ท่ามกลางความคาดหวังของทุกคน อวิ๋นจิ่นกล่าวว่า “ยานี้เรียกว่ายาเม็ดอี้กู่ ทำจากไขกระดูกของคนเผ่าวิหค โดยนำมาหลอมให้กลายเป็นยาเม็ด หลังจากใช้ยานี้แล้ว ไม่เพียงทำให้ไข้ลดลงเท่านั้น หากผู้ใช้เป็นผู้ฝึกวรยุทธ์ก็จะให้ผลลัพธ์ที่วิเศษต่อการเพิ่มพลังภายใน”
ยาเม็ดอี้กู่นั้นหาได้ไม่ยาก และยาเม็ดนี้ยังอยู่ในเมืองตี้จิงอีกด้วย
ขณะนี้แม่ทัพใหญ่หลานย้ายมาประจำการที่เมืองตี้จิง เขาเป็นคนเผ่าวิหคเช่นกัน ทั้งซูอวี้ยังเคยเห็นยาเม็ดอี้กู่ด้วยตาตนเองอีกด้วย
ตอนที่ซูอวี้อยู่ในหุบผาราชันพิษและได้รับพิษเผ่าเหมียวของแคว้นไหวเจียง เมื่อหลานเยวี่ยหลีทราบข่าวอาการบาดเจ็บของเขา เพื่อช่วยรักษาเขา นางจึงตั้งใจนำยาเม็ดอี้กู่มามอบให้
ทว่าตอนนั้น พิษเผ่าเหมียวในร่างของเขา ซูจิ่นซีได้กำจัดไปแล้ว ทั้งเขายังฟื้นตัวได้เป็นอย่างดี ดังนั้นจึงปฏิเสธไม่รับยาเม็ดอี้กู่
เวลานั้นหลานเยวี่ยหลียืนกรานจะมอบให้ ซูอวี้ทำได้เพียงรับเอาไว้ เดิมทีคิดจะมอบให้ซูจิ่นซีแต่ก็ไม่ได้นำไปให้ จากนั้นซูอวี้จึงให้จี้เหยียนส่งยานั้นกลับไปให้หลานเยวี่ยหลี
เผ่าวิหคที่มีรูปีกนั้นมีจำนวนไม่มาก และผู้ที่มีไขกระดูกในรูปีก ซึ่งสามารถนำมาปรุงยาสมุนไพรได้ยิ่งมีน้อยลงไปอีก ยาเม็ดอี้กู่ไม่เพียงเป็นยาล้ำค่าของมนุษย์ทั่วไปเท่านั้น กระทั่งเผ่าวิหคเองยังถือเป็นของล้ำค่ามากเช่นกัน
ไม่แน่ว่าตอนนี้ ในใต้หล้าอาจมียาเม็ดอี้กู่เพียงเม็ดเดียวเท่านั้น
ดังนั้นเพื่อให้ไข้ของซูจิ่นซีลดลงอย่างรวดเร็ว ซูอวี้ทำได้เพียงไปหาหลานเยวี่ยหลีและนำยาเม็ดอี้กู่กลับมา
“แม้ยาเม็ดอี้กู่จะหาได้ยากสักหน่อย ทว่าในฐานะแม่ทัพใหญ่หลานแห่งเผ่าวิหคซึ่งเป็นผู้รับใช้โยวอ๋อง หากขอร้องให้พวกเขามอบยาเพื่อช่วยเหลือพระชายา คิดดูแล้วคงไม่ใช่เรื่องยากอันใด ข้าคิดว่า ในเมื่อตอนนี้ท่านอ๋องไม่อยู่ที่จวน เช่นนั้นให้พ่อบ้านพาข้าไปอธิบายเหตุผลกับแม่ทัพใหญ่หลานด้วยตนเอง คงเหมาะสมกว่า”
ใบหน้าของซูอวี้มีความสับสนอยู่บ้าง
“ไม่ต้องยุ่งยากเช่นนั้น ข้ารู้ว่ายาเม็ดอี้กู่อยู่ที่ใด อย่างไรให้ข้าไปตามหาเถิด! ”
“ท่านรู้หรือ? ” อวิ๋นจิ่นมองซูอวี้ด้วยท่าทีประหลาดใจ
ซูอวี้ไม่ได้อธิบายเหตุผลว่าเขารู้ตำแหน่งของยาเม็ดอี้กู่ได้อย่างไร “สองชั่วยาม หมอหลวงอวิ๋น ท่านอดทนรอสักสองชั่วยาม ภายในสองชั่วยามนี้ ข้าจะนำยาสมุนไพรนั้นกลับมาให้ท่าน”
ซูอวี้พูดจบก็ไม่รอคำตอบจากอวิ๋นจิ่น และเดินออกไปอย่างรวดเร็วราวกับสายลม
