บทที่ 437 เสด็จอาเก้ากับเฟิ่งชิงเฉินพากันออกนอกเมือง

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

ยามที่การแข่งขันใกล้เข้ามาเช่นนี้ ผู้ที่มีความคิด จะมิมารบกวนเฟิ่งชิงเฉินในช่วงเวลานี้อย่างแน่นอน ทว่า มีอีกคนหนึ่งที่เป็นกรณีพิเศษ

หาใช่ว่าเป็นคนที่ไม่มีความคิดไม่ แต่เป็นเพราะว่า เข้าใจเฟิ่งชิงเฉินมากจนเกินไปต่างหาก เนื่องจากว่า หากมารบกวนเฟิ่งชิงเฉินในเวลานี้ มิได้เป็นการรบกวนนางแต่อย่างใด นั่นเป็นเพราะว่าเฟิ่งชิงเฉินมิได้มีการวางแผนเตรียมตัวการแข่งขันของนางตั้งแต่แรกแล้ว

เมื่อถึงช่วงเวลาโพล้เพล้ เสด็จอาเก้าพลันมาปรากฏตัวที่เรือนหลังเล็กในตรอกทิศตะวันตกในทันที ผ่านไปไม่นาน เสด็จอาเก้าและเฟิ่งชิงเฉินก็ได้ขึ้นรถม้าคันเดียวกัน พร้อมกับมีองครักษ์คอยตามคุ้มกันออกไปส่งนอกเมือง

เมื่อรถม้าไปที่ใดนั้น ต่างก็เป็นจุดสนใจของผู้คน แต่ทว่า หาได้มีผู้ใดกล้าเข้าไปขวางทางเสด็จอาเก้าไม่ เพียงแต่ทำทีชะเง้อมองพร้อมกับหูตั้งเพื่อฟังความเคลื่อนไหวแทน

“เจ้าเคยเห็นหรือไม่ นั่นคือรถม้าของเสด็จอาเก้า ข้าเพิ่งได้ยินท่านป้าของข้าเล่าว่า เสด็จอาเก้าเสด็จมาที่นี่ เพื่อมารับเฟิ่งชิงเฉินด้วยตนเอง พร้อมกับออกนอกเมืองไปกันสองคน” มีบางคนพยายามจะปล่อยข้อมูลที่ตนเองได้ยินออกมา

“เจ้าพูดว่า ผู้ที่อยู่ในรถม้าคือเสด็จอาเก้ากับเฟิ่งชิงเฉิน? เช่นนั้นข้อกล่าวหาของขุนนางเป็นเรื่องจริงงั้นหรือ ที่เสด็จอาเก้ากระทำการข่มขืนฮูหยินในอนาคตของตนเอง” บุรุษที่คล้ายจะเป็นบัณฑิตแก่เรียนผู้นี้ ปากสว่างยิ่งนัก เขาเอาแต่พูดคุยไม่หยุด

“ป้าบ” เพื่อนของเขาพลันใช้พัดตีไปที่เขาอย่างเต็มแรง “เจ้าพูดเรื่องไร้สาระอันใดกัน สตรีงามที่แสนดี ย่อมต้องเป็นที่หมายปองของบุรุษมากมาย เฟิ่งชิงเฉินเองเป็นสตรีที่ยังมิได้ออกเรือน ถึงแม้ว่านางจะเคยถูกถอนหมั้นก็เถอะ ” เมื่อชายคนนั้นพูดออกมาจนจบ ก็พลันชะงักไปครู่หนึ่ง พร้อมกับดึงตัวบัณฑิตผู้นั้นไปอีกทางหนึ่งในทันที “ยวี่เมิ๋ง เจ้ามิคิดจะมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่ แม้แต่คำพูดให้ร้ายเสด็จอาเก้าเช่นนี้ เจ้าก็กล้าพูดออกมา เจ้าไม่รู้หรือ ขุนนางที่กล่าวหาเสด็จอาเก้าเช่นนั้น ในยานี้เกิดอะไรขึ้นกับเขาบ้าง?”

