ภาคที่ 1 บทที่ 93 ข่าวลือ

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 93 ข่าวลือ

 

 

เป็นชายที่มีรูปร่างสมส่วน สวมเสื้อคลุมยาวสีขาวนวลราวพระจันทร์และปลอกคอทำจากขนเฟอร์เรต ดาบยาวสีขาวราวกับหิมะห้อยอยู่ที่ด้านข้างเอวของเขา ส่งเสริมให้ดูหล่อเหลาและกล้าหาญ ด้านข้างของเขามีคนอยู่อีก 2 หนึ่งในนั้นคือชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่แต่งตัวหรูหราสวมเสื้อคลุมขนมิงค์ อีกคนเป็นผู้หญิงและนางก็คือกู่ชิงลั่ว

 

 

ซูเฉินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยที่กู่ชิงลั่วมาปรากฏตัวที่นี่ อย่างไรก็ตามซูเฉินยังคงปกปิดความประหลาดใจของเขาได้เป็นอย่างดี

 

 

แต่เป็นหมิงชูที่เห็นชายคนนั้นเอาสูตรยาไป ดังนั้นเขาจึงพูดขึ้นอย่างไม่พอใจ “เฮ้ย เจ้าเป็นใครกัน ? อย่ามาหยิบเอาของคนอื่นไปสุ่มสี่สุ่มห้านะ ! ”

 

 

“หืม ? ” ชายเสื้อคลุมขนมิงค์มองไปที่หมิงชู จากนั้นมองไปที่ซูเฉินแล้วก็หัวเราะ “นี่ไม่ใช่นายน้อยสี่ของตระกูลซูหรอกหรือ ? นายน้อยผู้ตาบอดสามารถออกใบสั่งยาได้ตั้งแต่เมื่อใดกัน ? ”

 

 

ชายหนุ่มผู้แต่งตัวดีที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เขาหัวเราะและพูดว่า “บางทีอาจจะเพราะความเจ็บป่วยของมัน เลยทำให้มันกลายเป็นหมอก็ได้นะ”

 

 

ชายเสื้อคลุมขนมิงค์พูดด้วยสีหน้าประหลาดใจ “หากเป็นอย่างนั้น มันก็คงจะเป็นใบสั่งยาเพื่อรักษาดวงตาของตัวมัน”

 

 

ชายหนุ่มผู้แต่งตัวดีตอบกลับว่า “บางทีมันอาจจะเจอพลังต้นกำเนิดตีกลับมา”

 

 

ทั้ง 2 มองหน้ากัน จากนั้นก็เริ่มหัวเราะและเยาะเย้ยอย่างเปิดเผย

 

 

กู่ชิงลั่วขมวดคิ้วเล็กน้อย

 

 

นางอยู่เมืองหลินเป่ยมาระยะหนึ่งแล้ว และนางยังรู้ด้วยว่าถึงแม้ว่าสี่ตระกูลใหญ่จะไม่ได้ญาติดีกันนัก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทะเลาะกันทันทีที่พบหน้า การแสดงออกของทั้ง 2 ต่อหน้านางในตอนนี้น่าจะเป็นการจงใจทำ

 

 

พวกรุ่นเยาว์มักจะเชื่อกันเสมอว่าการเหยียบย้ำคนอื่นจะช่วยแสดงความแข็งแกร่งพวกเขาและดึงดูดความชื่นชมจากเพื่อนสนิทผู้หญิงของพวกเขาได้

 

 

อย่างไรก็ตามพวกเขาไม่รู้ว่าเด็กผู้หญิงไม่ชอบการต่อสู้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่ากู่ชิงลั่วกับซูเฉินนั้นเป็นเพื่อนกันอย่างลับ ๆ และถึงแม้ว่าทั้ง 2 จะไม่ใช่เพื่อนกัน แต่นางก็ไม่ชอบพฤติกรรมของพวกเขาอยู่ดี

 

 

อย่างไรก็ตามทั้ง 2 ยังคงไม่รู้สึกตัว พวกเขายุ่งอยู่กับการชื่นชมและพึงพอใจในการกระทำของตัวเองมาก ราวกับว่าพวกเขาไม่มีทางอื่น นอกจากต้องแสดงความกล้าหาญและความยิ่งใหญ่ของพวกเขาออกมา

 

 

หมิงชูโกรธมากจนหน้าแดง เขาอ้าปากและเริ่มก่นด่า “สุนัขป่ามาจากไหน กล้ามาเห่าหอนใส่นายน้อยของข้ากัน?”

