บทที่ 88 การพัฒนาของเราสามคน

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 88
การพัฒนาของเราสามคน
ดวงตาของหยางเฟิงจะค่อยๆสั่นหลังจากที่ผ่านไปนาน เขาลืมตาแต่ยังมีความสับสนในดวงตา
พ่อของหยางเฟิงรีบเข้ามาในทันที “เสี่ยวเฟิง ฟื้นแล้วเหรอ? รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”

มู่หรงเสวี่ยและไป๋ซือฮ่าวที่รออยู่อีกด้านก็รีบเดินเข้ามาด้วยเหมือนกัน พวกเธอไม่ได้ออกห่างไปไหนแต่เฝ้ามองอยู่ตลอด
หยางเฟิงมองทุกคน สายตาของเขาเริ่มชัดเจนและถามออกมาว่า “ทำไมทุกคนมาอยู่ที่นี่? ฉันเป็นอะไรงั้นเหรอ?” ช่วงเวลาที่เขาถูกกุมขังดูคลุมเครือมากจนเขาจำไม่ได้ว่าตัวเองทำอะไรไปบ้างงั้นเหรอ?!

พ่อของหยางเฟิงพูดพร้อมน้ำตาที่เอ่อล้น “ฟื้นแล้ว…ลูกฟื้นแล้ว…”
“นายจำไม่ได้เลยเหรอว่าเกิดอะไรขึ้น?” ไป๋ซือฮ่าวถาม
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” สีหน้าของหยางเฟิงว่างเปล่า
มู่หรงเสวี่ยแตะไป๋ซือฮ่าวที่ไหล่ “อย่าไปถามเขาเลย ปล่อยให้หยางเฟิงได้พักก่อนเถอะ…”

“หนูมู่หรง ขอบคุณมากเลยนะ เสี่ยวเฟิง เดี๋ยวพ่อจะพากลับไปพักที่บ้านนะ ฉันจะแวะมาขอบคุณหนูวันหลังอีกทีนะ” พ่อของหยางเฟิงพูดอย่างขอบคุณกับมู่หรงเสวี่ย

มู่หรงเสวี่ยส่ายหัว “ด้วยความยินดีค่ะคุณลุงหยาง รอเดี๋ยวนะคะ หนูจะไปเอายามาให้แล้วหนูก็ต้มโจ๊กไว้ให้หยางเฟิงกินด้วย…” แล้วเธอก็วิ่งกลับเข้าไปในห้องและเข้าไปในมิติลับเพื่อเอาโสม 300 ปีออกมา เหตุผลที่เธอไม่หยิบโสมที่อายุมากกว่านี้ออกมาเพราะกลัวว่าจะดูน่าสงสัยเกินไป ครั้งที่แล้วที่เธอเอาโสมหมื่นปีให้คุณปู่โม่ ซึ่งน่าจะเลือกอันอื่นไปแทน เพราะพอเอาชิ้นที่ดีที่สุดไปก็ทำให้เกิดปัญหาแบบที่ผ่านมา…อย่างน้อยก็ไม่น่าที่จะเอามาเปิดโชว์แบบนั้น…เธอน่าจะเอาอันที่อายุแค่ไม่กี่พันปีที่ยังหาซื้อได้ตามท้องตลาดไปแทน

“คุณลุงหยาง เอานี่กลับไปตุ๋นแล้วให้หยางเฟิงทานนะคะ” มู่หรงเสวี่ยส่งกล่องที่บรรจุโสมยื่นให้พ่อของหยางเฟิง
พ่อของหยางเฟิงรับมาแต่ไม่ได้เปิดออกดู เขาคิดว่าคงเป็นแค่ยาทั่วๆไป เขากล่าวขอบคุณอีกครั้ง แล้วพาคุณนายหยางและหยางเฟิงกลับไปที่บ้านตระกูลหยาง

ไป๋ซือฮ่าวเองก็ลุกขึ้นเพื่อกล่าวลาเช่นกัน สุดท้ายหยางเฟิงก็หายดีซึ่งทำให้เขาหายใจได้อย่างโล่งอกซะที
มู่หรงเสวี่ยที่กำลังเตรียมที่จะพักสักหน่อยแต่ก็ต้องตกใจเพราะเย่เฟิงที่อยู่ดีๆก็เดินเข้ามาเงียบๆ เธอเอามือทาบอกและพูดว่า “นายจะทำอะไรเนี่ย?”

