ตอนที่ 229 ต้นฉบับ / ตอนที่ 230 การพูดคุยในยามค่ำคืน

เช่าท่านประธานมาปิ๊งรัก

ตอนที่ 229 ต้นฉบับ  

 

 

“ลูกคนรวยไม่ทำงานทำการอย่างเหยียนเค่อนั่น รู้จักคบแต่เพื่อนแบบนี้ ไม่มีความทะเยอทะยานเลยสักนิด จะรับผิดชอบภาระหน้าที่อันใหญ่หลวงอย่างการสืบทอดธุรกิจของเหยียนกรุ๊ปได้ยังไง” สวีอิ๋งอิ๋งม้วนสายกระเป๋า พูดขึ้นอย่างเข้าใจว่าความคิดเห็นของตนถูกต้อง 

 

 

เหยียนเฟิงพยักหน้า ถ้าเธอคิดแบบนี้ได้ก็ดีมากๆ ถือโอกาสเอ่ยขึ้น “ใช่ ฉันสอนเขาหลายทีแล้ว แต่เขาไม่ฟังที่ฉันปรามเลย” 

 

 

หัวใจของสวีอิ๋งอิ๋งเชื่ออย่างหนักแน่นว่าเหยียนเฟิงเป็นคนดี และเหยียนเค่อช่างเลวเกินไป 

 

 

เหยียนเค่อกินแกงฟักรสชาติจืดชืด คิดถึงคราวก่อนที่เข้าโรงพยาบาลก็ได้กินเจ้านี่เช่นกัน แถมเขายังทะเลาะกับซย่าเสี่ยวมั่วด้วย…ทำไมพอไม่มีซย่าเสี่ยวมั่วแล้วแกงฟักถึงรสชาติแย่ลงกว่าเดิมแบบนี้ล่ะ… 

 

 

เสิ่นจิ้งเฉินเห็นสีหน้าเศร้าหงอยของเขา ก็เอาน่องไก่ในกล่องของตนยื่นให้เขาเงียบๆ “พี่ เอาเนื้อไปกินเถอะ แล้วช่วยเปลี่ยนสีหน้าหน่อย” 

 

 

“ไม่เปลี่ยน!” เหยียนเค่อไม่มองสักนิด ค่อยๆ ซดน้ำแกงคำเล็กทีละคำ 

 

 

เสิ่นจิ้งเฉินก็จนปัญญา ไม่รู้ว่าเทพเจ้าท่านนี้มีเรื่องอะไรให้ไม่พอใจอีก 

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่ววาดรูปอยู่ค่อนวัน ความทรงจำไม่ดีในสมองต่างก็ถูกกำจัดไปบ้างแล้ว ไม่รู้สึกหวาดกลัวเท่าเดิมแล้ว หลังจากกินข้าวเสร็จก็นัดอันหร่านไปเซ็นสัญญาพรุ่งนี้ 

 

 

เพราะว่าเธอมีลางสังหรณ์ ว่าถ้าไม่รีบเซ็นสัญญาให้เร็วที่สุดละก็ จะมีเรื่องบางอย่างที่ทำให้เธอล้มเลิกการเซ็นสัญญา ดังนั้นก็จัดการให้มันเสร็จไปเลย ถ้าจะต้องมานั่งเสียใจก็ค่อยว่ากันทีหลัง 

 

 

อันหร่านเองก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง พูดกระตุ้นอีกครั้ง “ถ้าเธอกล้าเทฉันอีกรอบฉันจะไปหาแล้วบังคับให้เธอเซ็นชื่อแล้วนะ” 

 

 

“จ้าๆ” ซย่าเสี่ยวมั่วเอาหน้าปกและโปสเตอร์โปรโมตของการ์ตูน ‘ตามหาหงส์ในใต้หล้า’ ส่งให้อันหร่าน “วันนี้ฉันมีไฟเลยวาดเตรียมไว้หมดแล้ว เธอลองดูว่าผ่านไหม” 

 

 

อันหร่านได้รับอีเมลจากเธอก็กดเปิดดู 

 

 

โปสเตอร์การ์ตูนของคนอื่นปกติแล้วถ้าไม่กอดก็ต้องเป็นจูบ ชุดที่ใส่ถ้าไม่ใช่ชุดแต่งงานก็ต้องเป็นชุดคู่ แต่ซย่าเสี่ยวมั่วกลับทำแตกต่างจากชาวบ้านเขา 