เมื่อบัณฑิตผู้นั้นได้ฟัง สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นซีดเผือดไปในทันที “แล้วจะให้ทำเช่นไรเล่า ทำเช่นไรดี? ข้าจะเป็นเหมือนขุนนางผู้นั้นหรือไม่ ชื่อเสียงถูกกลบดิน ผู้ใดก็ไม่ให้ความเคารพเช่นนั้น ” ยวี่เมิ๋งใกล้จะร้องไห้ออกมาแล้ว

“มิต้องเป็นกังวลไปหรอก เสด็จอาเก้าสูงใหญ่เทียมฟ้าถึงเพียงนั้น พระองค์ย่อมไม่อาจมาสนใจมดตัวเล็ก ๆ อย่างพวกเราได้แน่ ต่อไปเวลาเจ้าจะพูดอะไร ก็ระมัดระวังคำพูดของตนเองเสียหน่อย ที่นี่คือเมืองหลวง” เพื่อนของยวี่เมิ๋งยังคงทุบตีเขาเพื่อตักเตือนอีกครั้งหนึ่ง

ยวี่เมิ๋งจึงได้แต่ตกอยู่ในอารมณ์หม่นหมอง เขาไม่อาจหาคำใด ไปโต้ตอบได้เลยแม้แต่น้อย

เหล่าราษฎรที่อยู่ระหว่างสองข้างทางถนน ต่างก็พากันพูดถึงเรื่องนี้ให้ควัก แม้แต่โรงน้ำชาหรือเหลาอาหารก็ไม่เว้น ทุกคนเอาแต่พูดถึงเรื่องที่เสด็จอาเก้าพาเฟิ่งชิงเฉินออกไปนอกเมืองไม่หยุดไม่หย่อน

เมื่อการแข่งขันใกล้เข้ามาเช่นนี้ แต่เสด็จอาเก้ากลับพาเฟิ่งชิงเฉินออกไปนอกเมือง ทำให้ผู้คนไม่อาจไม่คิดได้ ณ โรงน้ำชาใกล้กับประตูเมือง ซีหลิงเทียนเหล่ยนั่งมองรถม้าที่กำลังออกไปทางด้านนอกเมืองแต่โดยดี พร้อมกับหันไปพูดคุยกับเย่เย่ว่า “เจ้าคิดว่า เสด็จอาเก้าพาเฟิ่งชิงเฉินออกไปนอกเมืองด้วยเรื่องอะไร?”

ใช่แล้ว เจ้าเมืองเย่เฉิงเย่เย่ เมื่อเขาได้ยินถึงการแข่งขันของเฟิ่งชิงเฉินและซูหว่านนั้น ก็รับชักม้ามาที่ราชวังตงหลิงในทันที พร้อมกับมาพบซีหลิงเทียนเหล่ยด้วยความ “บังเอิญ” ที่มิใช่ความบังเอิญธรรมดา

“ก็เพื่อ เรื่องของการแข่งขัน?” เย่เย่ยกจอกสุราขึ้นดื่มอย่างสุนทรีย์ พร้อมกับหันหลังยืนพิงราวบันไดให้กับซีหลิงเทียนเหล่ย โดยไม่สนความวุ่นวายที่อยู่ด้านหลัง

แม้ว่าภายในโรงน้ำชาจะมีคนมาดื่มสุราอยู่ไม่มาก แต่ผู้ที่จะดื่มสุราอย่างเอาเป็นเอาตายเช่นเย่เย่นั้นมีไม่มาก จนทำให้เขากลายเป็นจุดสนใจไปในทันที

เย่เย่ที่แต่งกายด้วยอาภรณ์ตัวหนา พร้อมกับหยกสีขาวบริสุทธิ์ที่ห้อยเอวอยู่ มันกลับทำให้เขาดูสูงส่งและมีอำนาจขึ้นมาในทันที แม้ว่าเย่เย่จะดึงดูดความสนใจของผู้คนไม่น้อย แต่พวกเขาก็ได้แต่มองมาห่าง ๆ เท่านั้น

