“ซือๆ ทำอย่างไรดี ชาวแดนวิญญาณผู้นั้นรวดเร็วถึงเพียงนี้ แม้แต่นายท่านอู่ลี่ก็ทำได้เพียงพยายามไล่ตามไปเท่านั้น พวกเราไม่อาจไล่ตามทันได้” มารอสูรตนหนึ่งที่ร่างกายคล้ายหมาป่า แต่คอยาวดุจงูเหลือมเปล่งเสียงซือๆ ออกมาขณะเอ่ย 

 

 

“ยังต้องถามอีกหรือ แน่นอนว่าต้องไล่ตามต่อไป นายท่านอู่ลี่ไม่ได้ส่งตำแหน่งของทุกคนให้พวกเราแล้วหรือ ไปตามตำแหน่ง แม้ว่าจะอยู่ห่างออกไปล้านลี้ ก็ตามนายท่านกบได้” มารอสูรอีกตนหนึ่งที่มีรูปร่างคล้ายหมูป่า แต่หูยาวกลับพ่นคำพูดของมนุษย์ 

 

 

“หึ จากความเร็วของเจ้าจะไล่ตามนายท่านอู่ลี่ คงต้องรอชาติหน้าตอนบ่ายๆ แล้ว” มารอสูรหัวเหมือนงูเหลือมยักษ์ กลับกลอกตาส่งค้อนให้ แล้วเอ่ยอย่างดูแคลน 

 

 

“หมายความว่าอะไร ฟังจากคำพูดของเจ้า ดูเหมือนว่าที่นี่จะมีเพียงเจ้าคนเดียวที่ตามทัน เมื่อครู่พวกเราเป็นตัวถ่วงเจ้าหรือ?” มารอสูรที่ดูเหมือนหมูป่าดูเหมือนจะกล้าหาญ แต่ความจริงในใจลึกๆ พูดคุยแค่ไม่กี่ประโยค ก็ดึงอีกฝ่ายกับคนอื่นๆ ให้เป็นปฏิปักษ์กัน 

 

 

ทว่าพลังยุทธ์ของมารอสูรงูเหลือม เดิมทีก็เหลือเพียงไม่กี่คน เมื่อได้ฟังคำนี้ก็แค่หัวเราะอย่างเย็นชา และไม่ได้แยกแยะเลยสักนิด 

 

 

ท่าทางเช่นนี้แน่นอนว่าย่อมทำให้มารอสูรตนอื่นๆ ล้วนมีแววตาไม่เป็นมิตร 

 

 

“เอาล่ะ งูเหลือมพูดมีเหตุผล พวกเรามีความเร็วแตกต่างกัน หากไล่ตามไปทั้งหมด คงเป็นไปไม่ได้ แต่ให้นายท่านอู่ลี่และพวกทั้งสามคนไล่ตามไปลำพัง ก็ไม่ค่อยเหมาะสม เช่นนี้ก็แล้วกัน พวกเราเลือกคนที่มีรวดเร็วที่สุดมาห้าคน แล้วไล่ตามไป คนอื่นๆ ก็กลับไปรอฟังคำสั่งก็แล้วกัน” อสูรน้อยประหลาดเรือนกายแวววาวระยิบระยับ ราวกับสร้างขึ้นจากกระเบื้องหลากสีพลันเอ่ยปากขึ้น 

 

 

ในคำพูดคาดไม่ถึงว่าแฝงไว้ด้วยน้ำเสียงออกคำสั่งครึ่งหนึ่ง! 

 

 

แต่สิ่งที่น่าแปลกก็คือมารอสูรที่เกเรทั้งหมดรวมทั้งมารอสูรงูเหลือมต่างฟังคำสั่งของอสูรน้อยกระเบื้องอย่างไม่มีข้อคิดเห็นใดๆ ทันใดนั้นก็โต้เถียงกันรอบหนึ่ง เหลือเพียงมารอสูรที่รวดเร็วที่สุดห้าตัว 

 

 

มารอสูรที่เหลือรวมตัวกันกลายเป็นวายุมาร แล้วกลับไปทางเดิม 

 

 

ในบรรดามารอสูรที่เหลือทั้งห้ามีอสูรหัวงูเหลือมตัวนั้นและอสูรน้อยกระเบื้องรวมอยู่ด้วย 

