อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม บทที่ 434 งานเลี้ยง
“หรือว่าเย่จิ่งหานจะดูข้าทำแคว้นล่มสลาย เขาก็เป็นเสด็จอาของแคว้นเย่เหมือนกัน”

“ก็ใช่นะสิ ก็เพราะว่าเป็นเสด็จอาของแคว้นเย่ ฉะนั้นหลังจากแคว้นแย่ล่มสลายแล้ว เขาค่อยเคลื่อนกำลังทหาร ขับไล่แคว้นฮั่ว ถึงตอนนั้นเขาอยากขึ้นครองราชย์ ก็เป็นไปด้วยความชอบธรรม ใครจะกล้าขับเขา กลับเป็นพระองค์เถอะ กลายเป็นหมากหมดค่าแล้ว”

ฮ่องเต้เย่มีคำพูดเต็มอกอยากสกัดนาง แต่กลับหาเหตุผลสกัดนางไม่ได้

กู้ชูหน่วนผ่อนน้ำเสียง “ฉะนั้น พระองค์มิสู้เลือกเชื่อหม่อมฉันจะดีกว่า หม่อมฉันรับรองว่าทำให้เย่จิ่งหานยื่นมือขับไล่แคว้นฮั่ว ปกป้องความปลอดภัยแคว้นเย่เราได้แน่เพคะ”

“เย่จิ่งหานจะฟังเจ้าหรือ?”

“แน่นอนเพคะ ฝ่าบาทคงเคยได้ยินว่าท่านอ๋องเอาใจหม่อมฉันอย่างไรบ้างกระมัง?”

“แต่ทำไมเจ้าต้องช่วยข้า?” เขามักรู้สึกว่าตรงไหนไม่ถูก แต่คิดไปคิดมา กลับคิดไม่ออกว่าเป็นตรงไหน

“หม่อมฉันมิใช่กำลังอุ้มท้องลูกของเทพสงครามอยู่หรือเพคะ? ระยะก่อนหม่อมฉันฝัน ฝันถึงพระโพธิสัตว์กวนอิม พระโพธิสัตว์กล่าวว่าเทพสงครามสังหารคนมากเกินไป รังสีอาฆาตมากเกินไป เด็กจะได้รับผลกระทบจากเขา ยากจะเกิดได้อย่างปลอดภัย นอกเสียจากจะหาจี้รูปหัวใจพกอยู่กับตัว ถึงคุ้มครองให้เด็กปลอดภัยได้ หม่อมฉันคิดว่าฝ่าบาทเป็นมังกรแท้โอรสแห่งสวรรค์ หากทรงยื่นมือช่วยหม่อมฉันหา เช่นนั้นหม่อมฉันต้องหาจี้รูปหัวใจที่พระโพธิสัตว์บอกในฝันได้แน่เพคะ”

“เช่นนั้นพระโพธิสัตว์บอกหรือไม่ ว่าลูกในท้องเจ้าเป็นชายหรือหญิง?”

“เพคะ เป็นลูกสาว เหมือนข้า”

ฮ่องเต้เย่โล่งอก

ลูกสาวก็ดี หากเป็นลูกชาย ไม่แน่ว่าเทพสงครามอยากชิงบัลลังก์เพื่อลูกชายของเขา

“ก็ได้ อยากให้ข้าช่วยเจ้าหาจี้รูปหัวใจก็ได้ เจ้าช่วยข้าขับไล่ทหารไปก่อน”

“ดำเนินการทั้งสองทางสิเพคะ ประหยัดเวลา หม่อมฉันจะวาดจี้รูปหัวใจให้พระองค์ทอดพระเนตร จริงสิ จี้รูปหัวใจที่พระโพธิสัตว์ให้หม่อมฉันหามีอายุพันปีแล้ว เป็นของโบราณ ทรงอย่าหาของไปเรื่อยเปื่อยนะเพคะ”

กู้ชูหน่วนยกพู่กัน วาดจี้รูปหัวใจออกมา

“ขนาดต้องเท่ากัน ใหญ่กว่าหรือเล็กกว่านิ้วหนึ่งก็ไม่ได้ ต้องพอดีเป๊ะๆ นะเพคะ”

ฮ่องเต้เย่ขมวดคิ้ว “ซับซ้อนขนาดนั้นเชียวหรือ? ทั้งต้องมีอายุพันปี ขนาดเท่ากัน หายากมากกระมัง?”