ซีหลิงเทียนเหล่ยมิใคร่พอใจนัก ท่ามกลางฝูงชนเช่นนี้ เขาไม่อยากจะเผยตัวตนของตนเองออกไป แต่เย่เย่กลับทำตัวอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเขา เมื่อซีหลิงเทียนเหล่ยเห็นว่าเย่เย่เป็นคนที่ซีหลิงเทียนเหล่ยต้องเอาใจเขา ซีหลิงเทียนเหล่ยจึงได้แต่ต้องเก็บความไม่พอใจนี้เอาไว้

“ข้าเดาว่าไม่ใช่” ซีหลิงเทียนเหล่ยพลันโบกมือให้เสี่ยวเอ้อร์เข้ามา เปลี่ยนจากน้ำชาเป็นสุรา

“โอ้ เช่นนั้นเพราะอะไรกัน?” เย่เย่ทำทีสนใจเรื่องราวขึ้นมาในทันที พร้อมกับหันหน้ากลับมาถาม อาจจะเป็นเพราะ เขาร่ำสุรามากไป แววตาจึงดูพร่ามัวไปเล็กน้อย

ซีหลิงเทียนเหล่ยพลันทำทีปล่อยเหยื่อเอาไว้ พร้อมกับแย้มยิ้มออกมาอย่างลึกลับ เพื่อรอให้เสี่ยวเอ้อร์นำสุราเข้ามาเสียก่อน พร้อมกับยกจอกสุราขึ้นมาดื่มลงไป”สุราดี”

“นับว่าเป็นสุราชั้นดี น่าเสียดายที่ไม่มีกับแกล้ม” เมื่อรู้ว่าซีหลิงเทียนเหล่ยจงใจทิ้งตนเองไว้นั้น เย่เย่ก็มิได้ถามต่อแต่อย่างใด

หากซีหลิงเทียนเหล่ยต้องการจะเอาใจเขา ก็ไม่ควรที่จะหยอกล้อเขามากไปนัก หาได้เป็นเพราะเรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกไม่พอใจไม่ จะให้เขาถามด้วยตัวเองงั้นหรือ? ฝันไปเสียเถอะ เจ้าคิดว่าเจ้าเมืองเย่เฉิงเป็นคนไร้ประโยชน์หรืออย่างไร

หากเขาเป็นคนที่ไร้ประโยชน์จริง ก็คงไม่อาจตามจับปู้จิงหยุนมาได้แล้ว

“หากมีโอกาสในครั้งหน้า เปิ่น ข้าจะต้องทำการต้อนรับท่านเจ้าเมืองเป็นอย่างดี” ซีหลิงเทียนเหล่ยทำทีเป็นพูดลองเชิง เย่เย่เองก็หาได้ได้พูดปฏิเสธออกไปไม่ หากมีโอกาส ข้าจะไปลิ้มลองอาหารที่ซีหลิงให้ได้””

บุรุษทั้งสอง พลางพูดคุยเรื่องสุรา อาหารมากมาย หาได้เอ่ยถึงเรื่องธุระของตนเองไม่ แต่ต่างคนต่างรู้ตัวดี ว่าฝ่ายตรงข้ามมีเจตนาอันใด

เมื่อได้ยินคำตอบเช่นนั้นจากเย่เย่ ซีหลิงเทียนเหล่ยจึงคายข้อมูลของตนเองออกมาแต่โดยดี “ทักษะการแพทย์ของเฟิ่งชิงเฉินไม่ธรรมดา การรักษาบาดแผลภายนอกของนาง นับว่าเป็นเลิศยิ่งกว่าปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยี การที่เสด็จอาเก้าเชิญนางออกไปจากนอกเมืองเช่นนี้ หาได้เกี่ยวข้องกับเรื่องของการแข่งขันในวันพรุ่งนี้ไม่”

