้าวเท้าอยากที่จะออกไปจากตรงนี้
คิดไม่ถึงว่าเพียงก้าวออกไปก้าวเดียว…