 

 

การแสดงออกชายเสื้อคลุมขนมิงค์เปลี่ยนไปในทันที “รนหาที่ตาย!”

 

 

เขายกมือขึ้น จากนั้นกระแสลมกรดก็พุ่งออกมาจากปลายนิ้วของเขาและตรงเข้าหาหมิงชู

 

 

ในขณะที่หมิงชูกำลังจะโดนพัดไป ซูเฉินก็คว้าตัวหมิงชูไว้และดึงเขามาหลบลมที่ด้านหลัง ดัชนีสายลมนั่นกระแทกเข้ากับในเสาที่อยู่ใกล้ ๆ และเจาะมันเป็นรู

 

 

ซูเฉินกล่าวขึ้นอย่างช้า ๆ “ตระกูลหลินวางแผนที่จะประกาศสงครามกับตระกูลซูงั้นหรือ?”

 

 

ทั้ง 2 ตกตะลึงไปพร้อมกัน

 

 

ชายหนุ่มผู้แต่งตัวดีกล่าวว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเรามาจากตระกูลหลิน?”

 

 

ซูเฉินยิ้มและพูดว่า “สมาชิกของตระกูลหลินมักจะมีกลิ่นเหม็นติดตัวอยู่เสมอ มันคงเป็นเรื่องยากสำหรับข้าที่จะไม่รับรู้กลิ่นนั้นแม้ว่าข้าจะต้องการก็ตาม”

 

 

เนื่องจากตระกูลหลินนั้นมีสัตว์อสูรให้ต้องเลี้ยงอยู่ตลอดเวลา จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่กลิ่นของพวกสัตว์อสูรจะติดมา อย่างไรก็ตามกลิ่นนี้มักพบได้เฉพาะในพวกคนรับใช้เท่านั้น และเป็นไปไม่ได้เลยที่ทั้ง 2 ผู้เห็นได้ชัดว่าเป็นนายน้อยของตระกูลหลินจะมีกลิ่นเช่นนั้น ซูเฉินจงใจพูดเยาะเย้ยเช่นเดียวกับอีกฝ่ายล้อเลียนว่าเขาตาบอด มันคือการแข่งขันด้านปัญญา ใครกันที่แข็งแกร่งกว่าใครกลัวกัน

 

 

การแสดงออกชายเสื้อคลุมขนมิงค์เปลี่ยนไปอีกครั้ง “ไอ้ตัวตาบอดบัดซบ อย่าคิดว่าเพียงแค่เพราะเจ้าเป็นอันดับ 1 ของพวกขยะจากตระกูลซูแล้วจะทำอะไรก็ได้นะ!”

 

 

เขากางมือขวาออกและลมกรดอันก่อตัวขึ้นในมือของเขาอีกครั้ง ทว่าคราวนี้มันกลับมีหน้าตาเป็นลูกศร

 

 

ชายเสื้อคลุมขนมิงค์คว้าลูกศรและขว้างไปทางซูเฉิน ลูกศรส่งเสียงหวีดผ่าลมขึ้นขณะพุ่งตรงไปที่แขน เห็นได้ชัดว่าการโจมตีครั้งนี้มีจุดประสงค์เพียงเพื่อทำร้ายมากกว่าเอาชีวิตเขา

 

 

ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเพียงการโจมตีเพียงเพื่อทำร้าย แต่ซูเฉินก็ไม่สามารถปล่อยให้อีกฝ่ายทำตามที่ต้องการได้ เขาใช้สันมือแทนตัวดาบและฟาดเข้าหาลูกศร ลูกศรลมถูกทำลายเป็นชิ้น ๆ น่าแปลกที่มันไม่ได้หายไป แต่กลับกลายเป็นลูกศรลมขนาดเล็กหลาย 10 ลูกยิงตรงเข้าหาซูเฉินอีกครั้ง

 

 

ชายเสื้อคลุมขนมิงค์หัวเราะ “ลมนั้นไม่มีรูปร่าง แล้วเจ้าจะไปป้องกันมันได้ง่าย ๆ ขนาดนั้นได้ยังไง!”

