เมื่อได้ยินคำพูดของชายชราแววตาของชนต่างเผ่าผมสีเขียวก็ฉายแวววาวโรจน์ ฉับพลันนั้นพลันสาวเท้ามาข้างหน้า หมายจะลงมือ

 

 

แต่ในยามนั้นเองชายร่างใหญ่ร่างกายผ่ายผอมดูห้าวหาญผู้นั้นก็เปล่งแสงสว่างวาบมาอยู่ข้างกายของชนต่างเผ่าผมสีเขียว ริมฝีปากขยับขมุบขมิบถ่ายทอดเสียงไป ดูเหมือนว่าจะตักเตือนอะไรสักอย่าง

 

 

ชนต่างเผ่าผมสีเขียวมีสีหน้าเคร่งขรึมสลับกับสดใสไปมา หลังจากผ่านไปชั่วครู่จิตสัมผัสบนเรือนร่างถึงได้จางลงไป แล้วเอ่ยอย่างเย็นชา

 

 

“เยี่ยม ไปดูก่อนว่าในหุบเขามีอะไรซ่อนอยู่ หากไม่ใช่เห็ดเซียนพวกเราก็แยกกัน หากใช่ ก็หึๆ…”

 

 

หลังจากที่ชนต่างเผ่าผมสีเขียวหัวเราะอย่างเย็นชาแล้ว ก็ไม่สนใจชายชราและพวกทั้งสองอีก พาชายร่างใหญ่ร่างกายผ่ายผอมกลายเป็นสายรุ้งสองสายเปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในหุบเขาที่ถูกไอมารปกคลุมด้านล่าง

 

 

“ท่านอาเยี่ยนพวกเราจะทำอย่างไรดี จะเข้าไปในหุบเขาพร้อมพวกเขาจริงๆ หรือ?” หญิงสาวชุดชาววังเห็นเหตุการณ์นี้ ก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เฮือกหนึ่งแล้วเอ่ยถามชายชรา

 

 

“แน่นอนว่าต้องเข้าไป จานอาคมมีปฏิกิริยาตอบสนอง จะปล่อยไปง่ายๆ ได้อย่างไร” ชายชราแซ่เยี่ยนตอบกลับอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด

 

 

“แต่สองคนนั้น…” หญิงสาวชุดชาววังลังเเล็กน้อย

 

 

“หากด้านในไม่มีเห็ดเซียน สองคนนั้นย่อมไม่ทำอันใด หากมีก็ยิ่งไม่ควรถอย มิเช่นนั้นเจ้าคิดว่าพวกเราเสี่ยงอันตรายเข้ามาที่นี่เพราะเหตุใดกัน” ชายชราสั่นศีรษะ แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

 

 

“แน่นอน เป็นเพราะนีเอ๋อร์ไม่ได้คิดให้รอบคอบ ต้องค้นหาหุบเขาแห่งนี้ดูสักรอบ” หญิงสาวสวมชุดชาววังครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วกัดฟันเอ่ยขึ้น

 

 

“เจ้าเองก็ไม่ต้องกังวลนัก! แม้ว่าอาการบาดเจ็บก่อนหน้านี้ของข้าจะยังฟื้นฟูได้ไม่สมบูรณ์ แต่เพื่อการเดินทางครั้งนี้ได้เตรียมสมบัติวิเศษมาชิ้นหนึ่ง หากเจอเห็ดเซียน ขอแค่ไม่ปะทะกับอีกฝ่าย รับประกันว่าพวกเราก็หนีออกมาได้อย่างปลอดภัยแน่” ชายชราเอ่ยอย่างมั่นอกมั่นใจ

 

 

จากความห่างไกลของชายชราและนาง แน่นอนว่าหญิงสาวสวมชุดชาววังย่อมเชื่อคำพูดของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อได้ฟังเช่นนี้ ความรู้สึกไม่ปลอดภัยในใจก็มลายหายไป พยักหน้าและไม่เอ่ยอะไรอีก

 

 

ดังนั้นทั้งสองจึงกลายเป็นลำแสงหลีกหนีเปล่งแสงสว่างวาบ แล้วบินเข้าไป

 

 

ทว่าเมื่อเข้ามาในหุบเขาชายชราแซ่เยี่ยนกลับพบพิรุธทันที

 

