บทที่ 433 เจ้าเอาอะไรมาเป็นประกัน

อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม

อัจฉริยะแพทย์สาว ข้ามภพรักอ๋องเทพสงคราม บทที่ 433 เจ้าเอาอะไรมาเป็นประกัน
กู้ชูหน่วนแคะหู พึมพำประโยคหนึ่งอย่างหงุดหงิด “หนวกหู”

“บังอาจ! ข้าเป็นฮ่องเต้แคว้นเย่ เป็นประมุขแห่งใต้หล้า เจ้ากล้าดูหมิ่นข้าเช่นนี้ เด็กๆ เด็กๆ…”

กู้ชูหน่วนกอดอก ท่วงท่าผ่อนคลายอิสระ “ฝ่าบาท หม่อมฉันขอเตือน ก่อนจะเรียกคน ทรงคิดให้ละเอียดสักหน่อย ถึงจะเรียกพวกองครักษ์มา ด้วยหม่อมฉันเป็นชายาเอกของ เทพสงครามพวกเขากล้าจับกุมหม่อมฉันหรือเพคะ?”

“เจ้า…!”

ลมฮ่องเต้เย่ติดขัด นางผู้หญิงคนนี้ ข่มขู่เขาชัดๆ

เพราะเขาตะโกน เหล่าองครักษ์จึงตกใจ มาคุกเข่าเป็นคนๆ

“กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท ขอฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี ไม่ทราบฝ่าบาทเรียกกระหม่อมมาด้วย…” องครักษ์ที่เป็นหัวหน้าลอบมองกู้ชูหน่วนแวบหนึ่ง มือคลำด้ามดาบอย่างไม่รู้ตัว

“ข้าเรียกพวกเจ้าตั้งแต่เมื่อไร? ในฐานะที่เป็นองครักษ์ส่วนใน แต่ละคนกลับหูเพี้ยนเช่นนี้ ข้าจะวางใจมอบความปลอดภัยของตัวเองกับพวกเจ้าได้อย่างไร?”

“พ่ะย่ะค่ะๆๆ…”

“ยังไม่ไปอีก”

“พ่ะย่ะค่ะ…”

กลุ่มองครักษ์แน่นขนัดมา แล้วก็จากไป ทุกอย่างเกิดขึ้นในชั่วครู่เดียว

กู้ชูหน่วนกดไลก์ให้เขาทีหนึ่ง ยิ้มเอ่ย “ฝ่าบาท เด็กมีอนาคตสอนได้”

ฮ่องเต้เย่กริ้วจนกัดฟันกรอด “ข้าแค่เห็นว่าเจ้าเป็นหญิงอ่อนแอ บอบบางน่าสงสาร ไม่อยากให้เจ้าเข้าคุกหลวงเท่านั้น”

เวลานี้แคว้นฮั่วร่วมมือกับอีกหลายแคว้นบุกตีพวกเขา เขาขอความช่วยเหลือจากแคว้นฉู่ แต่แคว้นฉู่กลับคิดแต่ขจัดเผ่าปีศาจ ไม่สนใจพวกเขา

ราชสำนักไร้แม่ทัพ ใต้บัญชาเทพสงครามมีแม่ทัพทหารศึกนับไม่ถ้วน

เขาไม่อยากกังวลกับภายในและภัยจากภายนอก ไฟโทสะนี้ เขาจะอดกลั้นก่อนชั่วคราว

“เพคะ ฝ่าบาทมีน้ำพระทัยกว้างขวางที่สุด จะให้เสด็จอาสะใภ้ของพระองค์เข้าคุกหลวงได้อย่างไร ฝ่าบาท ที่ทรงประสงค์ที่สุดคืออะไรเพคะ?”

“เหตุใดข้าต้องบอกเจ้า?”

ฮ่องเต้เย่ถลึงตาใส่นางทีหนึ่ง หมุนตัวแล้วจากไป

กู้ชูหน่วนก็ไม่ยี่หระ เพียงเอ่ยเรียบ “ที่ฝ่าบาทต้องการในยามนี้ น่าจะเป็นการขับไล่แคว้นฮั่วอย่างไรกระมัง? หากหม่อมฉันมีวิธีขับไล่แคว้นฮั่วล่ะเพคะ?”

ฝีเท้าฮ่องเต้เย่ชะงัก หัวเราะเยาะเอ่ย “เจ้า? ขุนนางทั่วราชสำนักยังจนหนทาง เจ้าเป็นเพียงอิสตรีจะทำสิ่งใดได้? กลับบ้านไปเย็บปักถักร้อยเถอะ เรื่องใหญ่ของราชำนัก ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะเข้าร่วมได้”

“นั่นนะสิ หม่อมฉันอิสตรีไม่รู้เรื่องใหญ่ของแว่นแคว้น แต่อ๋องหานกลับเข้าใจ”

ใจฮ่องเต้เย่หวั่นไหว “เทพสงคราม?”

“ก็ใช่นะสิเพคะ ไม่ใช่ว่าเทพสงครามออกรบเก่งมากหรือ? ขอเพียงเขายื่นมือ ยังต้องกังวลสารเลวแคว้นฮั่วบุกเข้ามาหรือเพคะ?”

“ข้ากลัวว่าแคว้นฮั่วยังไม่ทันบุกเข้ามา เทพสงครามก็บุกเข้ามาก่อนแล้ว”

“ถ้าหม่อมฉันบอกว่าเทพสงครามจะไม่บุกเข้าวังหลวง และไม่ชิงบัลลังก์ของพระองค์ แต่จะขับไล่เพียงแคว้นฮั่วล่ะเพคะ?”

“เจ้าเอาอะไรเป็นประกัน?”

“ทรงเป็นฮ่องเต้แคว้นเย่ ทุกสิ่งที่หม่อมฉันมี มิใช่ของพระองค์หรือเพคะ?” ความหมายในวาจาพจน์ของนางคือ ไม่ว่านางใช้อะไรเป็นประกัน สุดท้ายก็เป็นของเขา

ได้ยินดังนั้น อารมณ์ของฮ่องเต้เย่ก็ผ่อนคลายขึ้นอีกหน่อย ถือว่านางรู้จักกาลเทศะสักที ยังเคารพเขาอยู่

“ทำไมข้าต้องเชื่อเจ้า?”

“ทรงคิดดูนะเพคะ แคว้นฮั่วใช้กำลังทั้งหมดของแคว้นโจมตีแคว้นเย่ ก็เพียงพนันว่าเทพสงครามจะไม่ยื่นมือช่วยพระองค์ ในเมื่อพวกเขากล้าโจมตีพวกเราด้วยความโอหังเช่นนี้ ย่อมรู้ว่าพระองค์ต้องให้แม่ทัพใหญ่เซียวออกรบ ในเมื่อพวกเขาคิดได้แล้ว ถึงพระองค์จะส่งแม่ทัพใหญ่เซียวไปออกรบ ทรงคิดว่ามีโอกาสชนะหรือเพคะ? อีกอย่าง หากไม่มีโอกาสชนะ แคว้นเย่ก็ถึงคราววิกฤตแล้ว”

ใบหน้าอ่อนด้อยของฮ่องเต้เย่ขมวดเป็นปม

“อีกอย่าง เมื่อใดที่แคว้นเย่พ่ายแพ้ แคว้นอื่นยังไม่ฉวยวิกฤติเพิ่มความโกลาหลหรือ? ถุยๆๆ หากถึงตอนนั้นจริง แคว้นเย่อยากพลิกสถานการณ์ก็ยากแล้วนะเพคะ”