“เฟิ่งชิงเฉินเป็นอัจฉริยะทางด้านการแพทย์เช่นนั้นเลยหรือ ถึงได้ทำให้เสด็จอาเก้าผู้สูงส่งมาเชื้อเชิญนางด้วยตนเองเช่นนี้ได้?” เย่เย่รู้ว่าเฟิ่งชิงเฉินมีทักษะทางการแพทย์ แต่ถ้าจะพูดว่านางเก่งกว่าปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยีนั้น เขาย่อมไม่เชื่อ

ซีหลิงเทียนเหล่ยเองก็มิได้ตั้งใจที่จะพูดออกมาอย่างละเอียด ทักษะการแพทย์ของเฟิ่งชิงเฉินเป็นเช่นไรเขาย่อมรู้ดี อีกทั้งเขายังเคยพบเจอประสบการณ์นั้นด้วยตนเองแล้ว ซีหลิงเทียนเหล่ยจึงได้แต่เตือนเย่เย่ด้วยความหวังดี “อย่าได้ประมาทนาง ทักษะการแพทย์ของนางนั้นแตกต่าง บางที วันหน้าวันหลังพวกเราอาจจะได้ใช้การแพทย์ของนางก็เป็นได้”

การมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอยู่ข้างตัว มักจะตกเป็นเป้าหมายของกองกำลังต่าง ๆ ได้ง่าย ยิ่งเชี่ยวชาญมากเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งมีความหวังว่าตนเองจะมิตายง่าย ๆ มากขึ้นเท่านั้น

“ก็แค่สตรีนางเดียว แต่พวกเจ้าคิดเอาจริงเอาจังกับนางไปได้ หากเฟิ่งชิงเฉินมีความสามารถจริง ๆ เจ้าก็แต่งนางเสียซิ ทำไม? แม้แต่ฐานะของเจ้าเอง ก็ไม่อาจแต่งเฟิ่งชิงเฉิน ที่เป็นเพียงสตรีที่มีชื่อเสียงเสื่อมเสียกลับไปได้งั้นหรือ ?” เย่เย่หาได้คิดจริงจังกับเฟิ่งชิงเฉินมากนัก ในความคิดของเขา สตรีที่มีความสามารถมากเพียงใด ตบแต่งออกไปอย่างไรก็ต้องฟังความแต่สามีของตนเท่านั้น

แต่งงั้นหรือ? เขาก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน ทว่า หากเรื่องทุกอย่าง มันง่ายดายถึงเพียงนั้นก็ดีมิใช่หรือ การที่จะสู่ขอเฟิ่งชิงเฉินกลับไป เรื่องหาได้ง่ายดายเช่นในความคิดไม่ แม้ว่าเขาจะมิได้เอาตำแหน่งพระชายาในองค์รัชทายาทมาให้นาง นั่นเพราะเฟิ่งชิงเฉินมิได้มีคุณสมบัติมากพอถึงเพียงนั่น

“หากมีเสด็จอาเก้าอยู่เช่นนี้ การจะสู่ขอนางหาใช่เรื่องง่ายดายไม่” ซีหลิงเทียนเหล่ยพยายามหาเหตุผลเพื่อมาแก้ต่างในข้อผิดพลาดของตนเอง หาได้เป็นเพราะเขาไม่อาจสู่ขอเฟิ่งชิงเฉินได้ไม่ แต่เป็นเพราะมีเสด็จอาเก้าคอยขัดขวางอยู่ต่างหาก

“การกระทำของเสด็จอาเก้าก็ช่างน่าสนใจเสียจริง มิใช่ว่า เขาไม่ต้องการให้ผู้อื่นได้ใช้ประโยชน์จากเฟิ่งชิงเฉินงั้นหรือ?” เย่เย่พูดออกมาด้วยความดูถูก ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ชอบเฟิ่งชิงเฉิน แต่ทว่า เขาก็ไม่อาจทนความเห็นแก่ตัวของเสด็จอาเก้าได้เช่นกัน

“อาจจะใช่ ก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน เสด็จอาเก้าเพิ่งจะพาเฟิ่งชิงเฉินไปดูอาการป่วยให้กับพี่รองของข้า” ซีหลิงเทียนเหล่ยพลันพูดออกมาราวกับว่าไม่ใส่ใจ