 

 

บนโปสเตอร์ที่เด้งขึ้นมาบนหน้าจอ วาดผู้ชายในชุดลำลองใส่อยู่บ้านนั่งอ่านหนังสืออยู่บนโซฟา ผู้หญิงอีกคนสวมชุดนอนตัวหลวมโคร่งนั่งกัดแอปเปิลดูโน้ตบุ๊กอยู่บนพื้นตรงปลายเท้าของเขา 

 

 

ความคิดสร้างสรรค์ดี สไตล์ของภาพก็อบอุ่นน่ารัก อันหร่านพึงพอใจเป็นอย่างมาก แต่เมื่อเห็นเสื้อผ้าของสองคนนี้แล้วก็อดจะค่อนแขวะไม่ได้ “ผู้ชายแบบนี้มาชอบเธอได้ยังไงเนี่ย!” 

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วถอนหายใจเศร้าๆ “ก็ใช่น่ะสิ เขาไม่ชอบฉัน ดังนั้นตอนจบของการ์ตูนเรื่องนี้น่าจะเป็น หงส์ตัวผู้ตามหาหงส์ตัวเมียไปทั่วทุกทิศ แต่ดันติดเข้ากับกิ่งต้นอู่ถงระหว่างทาง สุดท้ายก็กลายเป็นเรื่องราวความรักที่เงียบสงบแต่งดงามของหงส์ตัวผู้กับกิ่งต้นอู่ถง” 

 

 

อันหร่านหมดคำพูด เอ่ยเตือนขึ้น “โปรโมตให้เป็นความรักอันแสนหวานที่จบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้ง ถ้าเธอกล้าเขียนให้เป็นโศกนาฏกรรมละก็รอรับมีดจากฉันได้เลย ไม่มีวันได้รับอนุมัติจากฉันแน่นอน!” 

 

 

“ฉันจะหน้าด้านหน้าทนเขียนตอนจบที่ดีให้เธอก็แล้วกันนะ” ซย่าเสี่ยวมั่วยอมแพ้ “ฉันรับรองว่าคุณจะต้องพอใจแน่นอนค่ะ” 

 

 

อันหร่านได้รับคำตอบรับประกันแล้วก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ ก่อนจะรายงานสถานการณ์ในสงครามล่าสุดให้ซย่าเสี่ยวมั่วฟัง “เซียวอู๋อี้หมดสัญญาแล้ว แต่บริษัทไม่ได้ต่อสัญญากับเขา ถ้าเธอมาละก็ ตำแหน่งเจ๊ใหญ่เบอร์หนึ่งกำลังรอเธออยู่นะ!” 

 

 

“ฉันไม่สนใจ” 

 

 

“หมูที่ไม่อยากเป็นหมูที่อ้วนที่สุดไม่ใช่หมูที่ดี!” อันหร่านพูดอย่างเกลียดชัง “เขาคบกับคนใหม่ที่มีภูมิหลังยิ่งกว่าหัวหน้าบก.คนนั้นคนหนึ่ง น่าจะตั้งใจเป็นกิ๊กชาวบ้านอย่างเต็มตัวแล้วมั้ง เรื่องขึ้นศาลก่อนหน้านี้เขาขอให้มาปรับความเข้าใจกันโดยส่วนตัว แต่ฉันไม่ได้ตอบอะไรกลับไป” 

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วยังจำเสียงของเขาในตอนที่เธอโทรไปหาเมื่อก่อนหน้านี้ได้ดี เอ่ยขึ้นเสียงเรียบ “แล้วแต่เธอ แต่อย่าทำให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องต้องมาแปดเปื้อนล่ะ” 

 

 

“โอ้โห เธอพูดแบบนี้แล้วดูเป็นผู้ดีมากเลย!” อันหร่านรู้เบื้องลึกเบื้องหลังเรื่องราวอันซับซ้อนนี้ “ฉันไม่บีบคั้นเขาเกินไปหรอก แค่เขายอมขอโทษก็พอ ฉันไม่เชื่อว่าหลายข้อนี้จะไม่มีข้อไหนเลยที่เขาไม่มีความผิดน่ะ!” 