 

คิดไม่ถึงว่าหุบเขาที่ดูธรรมดาๆ เมื่อมองจากภายนอกจะลึกล้ำยากจะคาดเดาเช่นนี้ ครึ่งบนของหุบเขามีไอมารสีดำอ่อนลอยคลอเคลียอยู่ ครึ่งล่างกลับดูเหมือนเหวลึกยากคาดเดา แม้ว่าจะควบคุมสมบัติอาคมลงลึกไปพันจั้งเศษ ก็ยังไม่อาจมองเห็นตีนเขาได้

 

 

นี่จึงทำให้ชายชราทั้งตกตะลึงระคนดีใจ

 

 

สิ่งที่ดีใจก็คือด้านล่างลึกเช่นนี้ ด้านนอกกลับมีไอมารหนาแน่น เกรงว่าคงตรวจสอบไม่สะดวกนัก

 

 

เมื่อครุ่นคิดเช่นนี้ชายชราแซ่เยี่ยนและหญิงสาวชาววังก็ควักอาวุธที่มีรูปทรงเหมือนจานออกมา แล้วบินเข้าไปในส่วนลึกของเทือกเขา

 

 

หากไม่มีชนต่างเผ่าผมสีเขียวและพวกทั้งสองคนอยู่ที่นี่ เพื่อผลลัพธ์ที่เพิ่มขึ้น ไม่แน่ว่าพวกเขาทั้งสองก็อาจจะแยกกันค้นหา แต่ยามนี้ย่อมไม่มีทางทำเรื่องเสี่ยงอันตรายอย่างการแยกกันให้อีกฝ่ายโจมตีแน่

 

 

ทั้งสองบินอยู่ด้านหน้าคนหนึ่งด้านหลังคนหนึ่ง หลังจากกะพริบวาบๆ สองสามครั้ง ก็สลายหายไปท่ามกลางไอสีดำจางๆ ในหุบเขา

 

 

และในเวลาเดียวกันในลำธารที่ไหลลึกลงไปด้านล่างในส่วนลึกของหุบเขา ตรงตีนลำน้ำ มีของสีดำสนิทที่กายครึ่งหนึ่งจมอยู่ในโคลนเคลื่อนไหวอยู่ จากนั้นดวงตาสีเขียวสองดวงก็ลืมขึ้น แววตาไร้ความรู้สึก

 

 

……

 

 

ด้านนอกหุบเขาห่างออกไปหมื่นลี้ กบยักษ์สูงสองสามจั้งตัวหนึ่ง คาบจานอาคมที่เหมือนกันเอาไว้ พามารอสูรรูปร่างประหลาดเจ็ดแปดตัวบินมา

 

 

บางครั้งดวงตาวัวทั้งสองของกบยักษ์ก็มองไปที่จานอาคมในปาก ความเร็วไม่ค่อยรวดเร็วนัก แต่ทิศทางที่ตรงมาก็คือตำแหน่งของหุบเขา

 

 

ติดกันเป็นมารอสูรสีแดงสดที่ดูเหมือนแมลงปอยักษ์ ขนาดตัวใหญ่กว่ากบยักษ์ร้อยเท่า มือข้างหนึ่งถือจานอาคมเอาไว้เช่นกัน ปากกลับเอ่ยอะไรพึมพำๆ ไม่หยุด

 

 

“นายท่านข้าสัมผัสได้ถึงคลื่นประหลาดที่หุบเขา แต่ที่นั่นเป็นรังเก่าของมารจระเข้ มันโหดเ**้ยมมาก ข้าอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมัน ทำได้แค่รายงานนายท่าน ให้นายท่านจัดการด้วยตนเอง”

 

 

“หึ ไม่ใช่อาจจะ เจ้าไปคงถูกมันกินแน่ มารจระเข้ตัวนั้นเกือบจะบรรลุขึ้นไปอยู่ระดับศักดิ์สิทธิ์แล้ว แม้แต่นายท่านสามคนก็ไม่อาจไปหาเรื่องมันง่ายๆ เจ้ามั่นใจไหมว่าตนมองไม่ผิด ปฏิกิริยาของอาวุธเผ่ามนุษย์ เป็นหุบเขาแห่งนี้จริงๆ ใช่ไหม? หากผิดพลาดอย่างมาโทษว่าข้าไม่เกรงใจล่ะ” กบยักษ์เอ่ยด้วยเสียงอู้อี้ สีหน้าดูไม่เห็นด้วยนัก

