แน่นอนว่าบุรุษชุดเกราะสีเงินที่ยืนเผชิญหน้ากับเหล่ามารอสูรนั้นคือบุรุษแซ่กุยที่ล่วงหน้าจากไปก่อน ตอนที่อยู่ในเทือกเขาวานรมาร 

 

 

ไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญหรือไม่ คาดไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะไปทางเดียวกันกับหานลี่ และถูกมารอสูรจำนวนมากขนาดนี้ขวางเอาไว้ 

 

 

บุรุษแซ่กุยในยามนี้เห็นท่าทางประหลาดของมารอสูรสองเขาตรงข้าม พลันรู้สึกฉงนพลางหันกลับไปอย่างรวดเร็ว 

 

 

ผลคือมองมาปราดเดียวก็เห็นหานลี่และเซียนๆ ที่บินตามออกมาติดๆ 

 

 

ชนต่างเผ่าผู้นี้พลันตกตะลึง แต่เมื่อกลอกตาไปมา กลับเผยสีหน้ายินดีออกมา 

 

 

จะว่าไปแล้วอย่ามองว่าเมื่อครู่บุรุษแซ่กุยยังมีท่าทีเยือกเย็น แต่ในใจกลับร้อนใจเป็นอย่างมาก 

 

 

เขาไปจากหานลี่และพวก ไม่หยุดพักระหว่างทาง แต่ก็มาถูกมารอสูรจำนวนมากขวางเอาไว้ที่นี่ จะตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยวแค่ไหนแค่คิดก็รู้แล้ว 

 

 

ฝูงอสูรที่อยู่ตรงข้ามมีมารอสูรระดับกลางเป็นผู้นำ แต่มารอสูรระดับสูงก็มีมากถึงสามสิบกว่าตัวแล้ว ประกอบมารอสูรร่างมนุษย์สองเขาที่เป็นผู้นำ คาดไม่ถึงว่าพลังยุทธ์จะไม่แตกต่างอะไรกับเขามากนัก 

 

 

แม้ว่าเขาจะหยิ่งผยองแต่ก็รู้ว่าหากลงมือจะต้องเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำแน่ 

 

 

ความหวังเดียวก็คือใช้วิธีสลัดมารอสูรเหล่านี้ให้หลุด จากนั้นก็ใช้ความเร็วสูงสุดหนีไป 

 

 

แต่เมื่อเขาเห็นว่าในบรรดามารอสูรเหล่านี้ มีอยู่เจ็ดแปดตัวที่เป็นมารอสูรประเภทแมลงมีปีกคู่หนึ่งหรือหลายคู่อยู่บนแผ่นหลัง ก็รู้สึกระแวงขึ้นมา 

 

 

มารอสูรเหล่านี้นั้นไม่ต้องพูดถึง ความเร็วไม่เชื่องช้าแน่นอน หากมีสองสามตัว เขาก็พอจะสู้ได้ ดูว่าจะสลัดได้หรือได้ แต่จำนวนมากขนาดนี้กรูกันเข้ามา เขาก็ไม่มีทางหนีแน่ 

 

 

ตอนนี้หานลี่มาปรากฏตัว ก็เท่ากับจะแบ่งกับเขาไปครึ่งหนึ่ง โอกาสที่เดิมทีมีไม่ถึงหนึ่งส่วน ก็แบ่งออกเป็นหลายส่วนทันที 

 

 

จะไม่ทำให้บุรุษแซ่กุยดีใจอย่างบ้าคลั่งได้อย่างไร 

 

 

เซียนๆ เห็นเหตุการณ์นี้ สีหน้าพลันดูไม่ได้ไปตั้งนานแล้ว 

 

 

หานลี่มีสีหน้าดีกว่าเล็กน้อย แต่แววตาก็เปล่งประกายไม่หยุด ลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ 

 

 

แม้ว่ามารอสูตรฝั่งตรงข้ามจะมีจำนวนมาก แต่กลับเบิกเนตรมีสติปัญญาหมดแล้ว ดังนั้นแม้ว่าทุกตัวจะมองมาทางทั้งสามคนด้วยสายตาไม่เป็นมิตร ก็ไม่ได้กู่ร้องคำรามกรูกันเข้ามา แต่ทุกตัวกลับใช้สายตาที่ดูเหมือนมองคนตายจ้องเขม็งมายังทั้งสาม 

 

 