เย่เฟิงพูดเรียบๆว่า “คุณชายขอให้คุณโทรหาด้วยครับ…”
มู่หรงเสวี่ย หลังจากที่จ้องหน้ากันอยู่เป็น 10 นาที เธอก็หยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อกดโทร เพียงเสี่ยววินาทีก็มีคนรับสาย
“…”
“…”
“ทำไมถึงไม่พูดล่ะ?” ชั่วครู่ต่อมามู่หรงเสวี่ยก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกมาก่อน
“เธอไม่มีอะไรจะบอกฉันเลยเหรอ?” ที่ปลายสาย สีหน้าของกวนโม่กลายเป็นดำเข้ม
ด้วยความงงที่ได้ยินน้ำเสียงที่เย็นชาขนาดนี้!!! เธอไม่ได้ทำอะไรผิด ใช่ไหม?

“อ่า?! กินข้าวหรือยังคะ?”
“วันนี้เธอไปไหนมา?” เสียงเครื่องปรับอากาศดังไปทั่ว
“ฉันไม่ได้ไปไหนเลยนะคะ อยู่แต่ที่บ้าน…” หลังจากที่ช่วยหยางเฟิงแล้ว เธอก็อยู่ที่บ้านตลอดเวลา นี่อย่าบอกนะว่าคุณชายเริ่มจะบ้าคลั่งขึ้นมาอีกแล้วเนี่ย?
ยังกล้าที่จะปิดบังอีกเหรอ

“วันนี้ไม่ได้ออกไปช่วยใครมาเหรอ? เธอบอกว่าไม่ได้ไปไหนเลย…ทำไมถึงไม่บอกฉันล่ะ? ฉันไม่คู่ควรที่เธอจะเชื่อใจงั้นเหรอ?” ชางกวนโม่รู้สึกและเศร้านิดหน่อย

“มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิดนะคะ มันก็แค่เรื่องเล็กน้อยเอง ฉันไม่คิดว่ามันจำเป็นจะต้องพูด ก็เลยไม่ได้บอก อีกอย่างเย่เฟิงก็รายงานคุณแล้วไม่ใช่เหรอคะ? คุณจะโกรธเรื่องอะไร?”

“เรื่องเล็กงั้นเหรอ?!!! เธอเคยคิดบ้างไหมว่าฉันจะเป็นห่วงเธอแค่ไหนเมื่อเธอต้องออกไปทำเรื่องอันตรายขนาดนั้นน่ะ?” ชางกวนโม่ถาม

มู่หรงเสวี่ยนิ่งอึ้ง เธอไม่ได้คิดเลยจริงๆ “พี่โม่ ฉันไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องอันตราย ฉันมั่นใจกับเรื่องนี้แล้ว อีกอย่างเย่เฟิงก็อยู่ด้วยไม่ใช่เหรอคะ?! และคุณน่าจะเชื่อฉัน ฉันไม่ได้อ่อนแออย่างที่เห็นนะคะ…” มู่หรงเสวี่ยค่อยอธิบาย

ชางกวนโม่ฟังเงียบๆอยู่นาน “แต่ฉันอยากที่จะปกป้องเธอให้อยู่ใต้ปีกของฉัน เพื่อที่เธอจะได้ไม่เป็นอะไร…” เขาคิดแบบนั้นจริงๆ วันนี้ตอนที่เขาได้ฟังรายงานของเย่เฟิง ถึงแม้เขาจะบอกว่าไม่มีอะไรผิดพลาดแต่ขั้นตอนก็ยังอันตราย เขาอยากที่จะวิ่งไปหาเธอทันทีเลย