 

 

“นายท่านโปรดวางใจ ข้าตรวจสอบมาแล้วเป็นสิบครั้ง มั่นใจเต็มเปี่ยม อาวุธของเผ่ามนุษย์มีปฏิกิริยาตอบสนองกับหุบเขาแห่งนี้” ดวงตาประกอบของมารอสูรที่ดูเหมือนแมลงปอเปล่งแสงสว่างวาบสองสามครั้ง แทบจะตบอกตนเองรับประกัน

 

 

“เยี่ยม หากหาเห็ดเซียนตัวนั้นเจอในหุบเขานี้จริงๆ ข้าจะตกรางวัลให้เจ้าไม่น้อยแน่” เห็นได้ชัดว่ากบยักษ์ไม่ได้คาดหวังกับคำพูดของมารอสูรที่อยู่ด้านหลังมากนัก จึงเอ่ยอย่างราบเรียบออกมา

 

 

นั่นก็ไม่แปลก!

 

 

หลังจากที่มันพามารอสูรระดับกลางและสูงกลุ่มหนึ่งออกจากเทือกเขามารสีทอง แน่นอนว่าย่อมต้องสังหารคนของเผ่าวิญญาณที่เข้ามาจากภายนอกไปเกือบครึ่ง และชิงจานอาคมมาค้นหาเห็ดเซียนตัวนี้ไปทั่วเช่นกัน แต่กลับไม่พบเบาะแสอะไร จากปฏิกิริยาตอบสนองของจานอาคมสิบกว่าครึ่ง ตั้งแต่ต้นจนจบล้วนผิดพลาด ไม่พบร่องรอยของเห็ดเซียนนั่นเลยสักนิด

 

 

เช่นนั้นผู้นี้จึงไม่คาดหวังกับการเดินทางครั้งนี้มากเท่าใดนัก

 

 

มันเริ่มขบคิดแม้กระทั่งว่าหากเข้าไปในหุบเขาครั้งนี้แล้วไม่ได้อะไร ควรจะไปค้นหาทางไหนต่อ

 

 

ส่วนมารอสูรระดับสูงที่เหลือสองสามตนที่อยู่ด้านหลัง เป็นเพราะสองสามวันที่ผ่านมากระโดดไปกลางอากาศอย่างต่อเนื่อง จึงมีท่าทีไร้ชีวิตชีวา

 

 

พวกของกบยักษ์รีบเข้าไปด้วยจิตใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แต่กลับไม่พบว่าด้านหลังของพวกมันห่างออกไปสิบลี้เศษ มีหมอกโลหิตบางๆ กลุ่มหนึ่ง ไล่ตามพวกมันมาอยู่ไกลๆ

 

 

ท่ามกลางหมอกโลหิตมีเงาร่างอรชรอ้อนแอ้นที่บอบบางจนแทบมองไม่เห็นปรากฏขึ้นรางๆ

 

 

……

 

 

หานลี่และหญิงสาวเผ่าผลึกออกจากเทือกเขาที่เป็นที่อยู่ของวานรมาร ระยะทางต่อจากนั้นย่อมราบรื่นมาก ไม่พบกับความยุ่งยากอะไร ผลคือคาดไม่ถึงว่าในระยะเวลาสั้นๆ ห้าวัน ก็มาได้ครึ่งทางแล้ว มาถึงหมอกบางๆ ที่สังหารอีแร้งหน้าคนในวันนั้น

 

 

เมื่อเห็นมองบางๆ ผืนนี้ แม้ว่าพวกเขาจะรีบร้อนขนาดไหน ก็อดที่จะลดความเร็วลงไม่ได้ พอปรึกษากันเล็กน้อย ก็บินเข้าไปในม่านหมอกอย่างระมัดระวัง

 

 

หานลี่มีสีหน้าไร้ความรู้สึกอยู่ท่ามกลางลำแสงหลีกหนี แต่ในเวลาเดียวกันในแววตาก็มีลำแสงสีฟ้าสว่างวาบ สองมือกำศิลาวิญญาณสีสันแวววาวเอาไว้ ยังคงดูดซับไอวิญญาณบริสุทธิ์จากศิลาวิญญาณไม่หยุด