นับว่าเป็นข้อดีของโรงน้ำชา นอกจากจะมีแต่ความวุ่นวายแล้ว ผู้คนที่อยู่รอบด้านก็มีมากมายนัก แต่ทว่า พวกเขาที่ยืนพิงราวบันไดทั้งสองคนนั้น หน้าหลังซ้ายขวา หาได้มีผู้ใดยืนอยู่ไม่ ไม่ว่าพวกเขาจะพูดอันใด ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะมีผู้ใดมาฟังคำพูดของพวกเขา

ผู้ที่คอยแอบสอดส่องพวกเขาจากมุมมืดนั้น ย่อมต้องรู้สึกกังวลใจ หากมองเช่นนี้ ย่อมคิดว่าพวกเขาพูดคุยถึงเรื่องฟ้าดินธรรมดา หาได้รู้ไม่ว่า แท้จริงแล้ว พวกเขากำลังพูดเรื่องของทางการอยู่

“ฮ่าฮ่า”เย่เย่พลันหัวเราะออกมาเล็กน้อย “เสด็จอาเก้าใช้คนเป็นเสียจริง”

นับว่าเป็นข้อดีของการที่มีผู้ที่มีฝีมือทักษะการแพทย์อยู่ในมือ หากว่าเฟิ่งชิงเฉินสามารถรักษาซีหลิงเทียนอวี่ให้หายดีจริง ๆ ละก็ ซีหลิงเทียนอวี่ย่อมต้องตกเป็นหนี้ชีวิตของเสด็จอาเก้าแล้วครั้งหนึ่ง ต่อไปในภายภาคหน้า ซีหลิงเทียนอวี่ย่อมมิกล้าคิดทรยศหักหลังต่อเสด็จอาเก้าเป็นแน่

ถึงแม้ว่าพวกเขาทุกคนจะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน แต่ทว่า หากเป็นเรื่องการตอบแทนบุญคุณคนนั้น อย่างไรพวกเขาก็ไม่อาจทรยศต่อผู้ที่เคยช่วยเหลือตนเองไปได้

“เขาทำสิ่งใดมักมองการณ์ไกลเสมอ หาได้มีเวลามาสนใจกับขยะไร้ประโยชน์คนหนึ่งไม่” เขาในที่นี้คือผู้ใด ทั้งซีหลิงเทียนเหล่ยและเย่เย่ต่างก็เข้าใจได้เป็นอย่างดี มิได้หมายถึงแต่เสด็จอาเก้าเพียงผู้เดียว พวกเขาเองก็เป็นคนประเภทนี้เช่นกัน

การทำงานที่ดีพร้อมกับจิตใจที่แข็งแกร่ง ทำสิ่งใดมักจะมีเป้าหมายเสมอ อีกทั้งยังไม่ยอมปล่อยเวลาให้กับคนไร้ค่า

“ฝ่าบาทหมายความเช่นไรกัน? จะให้ข้าซื้อใจเฟิ่งชิงเฉินงั้นหรือ?” เย่เย่พลันเลิกคิ้วขึ้นมากล่าวถาม

“ไม่ ข้าแค่ต้องการให้ท่านเจ้าเมืองระวังเฟิ่งชิงเฉินเอาไว้ วันพรุ่ง นางต้องลงแข่งขันกับลูกพี่ลูกน้องของท่าน ถึงอย่างไรท่าเจ้าเมืองก็ต้องทำใจเอาไว้บ้าง มิเช่นนั้น ท่านจะต้องเสียใจกับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น” เย่เย่ชมชอบซูหว่าน เรื่องนี้ผูัใดก็รู้โดยทั่วกัน

ซีหลิงเทียนเหล่ยก็เคยมีเป้าหมายที่จะเข้าหาซูหว่านเช่นกัน หากสามารถใช้การตระกูลซูแห่งหนานหลิงได้ นับว่ามีแรงสนับสนุนอันใหญ่หลวงรออยู่ แต่ในเมื่อมีเย่เย่อยู่เช่นนี้ เขาจึงต้องจำใจปล่อยซูหว่านไป เขามิอาจซื้อใจตระกูลซู พร้อมกับผิดใจต่ออนาคตท่านเจ้าเมืองเย่เฉิงไปได้