“พี่โม่ ฉันไม่ใช่กระต่ายในกรงนะคะ ฉันไม่อยากที่จะอยู่ใต้ปีกของคุณตลอดเวลา มันไม่ใช่ฉัน คุณควรจะเชื่อฉัน ใช่ไหม?” มู่หรงเสวี่ยมีชีวิตและความต้องการของตัวเอง
เธอจะไม่มีวันอยู่เพื่อผู้ชายอีกแล้ว ไม่ใช่ว่าเธอไม่เชื่อในตัวชางกวนโม่แต่เธออยากที่จะใช้ชีวิตของตัวเอง เธอรู้สึกว่าตัวเองทำได้ ไม่ว่าจะเรื่องอะไร

ไม่คิดว่าจะได้ฟังน้ำเสียงที่มั่นใจของมู่หรงเสวี่ย ชางกวนโม่นิ่งอึ้ง เขาจำสีหน้าที่บอบบางแต่มุ่งมั่นของเธอตอนที่กรีดข้อมือตัวเองได้ ผู้หญิงแบบนี้ไม่ใช่ผุ้หญิงที่ชอบอยู่ใต้ปีกใคร หลังจากที่คิดอยู่นาน เขาก็พูดออกมา

“ฉันจะพยายามเชื่อในสิ่งที่เธอพูดว่าเธอสามารถปกป้องตัวเองได้ แต่ถ้ามีปัญหาอะไร อย่าลืมนะว่ายังมีฉันคอยสนับสนุนเธออยู่…”
“ได้เลยค่ะ!” มู่หรงเสวี่ยหัวเราะ
“…”
ที่อีกฝั่ง ภายในห้องประชุมที่ชั้นใต้ดินที่ไหนสักแห่งในประเทศ B
“อะไรนะ?!! ข่าวเป็นเรื่องจริงเหรอ?”
“ใช่ ข้อความที่ส่งมาจากเมือง A รายงานมาแบบนั้น”
“เป็นไปได้ยังไง?! ไม่เคยมีใครแก้ได้…”
“ฉันเองก็แปลกใจเมื่อได้ยินเรื่องนี้”
“ไปหามาว่าใครเป็นคนแก้?”
“ได้ข่าวว่าเป็นเด็กสาวอายุ 15”
“เป็นไปได้ยังไง?! บ้าเอ๊ย เธอมีสูตรลับโบราณงั้นเหรอ? หนังสือของเรามีแค่ส่วนเดียวแล้วเราก็ไม่มียาถอนพิษด้วยซ้ำ ถ้าเราได้มาครบนะ…”
“ไม่ต้องห่วง เราสั่งคนในเมือง A ไปแล้ว อีกไม่นานหรอก…”
“…”
ในตอนนี้ มู่หรงเสวี่ยไม่รู้เลยว่าอันตรายได้เข้ามาใกล้ตัวเธอแล้ว แผนกเภสัชกรรมของบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปเริ่มทำการประชาสัมพันธ์ออกไปแล้ว สิ่งแรกเลยบริษัทได้เปิดตัวยาทดลองในเมือง A, กระจายยาไปตามร้านแฟนไชด์ต่างๆในเมือง A และลงทุนจำนวนมากไปกับการโฆษณากับสื่อใหญ่ๆ แล้วยังนำเสนอรายงานการตรวจสอบในการบริหารยาอีกด้วย