 

 

แม้จะเป็นเพราะเร่งเดินทาง จนไม่อาจนั่งสมาธิฟื้นฟูพลังปราณได้ แต่ด้วยยาลูกกลอนหายากและศิลาวิญญาณระดับสุดยอดจำนวนมากนี้ สองสามวันนี้เขาจึงฟื้นฟูพลังยุทธ์ไปได้กว่าครึ่ง

 

 

ทว่าการซ่อมแซมเทวรูปพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์มารเที่ยงแท้นั้น ยังทำได้น้อยมาก

 

 

เช่นนั้นจึงทำให้หานลี่ผ่อนคลายลงเฮือกหนึ่ง มั่นใจว่าหากพบมารอสูรที่แข็งแกร่งอะไร ก็พอจะมั่นใจได้

 

 

แต่เมื่อจิตสัมผัสของเขาบังเอิญกวาดไปทางกำไลอสูรวิญญาณสีดำในแขนเสื้อนั้น ก็รู้สึกกลัดกลุ้มอยู่หลายส่วน

 

 

อสูรวิญญาณครวญสำแดงอานุภาพที่เกรียงไกรออกมาอย่างฉับพลัน จนถึงตอนนี้ก็ยังคงหลับสนิท

 

 

เมื่อเขากวาดจิตสัมผัสไป พลังปราณที่อสูรตัวนี้ใช้ไปจนหมดในวันนั้น ก็ฟื้นฟูมากว่าครึ่งแล้ว นับได้ว่ามีพลังฟื้นฟูที่น่าตกตะลึง แต่เมื่อเขาใช้จิตสัมผัสเชื่อมโยงกับอสูรตัวนี้ คิดจะเรียกมันให้ตื่น กลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเลยสักกระผีกริ้น

 

 

หากไม่ใช่เพราะเขาสัมผัสได้ว่าการเชื่อมโยงของเขาและวิญญาณครวญยังไม่ขาดออกจากกัน ก็แทบจะคิดว่าเผชิญหน้ากับสิ่งที่ตายไปแล้ว

 

 

แน่นอนว่านั่นก็ไม่ได้หมายความว่าหานลี่ไม่มีวิธีปลุกอสูรตัวนี้เลย หลังจากขบคิดสองสามครั้งในที่สุดก็ล้มเลิกความคิดนี้

 

 

เพราะจากประสบการณ์ของเขา สภาวะที่อสูรวิญญาณหลับลึกไปเองเช่นนี้ ปกติแล้วจะเป็นการพัฒนาระดับขั้นหรือการปกป้องตัวเอง ล้วนไม่ควรใช้วิธีการบีบบังคับไปรบกวนให้มันตื่น

 

 

ส่วนหานลี่นั้นเดิมทีก็ให้ความสำคัญกับอสูรวิญญาณครวญเป็นอย่างมาก หลังจากเกิดความเปลี่ยนแปลงสองสามวันก่อน ก็ให้ความสำคัญมากขึ้น ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ และให้มันตื่นเองจะดีกว่า

 

 

เมื่อครุ่นคิดเช่นนั้น หานลี่ก็พักเรื่องของอสูรตัวนี้เอาไว้ก่อน ดึงจิตสัมผัสกลับมา แล้วดูสถานการณ์ในร่างกายของตนเอง

 

 

แต่แค่จุดตันเถียนในยามนี้เปล่งแสงสีทองระยิบระยับ แต่ทารกวิญญาณกลับมีผิวสีเขียวอ่อน มือเล็กๆ ทั้งสองปิดอยู่ตรงทรวงอก ถือดวงแสงเพลิงสีเงินแวววาวเอาไว้ไม่ขยับเขยื้อน

 

 

ดวงแสงเพลิงสีเงินกลับดูแปลกประหลาดนัก!