“ความหวังดีของฝ่าบาท เย่เย่จะรับไว้ด้วยความเต็มใจ ข้ารู้ดีว่าฝีมือด้านกาพย์กลอนน้องสาวของข้าเป็นเช่นไร สตรีของตระกูลซูล้วนเป็นเลิศในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าเฟิ่งชิงเฉินจะมีเล่ห์กลอันใด ล้วนแต่ไร้ประโยชน์ทั้งสิ้น”

ทว่า เพื่อความปลอดภัยแล้ว เย่เย่จึงจำเป็นต้องขอตัวลาไปก่อน แต่ภายในใจยังอดที่จะหากำแพงมาป้องกันตนเองไม่ได้ว่า สตรีของเสด็จอาเก้า ถึงอย่างไรคงมิใช่สตรีธรรมดากระมัง ยามใกล้วันแข่งขันเช่นนี้ นางยังคงมีเวลามาสบายอารมณ์ ออกไปนอกเมืองไปช่วยคนกับเสด็จอาเก้าได้ หากจะกล่าวว่า เฟิ่งชิงเฉินมิได้มีการเตรียมตัวสิ่งใด เขาก็ไม่เชื่อ

ซีหลิงเทียนเหล่ยเองก็มิได้คิดหว่านล้อมเย่เย่แต่อย่างใด เพราะเขารู้ดีว่า เย่เย่ได้มีการฟังคำพูดของเขาแล้ว นั่นคือสิ่งที่เขาพอจะทำได้ทั้งหมดในยามนี้

โดยเฉพาะโรคขาของซีหลิงเทียนอวี่?

หากว่ากันตามจริงแล้ว ซีหลิงเทียนเหล่ยหาได้รู้สึกกังวลใจไม่ แม้แต่เทพเจ้าแห่งปรมาจารย์แห่งหุบเขาซวนยียังต้องยอมแพ้ เฟิ่งชิงเฉินจะสามารถรักษามันได้อย่างไร?

เฮอะ ขาของซีหลิงเทียนอวี่ หาได้เหมืิอนดวงตาของหวังจิ่นหลิงไม่ ถึงแม้ว่าดวงตาของหวังจ่ินหลิงจะมองไม่เห็น แต่ขาทั้งสองข้างของเขายังคงใช้การได้ แต่ทว่า ซีหลิงเทียนอวี่เล่า หากขาของเขาไม่มีเหลือแล้ว เขาไม่เชื่อว่าเฟิ่งชิงเฉินจะสามารถทำให้ขาของซีหลิงเทียนอวี่งอกขึ้มาใหม่ได้

ซีหลิงเทียนเหล่ยพลันสะบัดแขนเสื้อ พร้อมเดินออกจากโรงน้ำชาไปในทันที ผู้ที่ลอบติดตามอยู่ด้านหลังของเขา ซีหลิงเทียนเหล่ยแสร้งทำเป็นไม่เห็น พร้อมกับเดินปะปนไปกับฝูงชน เพื่อฟังข่าวคราวจากพ่อต้าแม่ค้าที่กำลังพูดเรื่องเสด็จอาเก้าพาสาวงามออกจากเมืองไปในทันที ซีหลิงเทียนเหล่ยเพียงยกยิ้มมุมปากขึ้นมาอย่างเย็นชา ยามที่ผู้ที่ลอบติดตามมิมันได้สังเกตเห็นนั้น ซีหลิงเทียนเหล่ยก็หายตัวไปเสียแล้ว

ภายในรถม้า เฟิ่งชิงเฉินกำลังถลึงตามองเสด็จอาเก้าอยู่

เฟิ่งชิงเฉินใกล้จะเป็นบ้าเข้าไปทุกทีแล้ว!