 

 

อสูรทั้งห้ากลายเป็นลำแสงหลีกหนีรวมตัวกัน ความเร็วไม่อาจเปรียบเทียบกับก่อนหน้าได้ 

 

 

เห็นเพียงสายรุ้งสีดำหนาความยาวสิบจั้งเศษ เปล่งแสงสว่างวาบแล้วพุ่งผ่านอากาศไป 

 

 

…… 

 

 

ผิวของหานลี่มีประจุไฟฟ้าสีเขียวขาวเปล่งแสงสว่างวาบ สลายหายไปท่ามกลางเสียงฟ้าผ่าราวกับสายฟ้า แล้วปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง แค่ชั่วอึดใจก็อยู่ห่างออกไปสองสามร้อยจั้ง แล้วพุ่งผ่านไป 

 

 

มองจากไกลๆ ก่อนหน้าเขายังอยู่ตรงขอบฟ้าอีกด้าน วินาทีต่อมากลับมาปรากฏที่ขอบฟ้าอีกด้าน แค่กะพริบวาบคนก็สลายหายไป 

 

 

หลังจากที่ประจุไฟฟ้าสีเขียวสาวเปล่งแสงอึกทึกพร้อมกับสลายหายไปได้ไม่นาน หมอกลำแสงสามสีสายหนึ่งก็เปล่งแสงสว่างวาบปรากฏขึ้นอย่างเงียบเชียบ แค่กะพริบวาบเรืองๆ ก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอยเช่นกัน 

 

 

หานลี่ที่อยู่ในอัสนีลำแสงไม่ได้หันหัวกลับมา กลับรู้ดีว่ามารอสูรสามตัวนั้นอยู่ห่างออกไปยี่สิบสามสิบลี้ กำลังไล่ตามมาอย่างไม่ลดละ 

 

 

นี่จึงทำให้เขาขมวดคิ้ว สีหน้าเคร่งขรึมไปเล็กน้อย 

 

 

เขาหนีมารทั้งสามมาครึ่งวันแล้ว แม้ว่าระยะห่างจากค่อยๆ ห่างออกไปเรื่อยๆ แต่ยังห่างไกลจากคำว่าสลัดอสูรทั้งสามได้อีกมาก 

 

 

ไอมารท่ามกลางเทือกเขามารสีทองทำให้ผู้ที่มาจากภายนอกได้รับข้อจำกัดทางจิตสัมผัส แต่สำหรับมารอสูรเหล่านี้กลับเป็นเหมือนมัจฉาที่แหวกว่ายอยู่ในสายธาร แผ่จิตสัมผัสออกมาในระยะสองสามร้อยลี้ได้อย่างง่ายดาย 

 

 

ต่อให้เขาหนีมารทั้งสามไปครึ่งเดือน เดาว่าก็ไม่อาจสลัดพวกที่อยู่ด้านหลังได้ 

 

 

ส่วนระยะห่างกับเขตอาคมกักตัวนอกเทือกเขามารสีทองยังอยู่ห่างอีกสิบกว่าวัน เขาจะมีเสียเวลานานขนาดนั้นได้อย่างไร 

 

 

และยิ่งไปกว่านั้นในเทือกเขายังมีมารอสูรระดับศักดิ์สิทธิ์อยู่ หากเสียเวลานานไป อาจจะดึงดูดมาได้ 

 

 

เรื่องที่อันตรายเช่นนี้หานลี่ไม่มีทางทำแน่ 

 

 

เมื่อบินมาเป็นระยะเวลานาน เขาก็สูญเสียอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายในร่างไปไม่น้อย ไม่อาจประคับประคองปีกวายุอัสนีต่อไปได้อีก 

 

 

และยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่ามารอสูรสามตนจะมีพลังกระจกประหลาดคอยช่วยเหลือจนสามารถไล่ตามอย่างไม่ลดละได้ แต่ฝูงมารอสูรที่เขาหวาดกลัวมากที่สุดกลับไร้เงา 

 

 

เช่นนั้นละก็จากนั้นวันเวลาก็ค่อยๆ ไหลผ่านไป จิตสังหารของหานลี่จึงค่อยๆ เพิ่มขึ้น 

 

 