 

 

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 230 การพูดคุยในยามค่ำคืน 

 

 

เมื่อวางสาย เธอกดเปิดเวยปั๋ว ข้อวิพากษ์วิจารณ์บนอินเทอร์เน็ตก็ประดังประเดเข้ามาหาเธอทันที 

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วเห็นพวกคอมเม้นท์ที่ร้ายกาจไม่น่าดู ก็อดโพสต์เวยปั๋วไม่ได้ 

 

 

[โพสต์นี้ไม่เพียงแต่อยากบอกคนที่ด่าฉันเท่านั้นนะคะ แต่อยากบอกคนที่ด่าคนอื่นด้วย ขอให้ทุกคนระมัดระวังเรื่องการใช้คำและกิริยาท่าทางด้วยค่ะ คนเราต่างก็มีพ่อแม่เลี้ยงดูเหมือนกันนะคะ การด่าคนอื่นไม่ได้ทำให้คุณดูดีโดดเด่นไปกว่าคนอื่นเลย แต่แสดงให้เห็นว่าการอบรมสั่งสอนที่คุณได้รับมันต่ำเอามากๆ] 

 

 

เธอยังจำได้ว่าในตอนนั้นตนเคยถูกคำพูดเหล่านี้ทำร้ายจนเจ็บปวดไปทั้งกายใจ ไม่ว่าจะกับศัตรูหรือกับตัวเธอเองก็ตาม เธอไม่อยากเห็นพูดเหล่านั้นอีก 

 

 

นี่เป็นโพสต์แรกตั้งแต่ที่เธอและเซียวอู๋อี้ทะเลาะกันอีกเป็นครั้งที่สอง นางฟ้าตัวน้อยใต้คอมเม้นท์เห็นโพสต์นี้ต่างก็ฮือฮา พากันเข้ามาชื่นชมในตัวซย่าเสี่ยวมั่ว แน่นอนว่ามีคำพูดที่แอนตี้แฟนบอกว่า 

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่ว ‘แอ๊บใส’ ’สตอร์เบอร์รี่’ ทำนองนี้อยู่ไม่น้อย 

 

 

ซย่าเสี่ยวมั่วโพสต์อีกครั้งด้วยรูปโปสเตอร์โปรโมทและภาพหน้าปก ก่อนจะไปอาบน้ำนอน 

 

 

เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ถ้าเธอยังนอนไม่หลับอีกแสดงว่าน่าจะเป็นโรคแล้วล่ะ 

 

 

หลังฉินซื่อหลานเลิกงานแล้วก็ไปเยี่ยมเหยียนเค่อที่ห้องผู้ป่วยสักหน่อย เสิ่นจิ้งเฉินยังนึกว่าตัวเขาจะได้ปลดปล่อยเป็นอิสระแล้ว ก็เห็นว่าฉินซื่อหลานแสร้งทำเป็นขีดๆ เขียนๆ ลงบนบันทึกขึ้นวอร์ด ก่อนจะสั่งกำชับเขาราวกับคนไม่รู้จักกัน “ดูแลผู้ป่วยดีๆ นะครับ ถ้าผู้ป่วยต้องการอะไร ญาติก็ช่วยสนองความต้องการอย่างเต็มที่ด้วยนะครับ” 

 

 

เสิ่นจิ้งเฉิน “…” ก็ได้ ตัวเขาก็ถือว่าเป็นญาติไปแล้วครึ่งหนึ่ง หลานชายของเขายังต้องหวังพึ่งให้ไอ้หมอนี่ผลิตขึ้นมาอยู่ 

 

 

ทำได้เพียงมองฉินซื่อหลานจากไปอย่างสง่างามตาปริบๆ 

 

 

ชายหนุ่มสองคนนอนกลางวันจนอิ่มแล้ว พอถึงตกกลางคืนก็นั่งตาสว่างด้วยกัน 

 

 

“นายว่าซย่าเสี่ยวมั่วจะมาเยี่ยมฉันไหม” เหยียนเค่อนั่งอยู่บนเตียง จะนอนก็ไม่ได้ เอนพิงก็ไม่ได้ ทำได้เพียงเล่นนิ้วมือตัวเองอย่างเบื่อเซ็ง 

 

 

เสิ่นจิ้งเฉินอ่านหนังสือพิมพ์ฉบับของเดือนไหนปีไหนก็ไม่รู้ ก่อนจะตอบเขา “ถ้ามาเยี่ยมนายน่าจะไม่ เขาน่าจะไปเยี่ยมหลี่หมิงฉวีมากกว่า” 

 

 