ภายใต้ความประหลาดใจที่นี่จึงเงียบสงัด 

 

 

แต่ครู่ต่อมาความเงียบสงัดนี้ก็ถูกคนทำลายลง 

 

 

“ฮ่าๆ เป็นเจ้าที่ฆ่านายน้อยไม่ผิดแน่ ขอแค่สังหารเจ้าหรือจับเจ้าเป็นๆ กลับไป นายท่านจะต้องตกรางวัลอย่างงามแน่ ฆ่า! ที่เหลืออีกสองคนก็ฆ่าซะ ส่วนคนผู้นี้ก็พยายามจับมาให้ข้า” มารสองเขานามว่าอู่ลี่เห็นใบหน้าของหานลี่ชัดเจน ฉับพลันนั้นก็อ้าปากออกหัวเราะอย่างบ้าคลั่งออกมา จากนั้นก็หยุดหัวเราะ ออกคำสั่งที่เต็มไปด้วยจิตสังหารออกมา 

 

 

เมื่อคำพูดนี้หลุดออกจากปาก มารอสูรระดับสูงที่รออยู่ด้านหลังของเขาก็เปล่งเสียงร้องคำรามออกมา จากนั้นวายุสีดำพลันหมุนวน พุ่งมาทางหานลี่และพวกทั้งสามคน 

 

 

ด้านหน้าวายุสีดำมีลำแสงหลีกหนีสิบกว่าสายแค่กะพริบวาบ ก็กระโจนออกมาจากวายุสีดำ แล้วกระโจนมาหานลี่และพวกทั้งสามคน 

 

 

ในลำแสงสีดำนั้นไม่ใช่วิหคประหลาดสามหัว ก็เป็นแมลงยักษ์ที่ปีกยักษ์อยู่ที่แผ่นหลัง 

 

 

ส่วนมารสองเขานั้น ผิวมีลำแสงสีเขียวพัวพันอยู่ ใต้ฝ่าเท้ามีจานอาคมกลมๆ สีเขียวที่ดูธรรมดาๆ เพิ่มขึ้นมา แค่พลิ้วไหว ก็เปล่งแสงยี่สิบกว่าสายออกมา ความเร็วไม่ด้อยไปกว่ามารอสูรเหล่าวิหคและแมลงเลยสักนิด 

 

 

ทิศทางที่มันกระโจนออกมาก็คือตำแหน่งของหานลี่ มองเห็นมันกะพริบวาบอีกครั้ง ก็กระโจนมาตรงหน้าหานลี่ 

 

 

“แยกกันไป!” 

 

 

หานลี่ระงับความประหลาดใจที่อีกฝ่ายจำตนเองได้เอาไว้ ปากก็เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาและเย็นชา ลำแสงหลีกหนีปรากฏขึ้น กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวพุ่งแหวกอากาศไป 

 

 

เห็นเพียงระหว่างที่ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงเจิดจ้า ลำแสงหลีกหนีก็อยู่ห่างออกไปสี่สิบกว่าจั้ง และพุ่งออกไปอย่างไม่มีท่าทีจะหยุดเลยแม้แต่น้อย 

 

 

ในเมื่อเขาไม่ได้เผชิญหน้ากับมารอสูรฝั่งตรงข้าม และไม่ได้มีเจตนาจะถอยเข้าไปในหมอกบางเบาอีกครั้ง แต่บินไปอีกด้าน 

 

 

การเคลื่อนไหวของเซียนๆ และบุรุษแซ่กุยเองก็ไม่ได้เชื่องช้าเลยแม้แต่น้อย 

 

 

แทบจะในเวลาเดียวกันนั้นบุรุษพลันอ้าปากออกพ่นไอโลหิตออกมากลุ่มหนึ่ง ชั่วครู่ก็จมหายไปใต้รถโลหิตใต้ฝ่าเท้า 

 

 

รถโลหิตแผ่ไอสีดำออกมาพร้อมกับเสียงร้องคร่ำครวญ เสียง “สวบ” ดังขึ้น แล้วสลายหายไปจากที่เดิม และในทันใดนั้นกลางอากาศห่างออกไปร้อยจั้งเศษ รถวายุพลันเปล่งแสงสว่างวาบปรากฏขึ้น จากนั้นเสียงกรีดร้องแหลมๆ พลันดังขึ้น กลายเป็นไอสีดำกลุ่มหนึ่งพุ่งแหวกอากาศไป 

 

 