 

 

เปลวเพลิงที่เดิมเปล่งแสงสีเงินระยิบระยับ คาดไม่ถึงว่าจะมีลูกไฟสีขาวนวลเล็กๆ ผสมอยู่ และยิ่งไปกว่านั้นท่ามกลางดวงแสงเพลิงลูกนั้น ก็มีอักขระสีเงินกะพริบวาบอยู่รางๆ ไม่หยุด

 

 

หานลี่เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ พลันมุมปากกระตุก อดที่จะเผยรอยยิ้มออกมาไม่ได้

 

 

เปลวเพลิงสีขาวนวลนั้นไม่ต้องถามถึง แน่นอนว่าย่อมเป็นเพลิงเที่ยงแท้สีทองดำที่ดูดซับมาจากอีแร้งหน้าคน

 

 

จะว่าไปแล้วเพลิงกลืนวิญญาณดูดซับเพลิงวิญญาณอื่นได้และมีความสามารถในการหลอมรวมพร้อมกับพัฒนานั้น เป็นอิทธิฤทธิ์ที่ยอดเยี่ยมจริงๆ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป จะพัฒนาไปจนถึงขั้นไหนกันแน่ ช่างเป็นเรื่องที่ทำให้หานลี่ตั้งตารอคอยจริงๆ

 

 

เมื่อเห็นเพลิงกลืนวิญญาณกำลังหลอมเพลิงเที่ยงแท้สีทองดำโดยไม่เปิดปัญหาอะไร หานลี่ก็ดึงจิตสัมผัสกลับมา ยังคงแผ่จิตสัมผัสไปรอบด้านอย่างระมัดระวัง

 

 

แม้ว่าหมอกบางเบาผืนนี้จะกว้างใหญ่ไม่น้อย แต่พอหานลี่และเซียนเซียน บินเข้ามากลับไม่พบการลอบโจมตีจากมารอสูรตัวใดอีก

 

 

ดูแล้วอีแร้งหน้าคนก่อนหน้าคงเป็นมารอสูรระดับสูงที่มีอยู่ในหมอกบางเบาผืนนี้ เป็นเพราะถูกสังหารไปอย่างกะทันหัน ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่วันจึงไม่มีมารอสูรระดับสูงตนอื่นเข้ามาในเขตนี้

 

 

หากเป็นเช่นนี้การกลับไปของทั้งสอง จึงราบรื่นไม่มีสิ่งใดมาขัดขวาง

 

 

เพราะผ่านมาได้อย่างราบรื่น ประกอบกับหานลี่และเซียนเซียน เคยผ่านมาแล้วรอบหนึ่ง แน่นอนว่าจึงเร็วกว่าครั้งที่แล้วมาก

 

 

หลังจากผ่านไปครึ่งวัน พวกเขาก็บินผ่านหมอกบางเบามาถึงเขตแดนแล้ว

 

 

ทว่าหลังจากที่สายรุ้งสีเขียวบินออกมาจากหมอกบางเบาแล้ว ก็หยุดชะงักอยู่กลางอากาศ จากนั้นลำแสงหลีกหนีพลันหม่นแสง เงาร่างหานลี่ปรากฏออกมา

 

 

แต่เขาในยามนี้มองสถานการณ์ตรงหน้า สีหน้าพลันซีดขาวไปเล็กน้อย

 

 

เห็นเพียงห่างจากเขาไปไม่ถึงสองสามร้อยจั้ง พายุสีดำกำลังซัดสาดเป็นระลอกๆ มารอสูรระดับสูงนับร้อยนับพันตัวลอยอยู่ตรงนั้น

 

 

หน้าสุดของมารอสูรฝูงนี้เป็นมารอสูรที่แปลงกลายเป็นมนุษย์ตนหนึ่ง เอวหนาใหญ่ บนศีรษะมีเขายักษ์สีดำงอกออกมาคู่หนึ่ง สวมชุดเกราะเหล็กสีดำ กายท่อนบนไม่ต่างอะไรจากเผ่ามนุษย์ แต่ท่อนล่างกลับมีขนอสูรสีดำเต็มไปหมด กำลังใช้สายตางงงันมองมาทางหานลี่

 

 

และตรงข้ามมารอสูรร่างมนุษย์ไปห้าสิบหกสิบจั้ง มีบุรุษสวมชุดเกราะสีเงิน เท้าเหยียบอยู่บนรถเหาะสีโลหิตคนหนึ่ง กำลังยืนประจันหน้ากับมันด้วยสีหน้าเคร่งขรึม