ซูอวี้เดินออกมา จี้เหยียนผู้ติดตามก็รออยู่ที่ประตูแล้ว เมื่อขึ้นไปนั่งบนรถม้า ซูอวี้ก็กำชับให้จี้เหยียนขับรถไปยังหอโอสถเย่าอันทันที
เวลานี้ หลานเยวี่ยหลีอยู่ที่หอโอสถเย่าอันพอดี
ก่อนหน้านี้ เพื่อให้ได้ใกล้ชิดกับซูอวี้ หลานเยวี่ยหลีจงใจใช้ข้ออ้างว่าต้องการเรียนวิชาแพทย์กับจิ่วหรง เพื่อจะได้เข้าไปช่วยงานที่หอโอสถเย่าอันของสกุลซู
ทว่าหลังจากที่นางเข้ามาในหอโอสถเย่าอันและได้พบกับจิ่วหรงสองครั้ง ต่อมาไม่รู้เพราะเหตุใด จิ่วหรงจึงไม่ได้มาตรวจวินิจฉัยโรคในหอโอสถเย่าอันอีกเลย
หลานเยวี่ยหลีสอบถามจากคนในหอโอสถหลายครั้ง จึงพอรู้สาเหตุว่าทางสำนักเกิดเรื่องบางอย่าง จิ่วหรงจึงกลับไปยังสำนักแพทย์เทียนอีชั่วคราว
แท้จริงแล้ว หลานเยวี่ยหลีได้สอบถามสาเหตุที่จิ่วหรงไม่ได้มาที่หอโอสถเย่าอันและเมื่อใดเขาจะมา เพราะนางคิดว่า ขอเพียงจิ่วหรงมาที่หอโอสถเย่าอัน บางทีซูอวี้อาจตามมาด้วย
อย่างไรเสีย… หลังจากที่นางไปช่วยงานที่หอโอสถเย่าอัน นางก็ไม่เคยพบซูอวี้ที่นั่นสักครั้ง
วันนี้ หลานเยวี่ยหลีมาช่วยจัดยาสมุนไพรที่หอโอสถจนแล้วเสร็จ ทั้งยังช่วยหมอรับส่งผู้ป่วยที่มาตรวจรักษาจำนวนมาก เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น นางก็เหนื่อยจนแทบไม่อยากขยับตัว
หลานเยวี่ยหลีกำลังนั่งพักอยู่ด้านหลังห้องโถง นางดื่มชาพลางสั่งให้สาวใช้นวดแขนและไหล่ที่ปวดเมื่อย
“เหตุใดคุณหนูต้องมาลำบากอยู่ที่หอโอสถเย่าอันด้วยเจ้าคะ? หากคุณชายน้อยอวี้ยอมรับมิตรภาพของคุณหนูสักเล็กน้อย เขาต้องมาที่หอโอสถเย่าอันสักครั้งไม่ใช่หรือ? ”
มือของหลานเยวี่ยหลีที่ถือถ้วยชาพลันหยุดชะงัก นางสัมผัสกลิ่นหอมของใบชาอย่างเงียบงันโดยไม่พูดอันใด
คำพูดเช่นนี้ นางฟังจนหูแทบชาแล้ว
สาวใช้ยังไม่ยอมแพ้และพูดต่ออีกครั้งว่า “ท่านเป็นถึงคุณหนูผู้สูงศักดิ์แห่งจวนสกุลหลานเรา ทั้งยังเป็นที่เอ็นดูของโยวอ๋อง ไม่ว่าอย่างไร ในอนาคตย่อมหาบุรุษที่มีทั้งยศถาบรรดาศักดิ์และอำนาจได้อย่างแน่นอนไม่ใช่หรือ? เหตุใดต้องเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์กับคนธรรมดาที่ไม่รู้เรื่องอันใดด้วยเจ้าคะ? คุณหนู ท่านฟังคำเตือนของบ่าวสักครั้งเถิด! ทำแต่พอดี พวกเรารีบกลับกันเถิด! หากไม่เช่นนั้น บรรดาคุณหนูใหญ่ในจวนจะตำหนิท่านได้นะเจ้าคะ! ”
แม้สาวใช้นางนี้จะจู้จี้ไปบ้าง ทว่าประโยคเหล่านั้น นางไม่กล้าพูดต่อหน้าหลานเยวี่ยหลีแน่นอน บางทีวันนี้นางคงเห็นว่าหลานเยวี่ยหลีอารมณ์ดี จึงกล้าพูดตักเตือน
ทว่าหลานเยวี่ยหลีจะทนได้อย่างไร?