 

 

ซูเฉินกดฝ่ามือลงบนกลางอากาศวางเปล่า

 

 

ในเวลาต่อมาทุกคนเหมือนจะได้ยินเสียงฟ้าร้องคำรามต่ำดังขึ้นในใจของพวกเขา แต่มันไม่มีอยู่จริง ผู้ช่วยที่อยู่ใกล้ ๆ ผู้ดูแลร้าน ผู้คนรอบ ๆ ไม่มีใครสังเกตเห็นอะไรเลย

 

 

อย่างไรก็ตามหลังจากเสียงฟ้าร้องไร้รูปลักษณ์นี้ปรากฏขึ้น ลูกศรลมทั้งหมดก็สลายหายไปโดยสมบูรณ์

 

 

ซูเฉินเก็บมือของเขากลับไปและกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มที่อ่อนโยน “คลื่นเสียงขนาดใหญ่ที่ไร้เสียง เจ้าจะได้ยินมันได้ง่าย ๆ ขนาดนั้นได้ยังไง”

 

 

ใช้ดาบอัสนีบาตรเพื่อจัดการกับลูกศรลม ทั้ง 2 เป็นคู่ต่อสู้ที่เท่าเทียมกันอย่างแท้จริง

 

 

ชายเสื้อคลุมขนมิงค์ตกตะลึงไปเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คาดคิดมาก่อนว่าปฏิกิริยาตอบรับของซูเฉินจะรวดเร็วและแม่นยำขนาดนี้ ความแข็งแกร่งของซูเฉินก็เกินความคาดหมายของเขาเช่นกัน

 

 

เขาพูดด้วยสีหน้าโหดเหี้ยม “น่าประทับใจ แต่มันยังไม่เพียงพอ ลองรับนี้ดู!”

 

 

เมื่อชายเสื้อคลุมขนมิงค์กำลังจะลองมือ กู่ชิงลั่วก็ขัดจังหวะขึ้นมาอย่างกะทันหัน “หลินเย่เม่า หลินจิ้งซวน พวกเจ้าสร้างปัญหากันพอหรือยัง ? ข้ามาที่นี่เพื่อยาราตรีฟ้า ไม่ได้มาเพื่อดูพวกเจ้าหาเรื่องวุ่นวายหรอกนะ”

 

 

“กู่ชิงลั่ว” ชายเสื้อคลุมขนมิงค์เปลี่ยนสีหน้าทันที เขาจ้องมองไปที่กู่ชิงลั่วด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม

 

 

กู่ชิงลั่วหันหลังและเดินจากไป “การต่อสู้ระหว่างตระกูลของพวกเจ้าไม่ได้เกี่ยวอะไรกับข้า รีบรับยารีบไปได้แล้ว ข้าไม่อยากมามัวเสียเวลาอยู่ที่นี่”

 

 

“ได้ ๆ ! ชายเสื้อคลุมขนมิงค์รีบขานรับ

 

 

เขาหันไปจ้องมองซูเฉินอย่างดุร้ายและพูดว่า “แก ไอ้ตาบอดเดนตาย จำชื่อของข้าไว้ ข้าหลินเย่เม่า ในวันทดสอบเข้าสถาบันมังกรซ่อนเร้น ข้าจะมาสั่งสอนเจ้าให้ดู”

 

 

ชายหนุ่มผู้แต่งตัวดีก้าวออกมาข้างหน้าและหัวเราะ “ข้าหลินจิ้งซวน ข้าจะรอวันที่เราได้ประมือกัน”

 

 

ในขณะที่เขาพูด เขาก็ทิ้งชายเสื้อคลุมขนมิงค์และพากู่ชิงลั่วไปซื้อยา

 

 

“หลินเย่เม่า หลินจิ้งซวน … ” ซูเฉินพูดซ้ำ 2 ชื่อนี้ด้วยเสียงต่ำ

 

 

ถ้าซูเฉินจำไม่ผิด ในบรรดาสี่ชื่อที่กู่ชิงลั่วเคยพูดถึงเอาไว้ก่อนหน้านี้

 

 

หมายความว่าต้นกล้าทั้งสี่ที่ตระกูลหลินส่งไปยังตระกูลกู่กลับมาแล้ว?