แต่ประจุไฟฟ้ากลับไม่เชื่องช้าลงเลยสักนิด ไม่เห็นท่าทีแปลกประหลาดใดๆ 

 

 

หลังจากบินมาได้อีกหนึ่งมื้ออาหาร ตรงหน้าพลันมีทะเลหมอกสีเทาปรากฏขึ้น แม้ว่าจะไม่ถึงกับเข้มข้น แต่มองไกลๆ ก็ดูมีขนาดพื้นที่ไม่น้อย 

 

 

หานลี่เห็นเช่นนั้นแววตาพลันฉายแววเย็นชา สายฟ้าเปล่งแสงสว่างวาบบนเรือนร่างอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด แล้วกระโจนเข้าไปข้างใน 

 

 

หลังจากเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น หานลี่ก็ปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางหมอกสีเทา ในเวลาเดียวกันดวงตาก็เปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบพลางกวาดมองไปรอบทิศทาง  

 

 

เมื่อมั่นใจว่ารอบๆ ไม่มีมารอสูรตนอื่นๆ แอบซ่อนอยู่ หานลี่พลันพลิกฝ่ามือมือหนึ่ง ในมือมียันต์วิเศษสีม่วงปรากฏขึ้น และพลิกฝ่ามือตบไปบนร่าง 

 

 

เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น ยันต์วิเศษกลายเป็นลำแสงวิญญาณกลุ่มหนึ่งห่อหุ้มร่างของหานลี่เอาไว้ ในเวลาเดียวกันในลำแสงก็มีอักขระสีเงินหมุนวนไปมาอยู่รางๆ 

 

 

แต่เมื่อลำแสงสีเงินเปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายไป เงาร่างของหานลี่ก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย 

 

 

คาดไม่ถึงว่าเขาจะใช้ยันต์ชำระพิสุทธิ์ทำให้ร่างกายหายวับไป 

 

 

เมื่อใช้ยันต์วิเศษแผ่นนี้ เขาก็สามารถปกปิดได้แม้กระทั่งระดับผสานอินทรีย์ขั้นต้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมารอสูรระดับหลอมสุญตาสามตัวที่อยู่ด้านหลัง 

 

 

หากไม่ใช่เพราะร่างกายที่ล่องหนแล้วความเร็วจะลดลงเป็นอย่างมาก ในเวลาสั้นๆ ไม่อาจหนีออกจากขอบเขตจิตสัมผัสของอสูรสามตัวด้านหลังได้ หานลี่ก็อาจจะใช้ยันต์วิเศษแผ่นนี้แล้วสลัดทิ้งไปตั้งนานแล้ว 

 

 

เขาในตอนนี้ซ่อนตัวอยู่ในหมอกหนาไม่ขยับเขยื้อน ดวงตาทั้งสองหรี่ลงพลางมองไปยังทิศทางที่ตนเองมา พลางตั้งสติเพ่งมองไป 

 

 

นั่นก็ไม่แปลก! ในระยะห่างสิบกว่าลี้ สำหรับความเร็วของอสูรสามตัวด้านหลัง ย่อมมาถึงได้ในชั่วพริบตา 

 

 

หานลี่เพิ่งจะพ่นลมหายใจออกมาแค่สองครั้ง หมอกลำแสงสามสีสายหนึ่งก็เปล่งแสงสว่างวาบปรากฏขึ้นที่ขอบของทะเลสีเทา 

 

 

หมอกลำแสงหมุนวนลำแสงวิญญาณกลุ่มหนึ่งบินออกมา หมุนคว้างแล้วเผยกระจกสัมฤทธิ์สามเหลี่ยมออกมา 

 

 

และในยามนั้นหมอกลำแสงสามสีก็หม่นแสง เผยร่างของอู่ลี่และเพื่อนมารอสูรทั้งสามออกมา 

 

 

“เกิดอันใดขึ้น กลิ่นอายของคนผู้นี้หายไปแถวๆ นี้” มารอินทรีขนาดสองสามจั้งดวงตาเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ เผยสีหน้าตกตะลึงระคนสงสัยออกมา 

 

 

“คงไม่ได้หนีไปแล้วหรอกกระมัง?” ผึ้งเขียวยักษ์พ่นคำพูดของมนุษย์ออกมา 

 

 