ทันใดนั้นหลานเยวี่ยหลีก็พูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “คำพูดเหล่านี้ เจ้าพูดได้หรือ? ”
สาวใช้พลันรับรู้ได้ถึงความผิดปกติ นางรีบคุกเข่าลงด้านข้างหลานเยวี่ยหลีและตบปากตนเอง
“เป็นบ่าวที่พูดมากไป เป็นบ่าวที่พูดมากไป คุณหนู ท่านอย่าโกรธเลย ต่อไปบ่าวจะไม่พูดอีกแล้วเจ้าค่ะ”
ขณะที่หลานเยวี่ยหลีกำลังตำหนิสาวใช้และคิดใช้โอกาสนี้ห้ามปรามนาง เด็กจัดยาผู้หนึ่งก็เปิดผ้าม่านเดินเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
เขาพูดกับหลานเยวี่ยหลีว่า “แม่นางเยวี่ยหลี ท่านทายดูสิว่าผู้ใดมาที่ห้องโถง? ”
หลานเยวี่ยหลีมองท่าทางดีใจของเด็กจัดยา โดยไม่แย้มยิ้มแม้แต่น้อย “เห็นท่านดีใจถึงเพียงนี้ คุณชายจิ่วกลับมานั่งอยู่ที่ห้องโถงแล้วหรือ? ”
เด็กจัดยาส่ายศีรษะเบาๆ “แม่นางเยวี่ยหลี ท่านลองทายดูอีกครั้ง! ”
หลานเยวี่ยหลีครุ่นคิด ท่าทางเปลี่ยนเป็นจริงจัง นางรีบลุกขึ้นเดินออกไปด้านนอกประตูด้วยแววตากระตือรือร้น
แม้จะคาดเดาได้แต่แรกแล้วว่าในที่สุดซูอวี้ต้องมา ทว่าทันทีที่คนในชุดสีน้ำเงินปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้า หลานเยวี่ยหลีก็รู้สึกราวกับเปลวเพลิงบนสวรรค์ชั้นเก้ากำลังเผาไหม้ดวงตาของนาง
นางหยุดเดินอย่างกะทันหัน ขาทั้งสองหยุดนิ่งไม่ขยับเหมือนมีตะกั่วถ่วงอยู่ที่เท้า ดวงตาร้อนผ่าวและเจ็บปวดเล็กน้อย
บรรดาหมอและบ่าวรับใช้ในห้องโถงต่างเดินกันขวักไขว่ ผู้ป่วยเข้ามารักษาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย ซูอวี้ที่ยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนค่อยๆ หันมา เขายังคงเป็นเด็กหนุ่มที่มีท่าทางอ่อนโยนและสุภาพ
ซูอวี้หันมาคำนับหลานเยวี่ยหลี “แม่นางเยวี่ยหลี”
ไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อเห็นซูอวี้ตั้งใจรักษาระยะห่างความสัมพันธ์กับตนเองเช่นนี้ หลานเยวี่ยที่เดิมทีตื่นเต้นอย่างมากพลันสงบนิ่ง ราวกับเปลวเพลิงที่ร้อนระอุถูกน้ำเย็นราดรด
หลานเยวี่ยหลียกยิ้มมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้าไปหาซูอวี้และประสานมือคำนับ “ผู้นำอวี้ ท่านมาแล้วหรือ? ”
“อืม มาแล้ว! ”
หลานเยวี่ยหลีต้องการต่อบทสนทนา ทว่าพอขยับปาก กลับรู้สึกว่าหาหัวข้อที่เหมาะสมไม่ได้ จึงไม่พูดอันใด
ทั้งสองยืนเผชิญหน้ากันอยู่นาน ท่ามกลางความรู้สึกอึดอัดอย่างมาก อย่างไรเสียหลานเยวี่ยหลีก็เป็นสตรี นางจึงคิดปลีกตัวออกไปก่อน
“ผู้นำอวี้ เชิญทำธุระของท่าน ข้าจะไปช่วยหมอหลวงสวี่! ” หลานเยวี่ยหลีพูดพลางเดินไปหาหมอหลวงสวี่ที่กำลังนั่งตรวจคนไข้อยู่
“แม่นางเยวี่ยหลี… ”
ทันใดนั้น เสียงเรียกของซูอวี้ก็ดังขึ้นจากทางด้านหลัง
หลานเยวี่ยหลีหยุดชะงัก ภายในใจสั่นไหวเหมือนมีคลื่นนับพัน นางหันหลังกลับไป แต่เมื่อได้เห็นดวงตาเย็นชาคู่นั้นของซูอวี้ จิตใจจึงค่อยสงบลง
หลานเยวี่ยหลียังคงรักษารอยยิ้มเป็นมิตรที่มุมปาก แล้วพูดว่า “ผู้นำอวี้ยังมีเรื่องอันใดอีกหรือ? ”
“แม่นางเยวี่ยหลี โปรดตามมาทางนี้ ข้ามีเรื่องจะพูดกับท่าน” ซูอวี้พูดพลางเดินนำเข้าไปในห้องด้านใน
หลานเยวี่ยหลีไม่รู้ว่าซูอวี้ต้องการพูดสิ่งใดกับนาง
ทว่านางเข้าใจดี ซูอวี้ไม่เคยเป็นฝ่ายเริ่มเข้าหานาง และนี่เป็นครั้งแรก แม้การแสดงออกของเขาจะดูเคร่งขรึมอยู่บ้าง ทั้งยังเฉยเมยอยู่บ้าง ทว่าท่าทางของเขาดูสนิทสนมยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ไม่น้อย
นี่ถือเป็นเรื่องดี!
บางทีเขาอาจค้นพบด้านดีของนางทีละน้อย และลองเปิดใจยอมรับนาง?
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ในใจของหลานเยวี่ยหลีพลันรู้สึกปลอดโปร่ง ใบหน้าเริ่มปรากฏความหวังและความสุข ก่อนจะเดินตามหลังซูอวี้เข้าไปยังห้องโถงด้านใน