 

 

ดูเหมือนว่าเมื่อการทดสอบเข้าสถาบันมังกรซ่อนเร้นใกล้เข้ามา ตระกูลหลินก็ไม่ได้ปกปิดการมีอยู่ของพวกเขาอีกต่อไป

 

 

ไม่มีใครรู้ว่าความแข็งแกร่งของพวกเขาเพิ่มมากขึ้นเพียงใด หลังกลับมาจากตระกูลกู่ นี่ทำให้ผู้คนตื่นเต้นและตั้งตารออย่างแท้จริง!

 

 

ซูเฉินไม่ได้สนใจพวกเขาอีกต่อไป หลังได้ส่วนผสมยาจากคฤหาสน์วายุเหนือน้ำแล้วเขาก็ตรงกลับตระกูลซู

 

 

เมื่อกลับมาถึงตระกูลซูสาวใช้ก็รีบตรงมาหาเขาในทันที “นายน้อยสี่ ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว”

 

 

“เกิดอะไรขึ้น? เหตุใดเจ้าถึงได้รีบร้อนเช่นนี้?” ซูเฉินถาม

 

 

“นายหญิง … นายหญิงท่าน … ” สาวใช้พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ

 

 

การแสดงออกของซูเฉินเปลี่ยนไปเล็กน้อย “เกิดอะไรขึ้นกับท่านแม่?”

 

 

“นายหญิงท่าน อาเจียนเป็นเลือดและหมดสติไปแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้ตอบออกมาในที่สุด

 

 

—————————————————

 

 

เรือนประกายไพโรจน์

 

 

ถังหงรุ่ยนอนหน้าซีดยังไม่ได้สติอยู่บนเตียง

 

 

ผู้อาวุโสคนหนึ่งกำลังตรวจดูสภาพร่างกายของนาง เมื่อเสร็จแล้วเขากล่าวว่า “นางป่วยเพราะไฟแห่งความโกรธทำร้ายจิตใจนาง ผู้ป่วยต้องการความสบายใจให้นางพักฟื้นอย่างสงบ ข้าจะกลับไปจัดยาให้นายหญิง ทานยาตามที่หมอบอกไปสักพักอาการก็น่าจะดีขึ้น แต่โปรดจำไว้ว่าอย่าปล่อยให้คนที่ทุกข์ใจจนเกินไปอีก”

 

 

“ขอบพระคุณมาก ท่านหมอซุน” ซูเฉินตอบอย่างสุภาพ

 

 

หมอซุนเป็นหมอที่เก่งที่สุดในคฤหาสน์วายุเหนือน้ำ ด้วยคำพูดของเขาเหล่านี้ซูเฉินจึงรู้สึกโล่งใจมากขึ้น

 

 

หลังจากส่งหมอซุนออกจากประตูหน้าตระกูลซูแล้ว ซูเฉินก็ย้อนกลับไปที่เรือนประกายไพโรจน์

 

 

ซูเฉินนั่งบนเก้าอี้ที่แม่ของเขามักจะนั่ง ในขณะที่เขาพูดขึ้นด้วยเสียงต่ำ “เซียงซิ่ว บอกข้ามาสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น เหตุใดจู่ ๆ ท่านแม่ข้าถึงได้โกรธขึ้นมาขนาดนี้โดยไม่มีเหตุผลได้กัน?”

 

 

“คือ … ” เซียงซิ่วลังเลอยู่ครู่หนึ่ง

 

 

“พูด!” น้ำเสียงของซูเฉินดูรุนแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

 

 

เซียงซิ่วรู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก นางจึงรีบพูดทันที “นายหญิงหมดสติไป เพราะท่านได้ยินข่าวลือบางอย่างมาเจ้าค่ะ”

 

 

“ข่าวลืออะไร?”