“เทียบกับบ้านเมืองของแคว้นเย่ล่ะเพคะ ฝ่าบาททรงคิดว่า ของสิ่งนี้หายาก หรือว่าบ้านเมืองรักษายากกว่าเพคะ?”

ฮ่องเต้เย่ลมหายใจติดขัด

พูดจาฉอดๆ ทำไมเมื่อก่อนเขาไม่ยักรู้ว่าฝีปากนางเก่งกาจเพียงนี้

เขาหยิบภาพเหมือนดูแล้วดูอีก อดไม่ได้เอ่ยขึ้นอย่างฉงนใจ “แปลก ทำไมข้าดูจี้รูปหัวใจนี้แล้วถึงคุ้นขนาดนี้นะ? มันเป็นพลอยชิ้นหนึ่งใช่หรือไม่ พลอยสีแดง คล้ายหินเลือดไก่(*แจสเปอร์ อัญมณีในตระกูลควอตซ์) แดงจนคล้ายปะปนด้วยเลือด”

หัวใจกู้ชูหน่วนหวั่นไหว “อย่างไร? ฝ่าบาทเคยเห็นหรือเพคะ?”

“เออ…ข้าก็จำไม่ค่อยได้แล้ว แต่เหมือนเคยเห็นตอนเด็กๆ เพราะมันเป็นรูปหัวใจ ลักษณะกลับงามมาก แต่แดงจนน่าใจหาย ข้าก็เลยมีความทรงจำเล็กน้อย”

“เช่นนั้นจี้รูปหัวใจชิ้นนี้อยู่ที่ไหนเพคะ?”

“นานเกินไป ข้าลืมไปแล้ว รู้เพียงเห็นครั้งหนึ่งตอนเด็ก”

กู้ชูหน่วนแย่งภาพเหมือนกลับมา แล้วตะบึงตะบอนทันที “ฝ่าบาททรงคิดให้ดีเถอะเพคะ หากฝ่าบาทคิดไม่ออกว่าเคยเห็นจี้รูปหัวใจชิ้นนี้ที่ไหน เช่นนั้นหม่อมฉันก็คิดไม่ออกว่าจะให้เทพสงครามขับไล่ศัตรูอย่างไรเหมือนกันเพคะ”

“เจ้า…นี่เจ้าขู่ข้า?”

“แล้วแต่จะทรงคิดเพคะ ถึงอย่างไรหากเสียบ้านเมืองไปจริงๆ ก็ไม่เกี่ยวกับหม่อมฉัน หม่อมฉันยังได้อยู่สุขสบายเหมือนเดิมเพคะ”

“กู้ชูหน่วน! เจ้าบังอาจ!”

“ใครให้หม่อมฉันเป็นเสด็จอาสะใภ้ของพระองค์ล่ะเพคะ? ใครให้หม่อมฉันเป็นชายาของเทพสงคราม? ดังนั้นหม่อมฉันมีสิทธิ์บังอาจ มีสิทธิ์โอหัง หากพระองค์มิยินยอม ก็ไปหาเย่จิ่งหานได้โดยตรงเพคะ”

หากไม่ติดที่ฐานะของนาง เวลานี้ฮ่องเต้เย่ก็อยากประทานผ้าขาวให้นางแถบหนึ่ง ให้นางฆ่าตัวตายเสียเดี๋ยวนี้

เขาก็ดึงสติ “เหมือนข้าจะนึกออกแล้ว เป็นองค์หญิงตังตัง ตอนเด็กๆ ที่ลำคอองค์หญิงตังตังมีจี้รูปหัวใจชิ้นหนึ่งอยู่ แดงจนคล้ายเลือดออก หลายคนต่างหัวเราะเยาะนาง

“ฉะนั้น ความหมายของพระองค์คือ จี้รูปหัวใจอยู่กับองค์หญิงตังตังหรือเพคะ?”

“โดยรวมก็น่าจะใช่ แต่ด้วยนิสัยขององค์หญิงตังตัง ของที่นางไม่ชอบก็จะโยนทิ้งเสีย สร้อยคอเส้นนั้นก็ไม่รู้ว่าถูกนางทิ้งไปแล้วหรือไม่”

“วันนี้เป็นพิธีบรรลุนิติภาวะขององค์หญิงตังตังกระมังเพคะ?”