ในระหว่างการโปรโมทนี้ บริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปได้เข้าไปอยู่ในสายตาของใครหลายๆคนเป็นครั้งแรก ทำให้เกิดการพูดคุยเป็นวงกว้างในเมือง มีทั้งคนที่คอยดู คอยหัวเราะเยาะแต่ก็ยังมีคนกลุ่มแรกที่พร้อมที่จะเชื่อด้วยเหมือนกัน
ตอนนี้บริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปเริ่มที่จะเข้ามาดำเนินการในอุตสาหกรรมยาอย่างจริงจังและถึงขนาดเชิญหมอผู้เชี่ยวชาญมากมายให้เข้ามาจัดบริการฟรีคลินิกอีกด้วย ในช่วงนี้ ยาทั้งหมดที่เกี่ยวกับโรคที่ไม่ร้ายแรงจะถูกแจกจ่ายให้ฟรีซึ่งกินเวลายาวนานเป็นอาทิตย์ ความเอื้อเฟื้อนี่ทำให้ผู้ประกอบการรายใหญ่ต่างก็แอบเข้ามาประเมินมูลค่าความเป็นไปได้ของบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปอย่างลับๆและพยายามที่จะเข้ามาสานสัมพันธ์ ตัวอย่างเช่น ถ้ามีใครยกมือก็จะต้องดูว่ามีคนอื่นเห็นด้วยหรือไม่เพราะมีบริษัทมากมายเริ่มที่จะร่วมมือกันแล้ว

เนื่องจากการประชาสัมพันธ์ของอุตสาหกรรมยาของบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ป ทำให้คนมากมายในร้านเป่าหยูและอุตสาหกรรมหยกเองก็ได้รับการพัฒนาไปด้วย นอกจากนี้ยังมีร้านหยกมากมายในเป่าหยูซึ่งพูดคุยกันอย่างคึกคัก

คนที่ออกหน้ายังเป็นกู่หมิง ในฐานะประธานของบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ป มู่หรงเสวี่ยไม่อยากที่จะเปิดตัวในฐานะบุคคลที่สามตอนนี้ ไม่งั้นเธอคงจะสร้างเสียงฮือฮาในฐานะลูกสาวของตระกูลมู่หรงได้อีกมากแน่ ซึ่งเดาว่าคงจะกระทบกับชื่อเสียงของบริษัทต่างๆของตระกูลมู่หรงด้วย
อีกอย่าง ตอนนี้เธอก็เป็นแค่เด็กนักเรียนมัธยม จึงไม่อยากที่จะกลายเป็นจุดสนใจมากนัก

โม่อ้ายหลี่เองก็ยุ่งมากเหมือนกันกับเรื่องบริษัทเครื่องสำอางอ้ายเสวี่ย แน่นอนมู่หรงเสวี่ยเองก็ไม่ได้อยู่เฉย เธอยังคิดเรื่องที่ผู้จัดการของห้างลิซซี่ที่ยังไม่โทรมา ไม่ใช่ว่าเขาปฏิเสธที่จะร่วมงานกับเธอ เธอเพียงแค่อยากที่จะโทรหาหลี่เซียงเจี๋ยอีกครั้ง แต่เธอก็กลับได้รับสายที่ไม่คาดคิดแทน

“ฮัลโหล พี่ชูเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยประหลาดใจจริงๆ
“เสี่ยวเสวี่ย นี่เธอยุ่งมากหรือไง เธอตกลงว่าจะไปกินอาหารกับฉันที่เมืองหลวง แล้วทำไมถึงหนีกลับมาเมือง A โดยไม่บอกอะไรกันสักคำแล้วยังไม่รับสายกันอีก…” เสียงบ่นของชูอี้เสิ่นดังจากปลายสายมาอย่างต่อเนื่อง

ทันใดนั้นมู่หรงเสวี่ยก็นึกได้ว่านัดกับพี่ชูไว้ที่งานการประชุมหินการพนัน หลังจากเรื่องมากมายที่เกิดขึ้น เธอก็ลืมไปซะสนิทเลย “เรื่องนั้น พี่ชู ฉัน…คือ…ฉันลืมเรื่องนี้ไปซะสนิทเลย”
ชูอี้เสิ่นถอนหายใจ ลืมกันได้ง่ายขนาดนี้เลยนะ “เธอจะชดเชยให้ฉันยังไงดี?” ต้องทวงซะหน่อย ไม่งั้นเดาว่าครั้งหน้าเด็กสาวนี่ก็คงจะลืมเขาอีกแน่