 

 

เซียงซิ่วตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเทา “ในระหว่างการประเมินสิ้นปีครั้งล่าสุด ทุกคนต้องก็กล่าวว่านายน้อยสองจะชนะอย่างแน่นอน แม้แต่ท่านหัวหน้าตระกูลก็ไม่ได้ยืนอยู่ฝั่งนายน้อย อย่าง … อย่างไรก็ตามผู้อาวุโสสามที่สนับสนุนนายน้อยสี่มาโดยตลอด เต็มใจที่จะเดิมพันกับผู้อาวุโสสองด้วยทองคำบริสุทธิ์ 5,000 ตำลึง หากนายน้อยสี่พ่ายแพ้ทองคำ 5,000 ตำลึงนี้จะตกเป็นของผู้อาวุโสสอง ในขณะที่ถ้านายน้อยสี่ชนะผู้อาวุโสสองจะคลานเป็นวงกลมรอบเวทีการประลอง”

 

 

“ข้ารู้เรื่องนั้น แล้วมันเกี่ยวข้องอะไรกับข่าวลือ?”

 

 

“ผู้อาวุโสสามคอยดูแลและให้ความโปรดปรานนายน้อยสี่อยู่เสมอ ดังนั้นข่าวลือจึงกล่าวว่า …… กล่าวว่า …… ” เซียงซิ่วเหลือบมองไปที่ซูเฉิน จากนั้นนางก็รวบรวมความกล้าและกล่าวออกมาในที่สุด “กล่าวว่านายน้อยสี่ไม่ใช่ลูกของผู้อาวุโสใหญ่ แต่เป็นลูกชายของผู้อาวุโสที่สามกับนายหญิง”

 

 

ปัง!

 

 

ซูเฉินตบแท่นเครื่องหอมที่อยู่ข้าง ๆ เขา พังเป็นชิ้น ๆ

 

 

แม้ว่านิสัยใจคอของซูเฉินจะเป็นพวกอดทนอดกลั้น แต่เขาก็ยังคงรู้สึกโกรธอย่างมากกับข่าวลือนี้

 

 

ในช่วงเวลานั้นซูเฉินกำหมัดแน่นและคุมลมหายใจอยู่นาน หลังจากนั้นไม่นานหัวใจของเด็กหนุ่มก็ค่อย ๆ สงบลง

 

 

หลังจากนั้นไม่นานซูเฉินก็กล่าวว่า “ข่าวลือนี้แพร่กระจายไปทั่วตระกูลซูนานแค่ไหนแล้ว?”

 

 

เซียงซิ่วหมอบก้มศรีษะของนางลงติดกับพื้นและตอบด้วยเสียงสั่น “เป็นเวลาประมาณ 7-8 วันแล้วเจ้าค่ะ”

 

 

“ 7-8 วัน … ถ้าอย่างนั้นพวกคนรับใช้ก็น่าจะรู้เรื่องนี้มาระยะหนึ่งแล้วใช่หรือไม่?” ซูเฉินถาม

 

 

“…เจ้าค่ะ!”

 

 

“เจ้าเป็นคนที่บอกท่านแม่ของข้า?

 

 

“ไม่ ไม่ใช่ข้านะ!” เซียงซิ่วตะโกนขึ้นด้วยความตกใจ “ข้าน้อยไม่มีความกล้า เล่นลิ้นของข้าต่อหน้านายหญิงหรอกเจ้าค่ะ!”

 

 

“แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไร?”

 

 

“เป็นหลานจื่อ!” เซียงซิ่วตอบ “ตอนที่หลานจื่อกำลังคุยคุยเรื่องนี้กับคนอื่น แล้วนายหญิงก็ก็บังเอิญได้ยินเข้า”

 

 

“เรียกหลานจื่อมาหาข้า”

 

 

ครู่ต่อมาหลานจื่อก็ปรากฏตัวขึ้นที่หน้าห้องโถง

 

 

นอกจากซูเฉินแล้ว ไม่มีใครอยู่ในโถงนี้

 

 

ซูเฉินนั่งอยู่บนเก้าอี้ถือถ้วยชาเอาไว้ในมือ เขาไม่ได้ดื่มมันแต่กลับจ้องมองไปที่ไกล ๆ แทน ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

 

 

หลานจื่อคุกเข่าลงบนพื้น แต่ซูเฉินไม่ได้พูดอะไรเลยสักพักราวกับว่านางไม่มีตัวตน จนนางเริ่มรู้สึกอึดอัด

 

 

หลังจากนั้นไม่นานซูเฉินก็พูดว่า “ใครเป็นคนใช้ให้เจ้าบอกกล่าวข่าวลือให้ท่านแม่ของข้าฟัง?”