“ใช่…ใช่แล้ว”

“ไป เราไปดูกันเถอะเพคะ”

“เมื่อครู่เจ้ามิได้บอกว่า ขอเพียงข้าช่วยเจ้าหาจี้รูปหัวใจพบ เจ้าก็จะช่วยข้าขับไล่ทหารหรือ?”

“เพคะ หม่อมฉันเคยพูด แต่ตอนนี้พระองค์ยังช่วยหม่อมฉันหาจนพบไม่ได้ไม่ใช่หรือเพคะ? เอาไว้พบแล้วค่อยว่ากันเถอะเพคะ”

“แต่…เฮ้อ…เจ้าปล่อยมือ ข้าเป็นฮ่องเต้แคว้นเย่ โอรสแห่งสวรรค์ เจ้าฉุดคอเสื้อข้าเช่นนี้ ข้าจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?”

“พูดมาก”

“ปล่อยมือ กู้ชูหน่วน ข้าสั่งให้เจ้าปล่อยมือ!”

ไม่ว่าฮ่องเต้เย่จะดิ้นรนอย่างไร ก็ยังถูกฉุดคอเสื้อลากไปด้านหน้าเฉกเช่นเด็กน้อยคนหนึ่ง

ตลอดทางมีนางกำนันกับองครักษ์สองสามคนเห็น เพียงแต่ไม่มีผู้ใดส่งเสียง แต่ละคนหมอบก้มศีรษะ ตกใจจนเนื้อตัวสั่นพั่บๆ

อีกจุดหนึ่งของอุทยานหลวงที่นั่นดนตรีระบำทะยานฟ้า ทำนองของเครื่องสายเลาขลุ่ยห้อมล้อมวังหลวง

ขุนนางใหญ่มากมายต่างจูงฮูหยินธิดามาร่วมพิธีบรรลุนิติภาวะขององค์หญิงตังตัง

ไทเฮานั่งตรงอยู่ตำแหน่งหลักที่สอง สีหน้าเต็มไปด้วยด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข

องค์หญิงตังตังก็ไม่รู้กำลังสนทนาอะไรกับใครอยู่ ส่งเสียงหัวเราะสดใสเป็นครั้งๆ

ที่นี่มีความเป็นมงคลอยู่เต็มประดา แต่กลับถูกขัดด้วยถ้อยคำประโยคหนึ่งของขันที

“ฝ่าบาทเสด็จ พระชายาหานเสด็จ”

สีหน้าองค์หญิงตังตังขมึงตึงทันที

ฮ่องเต้มายังไม่เป็นไร แต่กู้ชูหน่วนมาที่นี่ทำอะไร?

วันนี้เป็นพิธีบรรลุนิติภาวะของนาง นางหาได้เชิญนางไม่

“กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี พระชายาหานพันปี พันๆ ปี”

เหล่าขุนนางต่างคุกเข่าลง

องค์หญิงตังตังลุกขึ้น จ้องกู้ชูหน่วนอย่างไม่สบอารมณ์เล็กน้อย “เสด็จพี่ฮ่องเต้ทรงพากู้ชูหน่วนมาที่นี่ทำอะไรเพคะ?”

มาหาเรื่องนางหรือ?

วันนี้เป็นพิธีบรรลุนิติภาวะของนาง

ฮ่องเต้เย่จัดคอเสื้อที่ถูกฉุดจนยับของตัวเอง ปั้นหน้าสุขุมตำหนิ “พูดอะไร นางเป็นเสด็จอาสะใภ้เจ้านะ”

“เสด็จพี่ฮ่องเต้”

กู้ชูหน่วนยิ้มกะพริบตา “ได้ยินหรือยัง? หม่อมฉันเป็นเสด็จอาสะใภ้ขององค์หญิงนะเพคะ เห็นเสด็จอาสะใภ้แล้วยังไม่คารวะอีก ไร้มารยาทจริงเชียว”

“เจ้า…!”

องค์หญิงตังตังง้างมืออยากตบนางฉาดหนึ่ง

นางไม่ลืม ที่จัดประมูลเฟิงเซียง นางเหยียบย่ำนางอย่างไร

นี่เป็นครั้งหนึ่งที่อดสูที่สุดตั้งแต่นางเกิดมา

และเป็นครั้งหนึ่งที่ขายหน้าที่สุด

จวบจนวันนี้ ยังมีคนจำนวนมากหัวเราะเยาะนางอยู่