“หนีไปแล้ว! นั่นเป็นไปไม่ได้ ต่อให้เป็นพวกนายท่านในเทือกเขา ก็ไม่อาจหนีออกไปหมื่นลี้ได้ในพริบตา” อู่ลี่มองไปรอบๆ จากนั้นสายตาก็ตกอยู่ที่ทะเลหมอกเบื้องหน้า พลางเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม 

 

 

“อ๋อ เช่นนั้นคนผู้นั้นก็น่าจะสำแดงอิทธิฤทธิ์อำพรางกายที่สูงส่งอะไรสักอย่าง หรืออาจจะมีสมบัติเก็บกลิ่นอาย” มารอินทรีดูเหมือนจะมีสติปัญหาไม่ต่ำต้อย แววตาเปล่งประกาย แล้วเอ่ยอย่างแช่มช้า 

 

 

“คงเป็นเช่นนั้นแปดเก้าส่วน ดูแล้วคนผู้นี้คงรู้ว่าไม่อาจหนีจากการไล่ล่าของพวกเราได้ ดังนั้นจึงหยุดหนีเตรียมจะให้พวกเราล้มเลิกไปเสียเลย” อู่ลี่มองทะเลหมอกสีเทาเขม็ง ใบหน้าเผยรอยยิ้มเ**้ยมเกรียมออกมา 

 

 

“หึๆ คนผู้นี้พลังยุทธ์ข้าไม่ได้ ทำอย่างนี้ไม่เป็นการหาที่ตายหรือ” ผึ้งเขียวได้ยินคำพูดของอู่ลี่และมารอินทรี ก็เปล่งเสียงหัวเราะออกมาระลอกหนึ่ง 

 

 

“หึ อย่าประมาทไป คนผู้นี้กล่าวทำเช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมมีที่พึ่งพิง ข้าไม่เคยบอกพวกเจ้า ที่นายน้อยเพลี่ยงพล้ำไปเมื่อสองสามวันก่อน น่าจะเพลี่ยงพล้ำด้วยน้ำมือของคนผู้นี้ มิเช่นนั้นนายท่านไม่โกรธเกรี้ยวถึงเพียงนี้ ในเวลาสำคัญเช่นนี้ถึงยังส่งคนออกมา” ใบหน้าของออู่ลี่มีสีหน้าโหดเ**้ยมฉายแววสว่างวาบ แล้วแค่นเสียงหึขณะเอ่ย 

 

 

“อะไรนะ นายน้อยถูกคนผู้นี้สังหาร มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ” ผึ้งเขียวร้องอุทานด้วยเสียงแหบแห้ง 

 

 

“แม้ว่านายน้อยจะมีพลังยุทธ์ไม่ต่างอะไรกับพวกเรา แต่ในตัวจะต้องมีสมบัติวิเศษที่นายท่านมอบให้สองสามชิ้นแน่นอน ไม่มีทางถูกคนผู้นั้นสังหารง่ายๆ เช่นนั้นละก็ คนผู้นี้คงจัดการยากจริงๆ ต้องระวังหน่อยแล้ว” มารอินทรีเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นเคร่งขรึมขึ้นหลายส่วน 

 

 

“ต่อให้อันตรายจริงๆ พวกเราก็ต้องเสี่ยง หากไม่อาจสังหารหรือจับเป็นคนผู้นั้นได้ กลับไปเผชิญกับความโกรธของนายท่านจะมีจุดจบเช่นนี้ พวกเจ้าน่าจะรู้ดี” น้ำเสียงของอู่ลี่เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม และยิ่งไปกว่านั้นยังตะปบมือทั้งสองข้างไปบนหัว 

 

 

เขาวัวสีดำสนิทสองข้างถูกดึงลงมา 

 

 

จากนั้นพลันสะบัดมือทั้งสอง เขายักษ์คู่นั้นกลายเป็นค้อนเหล็กสีดำสองเล่มเปล่งแสงสว่างวาบ ประกอบกับเอวหนาๆ ของเขา บวกกับเกราะเหล็กสีดำพลันทำให้ดูน่าเกรงขาม จิตสังหารลอยตลบอบอวล 

 

 

อินทรีสีดำและผึ้งยักษ์สีเขียวได้ฟังคำพูดก่อนหน้าของสหายร่วมวิถี ก็เผยแววตาหวาดกลัวออกมา 