 

 

หลานจื่อตกใจมาก “นายน้อยสี่ ท่านกล่าวอย่างหมายความว่าอย่างไรกัน? ข้ารับใช้ผู้นี้เพียงแค่หลุดปากออกไป …”

 

 

ซูเฉินกล่าวอย่างสงบและไม่เร่งรีบ

 

 

“ก่อนที่เจ้าจะมาถึง ข้าไปถามดูรอบ ๆ มาแล้ว แล้วพูดเรื่องนี้ที่ศาลาชื่นมื่นในขณะที่กำลังเก็บดอกไม้ สถานที่กว้าง มีวิวสวยงาม หากมีคนผ่านมาก็จะพบตัวเจ้าได้ง่ายมาก นอกจากนี้ท่านแม่ของข้านั้นไปที่ห้องโถงบรรพบุรุษเพื่อจุดธูปเคารพตอนเที่ยงทุกวัน ท่านจึงมักจะเดินผ่านไปที่นั่นอยู่เสมอ เจ้าอยู่กับท่านมาตั้งกี่ปีแล้ว มีหรือเจ้าจะไม่รู้เรื่องนี้เลย”

 

 

“นอกจากนี้ข้ายังถามซุยซิน อวี้หยุน ฉิวถังกับคนอื่น ๆ พวกมันทุกคนกล่าวว่า แม้ว่าจะมีการพูดคุยกันเล็กน้อยในยามนั้น แต่ก็ไม่มีใครพูดถึงหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับข่าวลือ เป็นเจ้า … ที่เลือกพูดในสิ่งที่เจ้าไม่ควรพูดในตอนนั้น ยังอยากอ้างว่าตัวเองบริสุทธิ์อยู่อีกหรือไม่ ? ”

 

 

หลานจื่อเมื่อได้ยินดังนั้นก็เริ่มตะโกนเสียงดัง “นายน้อยท่านกำลังให้ร้ายข้า หลานจื่อพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูดก็จริง แต่ข้าไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้นอย่างแน่นอน ข่าวลือเริ่มแพร่กระจายไปทั่วตระกูลซูแล้ว ไม่ช้าก็เร็วนายหญิงท่านก็ต้องรู้อยู่ดี เหตุใดท่านถึงได้ตัดสินว่าข้าจงใจพูดให้นายหญิงได้ยินกัน ? ”

 

 

“แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่านายหญิงจะรู้เรื่องนี้อย่างแน่นอน ? ” ซูเฉินจิบชา

 

 

“ข่าวลือแพร่สะพัดมา 7-8 วันแล้ว แต่เมื่อไหร่ที่มันจะมาไปถึงหูนายหญิง ? คนรับใช้ในบ้านนี้ไม่ได้โง่เขลา พวกเขาจะไม่ฟังสิ่งที่ไม่ควรฟัง และจะไม่พูดส่งต่อสิ่งที่ไม่ควรพูด หากมีบางเรื่องที่นายท่านไม่ชอบ ตราบใดที่คนรับใช้ไม่ได้งี่เง่า พวกมันก็จะไม่มีทางพูดเรื่องนั้นให้เจ้านายของตนได้ฟัง แต่เห็นได้ชัดว่าสิ่งนี้ไม่เป็นประโยชน์ต่อผู้แพร่ข่าวลือ … เพื่อให้แม่ของข้าได้ยิน ไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายต้องการเช่นนั้นหรอกหรือ ? ”

 

 

หลานจื่อตัวสั่น “ถึงกระนั้นนายน้อยก็ไม่สามารถอ้างได้ว่าข้าทำไปโดยเจตนา หลานจื่อรู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด แต่นี่ไม่ใช่การสมรู้ร่วมคิด ! ”