ส่วนเซียนๆ นั้นเมื่อได้ยินเสียงอันแผ่วเบาของหานลี่ ก็กัดฟันสะบัดแขนเสื้อ ธงด้ามเล่มสีสันแวววาวด้ามหนึ่งปรากฏออกมา  

 

 

ร่างของสตรีผู้นี้มีลำแสงสีขาวสว่างวาบ ชั่วพริบตาก็กลายเป็นดวงแสงสีขาวกลุ่มหนึ่ง หมุนติ้วๆ เสียง “ปัง” ดังขึ้น ดวงแสงสีขาวยี่สิบสามสิบลูกที่เหมือนกันทุกระเบียบนิ้วบินออกมา พุ่งตรงไปทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้าน 

 

 

ดวงแสงทุกลูกมีความเร็วที่น่าตกตะลึง แค่พลิ้วไหวก็อยู่ห่างออกไปยี่สิบสามสิบจั้งพร้อมกับเงาเป็นสาย 

 

 

ดวงแสงสีขาวที่กระโจนเข้าไปหาเหล่าอสูรย่อมถูกเหล่าอสูรบ้างก็อ้าปากพ่น บ้างก็ใช้มือใหญ่ยักษ์ตะปบเอาไว้ ทยอยกันสลายหายไป 

 

 

แต่ดวงแสงสีขาวส่วนใหญ่ ยังคงหนีออกไปได้ร้อยจั้งเศษ 

 

 

ในฉากที่มารอสูรระดับสูงจำนวนมากขนาดนี้ คาดไม่ถึงว่าจะไม่มีผู้ใดดูออกว่า ลูกไหนถึงจะมีร่างของหญิงสาวเผ่าผลึกอยู่ 

 

 

เมื่อเห็นหานลี่และพวกทั้งสามคนไม่ว่าจะมีพลังยุทธ์แข็งแกร่งหรืออ่อนแอ แต่ล้วนเป็นผู้ที่ลื่นไหลจนจับไม่อยู่ มารสองเขารู้สึกโกรธเกรี้ยว ปากก็เปล่งเสียงร้องคำรามต่ำๆ ออกมา สองมือแยกออก ชั่วครู่ก็จะปบดวงแสงสีขาวที่พุ่งผ่านข้างกายไปจนแตกละเอียด 

 

 

จากนั้นจานสีเขียวใต้ฝ่าเท้าของมันก็เปล่งแสงสว่างวาบ กลับกลายเป็นเรือไม้สีเขียวมรกตลำหนึ่ง เปล่งเสียงหวีดร้องแล้วพุ่งไล่ตามหานลี่ไป 

 

 

ด้านหลังของเขามีมารอินทรีเรือนกายสีดำสนิทขนาดสองสามจั้งตัวหนึ่ง รวมทั้งผึ้งเขียวยักษ์ความยาวสองสามฉื่อ บนเรือนร่างมีลำแสงอันสีเปล่งแสงสว่างวาบ 

 

 

ทั้งสามดูเหมือนว่าจะมุ่งมาหาหานลี่ ความเร็วไม่ด้อยไปกว่าสายรุ้งสีเขียว ไล่ตามหานลี่อย่างไม่ลดละ 

 

 

ตรงทิศทางอื่นด้านหลังบุรุษแซ่กุยก็มีมารอสูรระดับสูงที่ความเร็วไม่เชื่องช้าสองสามตัวไล่ตามไป 

 

 

ส่วนมารอสูรที่เชี่ยวชาญการเหาะเหินตัวอื่นๆ นั้น ก็ลังเลเล็กน้อย แล้วข้ามผ่านดวงแสงสีขาวที่แตกตัวออกเหล่านั้นไป 

 

 

ส่วนมารอสูรที่ควบคุมวายุมารอยู่ด้านหลังไปอีก ก็เปล่งเสียงหวีดร้องออกมา คาดไม่ถึงว่าบินแยกเป็นสามกลุ่ม สองกลุ่มพุ่งไปหาหานลี่และบุรุษแซ่กุย 

 

 

กลุ่มที่เหลือเองก็พุ่งไปทางดวงแสงเหล่านั้น  

 

 

แน่นอนว่าหานลี่ย่อมเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นด้านหลังตนเองทั้งหมด มองเห็นหญิงสาวเผ่าผลึกทิ้งทางหนีทีไล่เอาไว้ดังคาด ในใจพลันรู้สึกผ่อนคลายลง ทันใดนั้นก็ควบคุมลำแสงหลีกหนีหนีไป 