แล้วเสิ่นจิ้งเฉินก็พูดถูกเสียด้วย ก่อนที่ซย่าเสี่ยวมั่วจะหลับ ในหัวยังลังเลว่าจะไปเยี่ยมหลี่หมิงฉวีที่โรงพยาบาลสักหน่อยดีไหม สุดท้ายก็ตัดสินใจเป็นคนไม่มีมารยาทสักครั้ง ทำเป็นว่าเธอไม่รู้เรื่องว่าเขาเข้าโรงพยาบาลแล้วกัน 

 

 

ความขัดแย้งเริ่มต้นขึ้นโดยสมบูรณ์แบบ คนที่ไม่อยากมีเรื่องก็ยอมแพ้ไปเอง ส่วนคนที่อยากมีเรื่อง อยากแก้แค้นต่างก็กำลังคิดหาวิธี 

 

 

แต่คนที่น่าจะร้อนใจกว่าใครกลับกำลังทอดถอนใจอย่างโศกเศร้า 

 

 

“ฉันทำไปเพื่อใครวะเนี่ย โคตรใจร้ายเลย” 

 

 

เสิ่นจิ้งเฉินร้องเหอะ “ใครจะไปรู้ว่านายทำไปเพื่อใคร นายควรคิดก่อนเถอะว่าจะรับมือกับพี่ชายนายยังไง” 

 

 

ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป ไม่รู้ว่าจะถูกใส่สีตีไข่อย่างไรบ้าง 

 

 

เหยียนเค่อมองดูโทรศัพท์ที่ถูกปิดเครื่อง เลียนเสียงพ่อของตน “ไอ้เด็กนั่นคิดว่าตัวเองกี่ขวบกันหา จะสามสิบอยู่แล้วยังก่อความวุ่นวายแบบนี้อีก! ถ้าไม่สั่งสอนมัน มันก็คงไม่รู้ว่าตัวเองใช้นามสกุลอะไรอยู่!” 

 

 

เสิ่นจิ้งเฉินมองคนที่เรียกร้องความสนใจแล้วแอบขำ 

 

 

เหยียนเค่อแบมืออย่างจนปัญญา ถามเองตอบเอง “แต่ผมไม่อยากใช้นามสกุลเหยียนนี่ครับ” หันไปมองเสิ่นจิ้งเฉิน “พ่อนายสอนนายแบบนี้หรือเปล่า” 

 

 

“ฉันไม่ได้ทำตัวเหลวแหลกเหมือนนายนะ” เสิ่นจิ้งเฉินลูบคางครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ปกติแล้วพ่อฉันจะพูดว่า ดูพี่ใหญ่ซิ…แล้วก็พูดข้อดีมาเป็นชุดใหญ่ จากนั้นก็บอกว่า แล้วดูแกซิ…แล้วก็ถล่มข้อเสียใส่เป็นชุดใหญ่” 

 

 

“ก็จริง นายโง่ปานนั้น จะมาเทียบกับฉันได้ยังไง” เหยียนเค่อทอดถอนใจแล้วเอ่ยอย่างกลัดกลุ้ม  “ถ้าพระเจ้าประทานพี่ชายฉันมา แล้วทำไมต้องมีฉันขึ้นมาด้วยนะ ฉันไม่อยากแข่งกับเขา ไม่ว่าเขาจะทำอะไรก็ไม่ชอบขี้หน้าฉันอยู่ดี” 

 

 

เสิ่นจิ้งเฉินโดนเขาด่าเต็มๆ เห็นเรื่องของครอบครัวที่ทำธุรกิจก็ยิ่งไม่เข้าใจสถานการณ์ จึงไม่ออกความเห็น เพียงแต่ฟังเหยียนเค่อบ่นเท่านั้น จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้เรื่องหนึ่งจึงพูดขัดเขาขึ้น “นายกับซย่าเสี่ยวมั่วไปถึงขั้นไหนกันแล้ว” 

 

 

ไม่พูดถึงจะยังดีกว่า พอพูดขึ้นมาแล้วเหยียนเค่อก็อดกลั้นไว้ไม่ไหวแล้ว 

 

 

น้ำเสียงกลัดกลุ้มมากขึ้น “เราสองคนไม่ได้เป็นอะไรกันทั้งนั้นแหละ…” 

 

 

เสิ่นจิ้งเฉินเบาใจ ถ้าเหยียนเค่อกล้าทำเรื่องผิดผีลงไปละก็ เสิ่นมั่วหลีเอาเขาตายแน่นอน