“ฮ่ะ?!! ทำไมขี้งกจัง? ฉันล้อเล่นนะคะ”
“ฉันพูดจริงๆนะ!”
“งั้น ครั้งหน้าที่ฉันไปเมืองหลวงฉันจะชวนพี่มาทานอาหารค่ำดีไหม?”
“คิดว่าฉันเห็นแก่กินหรือไง?”
“อ่า? แต่พี่พูดถึงเรื่องกิน…”
ถ้าอยากจะเอาเรื่องกินมาปิดปากเขา ฝันไปเถอะ “นั่นมันก่อนหน้านี้ นี่มันตอนนี้แล้ว…”
ถ้าไม่ใช่เรื่องนี้ งั้นหมายถึงชางกวนโม่งั้นเหรอ? “พี่อยากจะเจอชางกวนโม่งั้นเหรอ? มีธุระอะไรกับเขาหรือเปล่า? ถ้าเป็นแบบนั้นฉันโทรไปนัดให้แล้วให้พี่สองคนไปเจอกันดีไหม?”
ใครอยากจะเจอไอ้หมอนั้นกัน? หล่อมากหรือไง?!! เมื่อนึกถึงหน้าหล่อแต่โหดของอีกฝ่าย หัวใจเขาก็รู้สึกเบื่อแล้ว แค่เห็นหน้าก็กินข้าวไม่ลงแล้ว แต่!
“ฉันจะอยากเจอเขาไปทำไม? ฉันไม่ได้สนิทกับเขาและก็ไม่ได้ทำธุรกิจกับเขาด้วย”
การที่เอาแฟนหนุ่มมาล่อถูกปฏิเสธ น่าผิดหวังจริงๆ! “งั้นที่งานการประชุมหินการพนันครั้งที่แล้วฉันเปิดได้มรกตน้ำดี เอาเป็นว่าฉันยกให้พี่เป็นไง?”

“เป็นของขวัญเหรอ?” หัวใจเขารู้สึกสนุกขึ้นมาเล็กน้อย
“แน่นอนอยู่แล้ว!” นั่นแปลว่าตกลง
“ในเมื่อเธออยากที่จะให้ของขวัญเพื่อปลอบใจฉัน งั้นฉันก็ช่วยไม่ได้ที่จะต้องรับไว้แต่เธอต้องชดเชยให้ฉันเมื่อมาเมืองหลวงด้วย” ชูอี้เสิ่นเผยรอยยิ้มอย่างภูมิใจ

สีหน้าของมู่หรงเสวี่ยเหมือนโดนบังคับ ก็ได้ของขวัญไปแล้วนี่? จะต้องชดเชยอะไรอีก?”
“ฉันเพิ่งพูดไปเมื่อกี้ เธอบอกเองว่าจะให้ของขวัญ ของขวัญก็คือของขวัญ ของปลอบใจก็คือของปลอบใจ จะยกเลิกของขวัญหรือไง?” ชูอี้เสิ่นพูดอย่างเจ้าเล่ห์
“จะเป็นไปได้ยังไง?! เป็นเกียรติของฉันมากที่ได้มอบของขวัญให้พี่ชู เดี๋ยวพอฉันไปเมืองหลวงจะเชิญพี่ออกมาทานอาหารค่ำนะคะ”
“ต้องอย่างนี้สิ อีกอย่างนะ ที่ฉันโทรมาเพราะมีอีกเรื่องหนึ่ง”
“มีอะไรเหรอคะ?”
“ก่อนหน้านี้เธอเสนอที่จะร่วมงานกับลิซซี่ใช่ไหม? โครงการนี้ถูกส่งมาให้ฉัน ฉันตกลงกับข้อเสนอไปแล้วนะ อย่างไรก็ตามยังมีเอกสารอื่นอีกที่ต้องเซ็นต์ นอกจากห้างลิซซี่พาวิลเลี่ยนแล้ว มันจะถูกใช้ในร้านเสริมสวยระดับกลางด้วย เธอคิดว่าไง?”
“ห้างลิซซี่เป็นของพี่เหรอ?!!” เป็นไปได้ยังไง? ห้างลิซซี่เปิดมาเป็นร้อยปีแล้วนะ