ยิ่งใกล้วันแข่งขันเข้ามามากเท่าใด การกระทำของนางย่อมต้องเป็นที่จับจ้องมากเท่านั้น เมื่อถูกคนนำเอาไปร่ำลือกันเช่นนั้น เสด็จอาเก้ายังนำพาความยากลำบากให้นางไม่มากพออีกหรือ? ถึงได้คิดออกข่าว พานางออกนอกเมืองเสียเป็นเรื่องราวใหญ่โตเช่นนี้

ถึงแม้ว่านางจะมิได้เห็นด้วยตาของตนเอง แต่เฟิ่งชิงเฉินมั่นใจได้ว่า ในเมืองหลวงคงเต็มไปด้วยข่าวลือของนางมากมายเป็นแน่ คนพวกนั้น ย่อมต้องเข้าใจว่า เสด็จอาเก้ามารับนางออกไปนอกเมืองด้วยกันเช่นนี้ ย่อมต้องเป็นเพราะเรื่องของการแข่งขันในวันรุ่งขึ้นอย่างแน่นอน แต่ทว่า เรื่องเป็นเช่นไร มีเพียงเฟิ่งชิงเฉินรู้เพียงผู้เดียวเท่านั้น

ที่เสด็จอาเก้ามารับนางออกจากเมืองเช่นนี้ เป็นเพราะต้องการให้นางไปดูแผลของซีหลิงเทียนอวี่ พลันเล่าว่า ยามที่ซีหลิงเทียนอวี่ตื่นขึ้นมานั้น เขาเอาแต่ร้องโอดครวญ พร้อมกับมีเลือดไหลซึมออกมาจากบาดแผล

ในเมื่อคนไข้เป็นถึงท่านอ่อง แม้ว่าเสด็จอาเก้าจะประพฤติตัวสูงส่งเพียงใด น้ำเสียงเย็นชามากเพียงใด พร้อมกับวางตัวที่เย่อหยิ่งมากเท่าใด เฟิ่งชิงเฉินก็ได้แต่ต้องอดทนเอาไว้ ไม่เอ่ยสิ่งใดออกมาเลยแม้แต่คำเดียว พร้อมกับนั่งอยู่บนรถม้ากับเสด็จอาเก้าแต่โดยดี

สิ่งที่สำคัญก็คือ เฟิ่งชิงเฉินพบว่าอารมณ์ของเสด็จอาเก้าในวันนี้ แลจะผิดปกติยิ่งนัก เขาเอาแต่นั่งอยู่ในรถม้าไม่พูดไม่จา คล้ายกับในคราแรกที่พวกเขาพบหน้ากัน

แม้ว่าภายในใจของเฟิ่งชิงเฉินจะรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก แต่นางก็มิได้แสดงออกมา เมื่อเกิดอาการหัวร้อนไปครู่หนึ่ง ผ่านไปไม่นาน เฟิ่งชิงเฉินก็หลับตาเอนตัวพึงกับพนักเพื่อพักผ่อน

หากนางและเสด็จอาเก้าสามารถกลับไปเป็นเหมือนครั้งที่พบหน้ากันในครั้งแรกได้ ก็คงจะดี

ความรักที่ไม่ราบรื่นในวัยเยาว์ สำหรับรักข้างเดียวของเสด็จอาเก้านั้น นางจะคิดว่ามันเป็นเพียงฝันร้ายเพียงตื่นหนึ่งในยามนี้ มือขวาที่กำหมั้นของเฟิ่งชิงเฉิน ค่อย ๆ คลายออกอย่างช้า ๆ

แรกพบประสบเจอผู้สูงส่ง นางสนมเปรียบเสมือนเพียงฝุ่นผง ผู้สูงส่งเปรียบเสมือนเมฆขาวใส

ยามต้องจากลากันในฉันใด ครึ่งความรักที่มีให้ ส่งถึงท่าน

ดวงความรักที่มีค่ามอบให้ท่าน แต่หม่อมฉันกลับต้องเจ็บ ชอกช้ำระคนทน

แรงฝันหวานของผู้คน กลายเป็นเพียง ความรักไม่ราบรื่นในวัยเยาว์