 

 

จากความเร็วของหานลี่ในตอนนี้ความเร็วของเขานับว่าเคลื่อนย้ายพลันลี้ในชั่วพริบตา พริบตาเดียวก็หนีออกมาได้สองสามหมื่นลี้  

 

 

เมื่อหันหัวกลับไปกลับเห็นมารอสูรสามหัวด้านหลังยังคงไล่ตามมาติดๆ ห่างออกไปร้อยจั้งเศษราวกับแมลงเกาะกระดูก สลัดออกไปได้ไม่ไกลนัก 

 

 

ส่วนไกลออกไปก็มีวายุสีดำกลุ่มหนึ่งปรากฏอยู่รางๆ ไล่ตามมาติดๆ อย่างไม่ลดละเช่นกัน  

 

 

แววตาของหานลี่ฉายแววเย็นเยียบ 

 

 

หากมีแค่มารอสูรระดับสูงสามตัวด้านหลัง ก็ยังไม่พอให้หวาดกลัว แต่หากถูกทั้งสามคนพัวพันเอาไว้ มารอสูรตัวอื่นที่อยู่ด้านหลังห่างออกไปยี่สิบกว่าตัวกรูกันเข้ามาล้อม จากพลังยุทธ์ที่ยังไม่ฟื้นฟูในยามนี้ ก็ต้องเสียเปรียบเข้าแล้วจริงๆ 

 

 

เมื่อขบคิดในใจเช่นนี้ หานลี่ที่อยู่ในลำแสงหลีกหนีก็ไม่ลังเลอีก มือหนึ่งร่ายอาคม ชั่วขณะนั้นแผ่นหลังพลันมีเสียงอัสนีฟ้าฟาดดังขึ้น ปีกขนนกสีสันแวววาวคู่หนึ่งปรากฏออกมา 

 

 

ปีกสองข้างแค่กระพือเบาๆ เสียงฟ้าผ่าก็ดังออกมา 

 

 

สายรุ้งสีเขียวสั่นเทากลายเป็นประจุไฟฟ้าสีเขียวขาวสายหนึ่งพุ่งออกไป แค่กะพริบวาบก็สลายหายไปทันที 

 

 

ครู่ต่อมาห่างออกไปร้อยจั้งเศษ สายฟ้าสีเขียวขาวพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ประจุไฟฟ้าถึงได้เปล่งเสียงอึกทึกพลันปรากฏขึ้น แต่สายฟ้านี้แค่หยุดชะงัก ก็พุ่งออกมาแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอยอีกครั้ง 

 

 

เช่นนั้นหานลี่ที่กระตุ้นปีกวายุอัสนีอย่างบ้าคลั่งก็สำแดงเคล็ดวิชาอัสนีหลีกหนีที่เหนือชั้นออกมา 

 

 

เห็นเพียงประจุไฟฟ้าสีเขียวขาวกะพริบเรืองๆ แค่ไม่กี่อึดใจ ก็ดึงระยะห่างออกจากมารอสูรสามตัวด้านหลังไปได้สองสามร้อยจั้ง 

 

 

อู่ลี่เห็นเช่นนั้น พลันตกตะลึง จากนั้นพลันรู้สึกร้อนใจ 

 

 

หากปล่อยให้ผู้ที่อยู่ตรงหน้าหนีไปได้จริงๆ จุดจบของเขาในยามที่กลับไปจะเป็นอย่างไรไม่ต้องคิดก็รู้แล้ว 

 

 

ทันใดนั้นมันพลันอ้าปากออก คาดไม่ถึงว่าจะพ่นกระจอกสัมฤทธิ์สามเหลี่ยมออกมา 

 

 

เป็นสีเหลืองนวล ผิวของมันดูเหมือนจะรางเลือนเป็นพิเศษ! 