 

 

ซูเฉินยิ้ม “ยังคงพยายามจะปฏิเสธ”

 

 

แม้ว่าหลานจื่อจะปฏิเสธตลอดเวลา แต่นางก็ทำผิดพลาดแบบเดียวกับที่ทุกคนก่อนหน้านี้ทำ ‘ปฏิบัติต่อซูเฉินเหมือนคนตาบอด’

 

 

เหมือนกับคนโกงที่ศาลาหยกพิสุทธิ์ นางได้ทำผิดพลาดเช่นเดียวกัน นางเชื่อว่านางกำลังแสดงอยู่ต่อหน้าคนตาบอดและเธอก็ทำหลายอย่างแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ การแสดงออกอย่างดูถูกเหยียดหยาม การเคลื่อนไหวที่ไม่ระมัดระวัง หรือแม้แต่ท่าทีที่ไม่เกรงกลัว ในความเป็นจริงพวกมันทั้งหมดเปิดโปงนาง โดยที่นางไม่ได้รู้ตัวเลย

 

 

นี่เป็นสาเหตุที่ซูเฉินต้องการคุยกับนางตามลำพัง

 

 

ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่จะช่วยให้ซูเฉินได้ ‘เห็น’ ทัศนคติที่แท้จริงของอีกฝ่าย !

 

 

ในเวลานี้หลานจื่อยังคงปฏิเสธอย่างรุนแรงและร้องไห้ออกมาว่านางถูกกล่าวหาอย่างผิด ๆ

 

 

ทว่าซูเฉินไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะเล่นกับนางอีกต่อไป

 

 

เด็กหนุ่มพูดออกไปตรง ๆ ว่า “หยานหวู่ชวงเป็นคนยุยงเจ้า?”

 

 

การแสดงออกของหลานจื่อเปลี่ยนไป นางเผยให้เห็นสีหน้าที่ตื่นตระหนกอย่างไม่เข้าใจ แม้ว่านางจะยังคงร้องว่านางถูกกล่าวหาอย่างผิด ๆ

 

 

ซูเฉินทำเสียงต่ำอยู่ในลำคอของเขา “เจ้าคิดว่าเพราะข้าไม่มีหลักฐาน แล้วข้าจะไม่สามารถทำอะไรเจ้าได้?”

 

 

หลานจื่อยังคงตะโกนด้วยความเศร้าโศกและความขุ่นเคือง “แม้นายน้อยจะกล่าวเช่นนั้น หลานจื่อก็ยังไม่เต็มใจที่จะยอมรับความผิดนี้ ข้าไม่เชื่อว่าทั้งเมืองหลินเป่ยจะไม่มีสถานที่ที่มีเหตุผลเหลืออยู่ ท่านไม่สามารถปกคลุมท้องฟ้าทั้งหมดได้ด้วยมือของท่านได้หรอก!”

 

 

ซูเฉินตอบอย่างเฉยเมย “ข้าไม่สามารถปกคลุมท้องฟ้าทั้งหมดได้ด้วยมือของข้า เจ้าพูดถูก และข้าก็ไม่มีหลักฐานอะไรเลย แต่ข้าเคยบอกเจ้าไปเมื่อไหร่ว่าข้าต้องการหลักฐาน ? เมื่อตอนที่ข้าทำโม่ต้าเหยียนพิการ ข้าเคยถามหาหลักฐานใด ทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็แค่ข้าต้องรับบทลงทัณฑ์สีเลือดเท่านั้น”

 

 

เมื่อได้ยินคำว่าโม่ต้าเหยียน กับบทลงทัณฑ์สีเลือด การแสดงออกของหลานจื่อก็เปลี่ยนไปในที่สุด

 

 

ซูเฉินพูดออกไปในทันที “กังเหยียน ! ”

 

 

“ข้าอยู่นี่ขอรับ นายท่าน ! ” กังเหยียนเดินเข้ามาจากด้านนอกและคุกเข่าลงต่อหน้าซูเฉิน

 

 

“ลากผู้หญิงคนนี้ออกไป … ทุบตีนางจนตายให้ข้า” ซูเฉินสั่งเบา ๆ