 

 

แต่ทันใดนั้นปากของอินทรีดำก็เปล่งเสียงร้องแหลมๆ ออกมา กระพือปีกทั้งสองข้าง ลำแสงสีเหลืองนับหมื่นสายเปลี่ยนรูปท่ามกลางหมอกลำแสง ชั่วพริบตาก็กลายเป็นชายสวมชุดคลุมสีเหลืองร่างกายสูงยาวคนหนึ่ง 

 

 

มือข้างหนึ่งถือหอกกระดูกสีขาว มืออีกข้างหนึ่งถือโล่กลมสีทองเรืองรองเอาไว้ 

 

 

ผิวของหอกกระดูกมีเปลวเพลิงสีดำหมุนวนอยู่ และมีเสียงกรีดร้องดังแว่วออกมา ผิวของโล่ทรงกลมสลักลวดลายมารยักษ์สามหัวหกแขนเอาไว้ ตรงขอบมีลำแสงเย็นเยียบเปล่งแสงสว่างวาบ ดูเหมือนว่าจะแหลมคมมาก 

 

 

ส่วนผึ้งยักษ์สีเขียวก็เปล่งเสียงร้องต่ำๆ ออกมา ในเวลาเดียวกันปีกที่โปร่งใสที่แผ่นหลังก็รางเลือนไปและสั่นเทา 

 

 

เหตุการณ์ที่น่าเหลือเชื่อพลันปรากฏขึ้นในครู่ต่อมา 

 

 

ลำแสงสีเขียวบนร่างของผึ้งยักษ์พลันหมุนวน ชั่วขณะนั้นลำแสงที่หนาแน่นพลันทะลักออกมาจากปีกทั้งสองข้าง ชั่วครู่ก็แผ่ขยายออกไปสิบกว่าจั้ง 

 

 

เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้อู่ลี่และมารอินทรีก็มีสีหน้าหวาดผวา รีบร้อนถอยหลังออกไปทั้งซ้ายและขวาหลายก้าว ดูเหมือนจะหวาดกลัวลำแสงเหล่านี้  

 

 

ผลคือลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบ ลำแสงเหล่านี้พลันเปลี่ยนรูป ทยอยกันขยายขนาดจนมีขนาดเท่าไข่ไก่ ร่างกายเป็นผึ้งยักษ์สีเขียว 

 

 

นอกจากขนาดที่เล็กลงเป็นอย่างมากแล้ว รูปลักษณ์ภายนอกล้วนไม่ต่างอะไรกับหงส์ยักษ์สีเขียว 

 

 

“ชิงเจิน เคล็ดวิชาแยกร่างพันผึ้งของเจ้า ดูเหมือนจะร้ายกาจกว่าก่อนหน้า ครั้งที่แล้วเห็นเจ้าสำแดงเคล็ดวิชานี้ ยังไม่อาจสร้างผึ้งหลายตาจำนวนมากขนาดนี้” ชายชุดสีเหลืองจ้องเขม็งไปยังผึ้งสีเขียวเหล่านั้น แล้วเอ่ยอย่างแช่มช้า 

 

 

“หึๆ นั่นเป็นเพราะว่าก่อนหน้านี้ไม่นานเพิ่งจะฝึกฝนเคล็ดวิชานี้มาอยู่ในระดับสูงขึ้นอีกขั้นหนึ่ง ร่างแยกเหล่านี้ไม่เพียงมีจำนวนเพิ่มขึ้นกว่าครึ่ง แม้แต่พลังการโจมตีของมันก็ไม่อาจเทียบกับก่อนหน้าได้” ผึ้งยักษ์สีเขียวกลับเอ่ยอย่างพึงพอใจ 

 

 

“เยี่ยม เยี่ยมมาก เช่นนั้น พวกเราก็มั่นใจขึ้นแล้ว ชิงเจินเจ้าให้ร่างแยกเหล่านี้เปิดทางอยู่ข้างหน้า พวกเราจะตรวจสอบในทะเลหมอกผืนนี้ คนผู้นั้นน่าจะซ่อนตัวอยู่ในนี้” อู่ลี่ตบมือที่ถือค้อนทั้งสองไปด้านหน้า แล้วหัวเราะฮ่าๆ พลางออกคำสั่งขณะเอ่ย