 

 

แต่มารสองเขากลับหันหน้าไป คำรามใส่มารอสูรระดับสูงอีกสองตัว 

 

 

เมื่อได้ยินเสียงคำรามนี้ มารอินทรีและผึ้งเขียวก็มองสบตากันแวบหนึ่ง ในแววตาล้วนเผยท่าทีลังเลออกมา  

 

 

ใบหน้าของมารสองเขาฉายแววตาโหดเ**้ยม แล้วร้องคำรามออกมา 

 

 

ท่ามกลางเสียงคำรามครั้งนี้ กลับเต็มไปด้วยจิตสังหาร 

 

 

มารอินทรีและผึ้งสีเขียวร่างกายสั่นเทา แล้วถึงได้ฝืนพยายามอ้าปากออก พ่นไข่มุกขนาดเท่ากำปั้นสีดำและเขียวออกมาสองเม็ด เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในกระจก 

 

 

กระจกสัมฤทธิ์สามเหลี่ยมสั่นเทาทันที เปล่งเสียงร้องหึ่งๆ ออกมา ในเวลาเดียวกันลำแสงที่แผ่ออกมาจากกระจกก็เปลี่ยนสี กลายเป็นสีเขียวดำ 

 

 

อู่ลี่เห็นเช่นนั้นพลันรู้สึกดีอกดีใจ โยนกระจกสัมฤทธิ์ในมือออกไป อ้าปากออก พ่นไข่มุกสีเทาออกมา 

 

 

ไข่มุกเม็ดนี้วนโคจรล้อมรอบกระจกสัมฤทธิ์ เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในกระจกเช่นกัน 

 

 

ชั่วขณะนั้นกระจกสัมฤทธิ์มันสั่นคลอนยิ่งกว่าเดิม ลำแสงวิญญาณที่แผ่ออกมาเปลี่ยนเป็นสีดำเขียวเทาสามสี 

 

 

จากนั้นก็เห็นมารสองเขายื่นนิ้วอ้วนๆ ออกมานิ้วหนึ่งชี้ไปทางกระจกสัมฤทธิ์ 

 

 

ชั่วขณะนั้นผิวกระจกพลันเปล่งแสงเจิดจ้า ฉับพลันนั้นพลันพ่นหมอกลำแสงสามสีออกมา 

 

 

ลำแสงนี้ราวกับมังกรที่ออกมาแหวกว่ายนอกทะเลอย่างไรอย่างนั้น แค่กะพริบวาบก็ม้วนเอามารอสูรสามตัวเข้าไป กระจกสัมฤทธิ์พลันพลิ้วไหวแล้วจมหายเข้าไปในหมอกลำแสง 

 

 

จากนั้นหมอกลำแสงแค่พลิ้วไหว ก็อยู่ห่างออกไปเจ็ดแปดสิบจั้งอย่างเงียบเชียบ ไล่ตามประจุไฟฟ้าสีเขียวขาวไปราวกับภูตผี 

 

 

คาดไม่ถึงว่ามารทั้งสามจะอาศัยสมบัติอาคมรวมพลังของทั้งสามเข้าด้วยกัน ความเร็วจึงเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก 

 

 

แม้จะมองดูแล้วช้ากว่าหานลี่เล็กน้อย 

 

 

แต่มารที่มีนามว่าอู่ลี่ผู้นี้กลับรู้สึกผ่อนคลายลงไปเฮือกหนึ่ง 

 

 

อีกฝ่ายมีพลังยุทธ์น้อยกว่าเขา พวกเขาทั้งสามรวมพลังกันกระตุ้นสมบัติอาคม ขอเวลานานหน่อย ก็ไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะรักษาระดับความเร็วเช่นนี้เอาไว้ได้ ไล่ตามอีกฝ่ายทันก็เป็นเรื่องที่ต้องเกิดขึ้นในไม่ช้าก็เร็วแล้ว 

 

 

ตรงหน้าประจุไฟฟ้าสีเขียวขาว ปรากฏขึ้นท่ามกลางเสียงฟ้าคำรามรางๆ แล้วสลายหายไปด้านหลังม่านลำแสงสามสีราวกับภูตผี 

 

 

ทั้งสองคนหนึ่งอยู่หน้าคนหนึ่งอยู่หลัง ชั่วครู่ก็หายวับไปที่ขอบฟ้า 

 

 

วายุมารสีดำสนิทที่ไล่ตามอยู่ด้านหลัง ตอนแรกก็ไล่ตามไปได้สองสามหมื่นลี้ แต่เมื่อเห็นหานลี่และมารทั้งสามอยู่ห่างออกไปเรื่อยๆ สุดท้ายก็หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย 

 

 

วายุสีดำพลันสลายตัวออก มารอสูรระดับสูงสามสิบกว่าตัวปรากฏกายขึ้น แล้วมองสบตากันไปมาอยู่ที่เดิม