DC บทที่ 336: คนหนุ่มสาวควรอยู่ร่วมกัน

 

เมื่อผู้อาวุโสของนิกายดอกบัวเพลิงเห็นจางซิวยิงโอบกอดซูหยางต่อหน้าทุกคน ดวงตาของเขาก็ถลนออกมาจากเบ้าเนื่องจากความตระหนก

 

แต่นั่นไม่ใช่แต่เพียงเขาเท่านั้น ทุกคนที่นั่นต่างก็งงงันไปกับความใกล้ชิดสนิทสนมของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งซูหยินซึ่งไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

 

แม้ว่าเธอสามารถหาข้ออ้างให้กับศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยที่หลับนอนกับเขาเนื่องมาจากการฝึกฝนของนิกาย แล้วจะมีข้ออ้างไหนให้กับสาวคนใหม่นี้ที่ถือว่าเป็นคนนอก

 

“เกิดอะไรขึ้นที่นี่ผู้อาวุโสโจว” จางซิวยิงมองดูเขาด้วยดวงตาหรี่เรียว

 

หลังจากที่ใช้เวลาสงบใจลงชั่วขณะ ผู้อาวุโสโจวก็อธิบายสถานการณ์ให้กับเธอ

 

“ไม่เพียงแต่พวกเขามาที่นี่พร้อมกับคนกว่าสามสิบคน แต่พวกเขายังกระทั่งพยายามที่จะหลอกคนงานนี้ด้วยบัตรเชิญปลอม เขามิเคารพผู้อาวุโสหวัง หลังจากที่ข้าพยายามจะแก้ไขนิสัยเขา เขากลับข่มขู่ข้า-นิกายดอกบัวเพลิง ข้ามีพยาน”

 

“ผู้อาวุโสนี้มิได้โกหก ชายหนุ่มคนนั้นได้ข่มขู่ผู้อาวุโสว่าเขาจักเข้าไปในโรงประมูลไม่ว่าวิธีใดก็วิธีหนึ่ง”

 

พยานเลือกเข้าข้างด้านนี้

 

“บัตรเชิญปลอมนี่อยู่ที่ไหน ข้าต้องการดูมัน” จางซิวยิงออกคำสั่ง

 

“มันอยู่ตรงนี้” คนงานรีบไปเก็บบัตรเชิญที่เขาโยนทิ้งไปเหมือนขยะและยื่นส่งให้กับเธอ

 

จางซิวยิงใช้เวลาชั่วขณะในการดูบัตรเชิญ

 

“เจ้าเห็นหรือยังตอนนี้ ศิษย์จาง ต่อให้เขาเป็นหนึ่งในเพื่อนของเจ้า เราก็จะต้องลงโทษเขาที่–”

 

“หุบปาก” จางซิวยิงขัดเขาในทันที

 

“เจ้าตาบอดหรืออย่างไร ตาพวกเจ้าเพียงมองแต่บัตรหรูหราหรืออย่างไร ถ่านี่มิใช่ลายมือของผู้อาวุโสหวัง ข้ายินดีที่จะวิ่งเปลือยกายรอบเมือง” จางซิวยิงฟาดบัตรเชิญไปที่ใบหน้าผู้อาวุโสโจว

 

“อะไรกัน นี่เป็นไปได้อย่างไรกัน” ในเมื่อเขาไม่ได้ดูบัตรเชิญ เขาจึงไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าใครเป็นคนเขียน

 

“ซิวยิง เขากระทั่งมองจดหมายเชิญก่อนที่จะกล่าวหาพวกเราว่านำบัตรเชิญปลอมมา ยังมิทำเลย” ซูหยางพลันฟ้องทำให้หน้าผู้อาวุโสโจวซีดเผือด

 

“อะไรกัน เจ้าทำสิ่งโง่เง่าเช่นนี้ทั้งที่เป็นผู้อาวุโสได้อย่างไรกัน” จางซิวยิงขมวดคิ้ว

 

“อา คนรับใช้ตรงนั้นถึงกระทั่งทิ้งจดหมายเชิญที่เขียนด้วยตัวหวังชูเหรินเองลงบนพื้น”

 

ในเมื่อเขาถูกผู้อื่นฟ้องนั่นย่อมจะเป็นการสูญเสียถ้าเขาไม่กระทำเช่นนี้กับคนอื่นบ้าง

 

“โอ วีรบุรุษผู้กล้าคนไหนกันที่กล้าโยนจดหมายเชิญของหญิงสาวคนนี้ลงบนพื้น”

 

เสียงอันคุ้นเคยอีกเสียงหนึ่งพลังส่งมาและหวังชูเหรินที่มีรูปร่างสง่างามพลันปรากฏตัวต่อหน้าพวกเขาจากความว่างเปล่า

 

“ผู้อาวุโสหวัง”

 

ทุกคนที่นั่นต่างพากันโค้งให้กับเธอทันทีที่เธอมาถึง

 

หวังชูเหรินไม่สนใจผู้ใดและรับบัตรเชิญจากจางซิวยิงและเหลือบดูมัน

 

“นี่เป็นจดหมายเชิญที่ข้าเขียนเอง…และได้นำไปส่งที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยด้วยตัวข้าเอง และเจ้าโยนมันทิ้งเหมือนกับว่ามันเป็นขยะรึ”

 

หวังชูเหรินตรงเข้าไปหาคนงานชายด้วยท่าทางโกรธ

 

คนงานที่เธอมองดูพลันเป็นลมไปจากความตระหนกหลังจากที่รับรู้ถึงจิตสังหารจากสายตาของเธอ

 

กระทั่งผู้อาวุโสโจวก็ยังสั่นสะท้านราวกับเป็นบ้า

 

“ชูเหริน ในเมื่อเจ้าอยู่ที่นี่ในตอนนี้ มิมีเหตุผลใดที่จะปล่อยให้พวกเรายืนรออีกต่อไป เจ้าสามารถจัดการพวกเขาทีหลัง” ซูหยางกล่าวกับเธอ

 

“เจ้าพูดถูก ข้ามิควรเสียเวลาอันมีค่าของข้ากับขยะเช่นพวกเขา ตามข้ามา”

 

“ข้าจักจัดการกับเจ้าทีหลังผู้อาวุโสโจว” เธอกล่าวกับเขาด้วยเสียงแผ่วเบาก่อนปล่อยอีกฝ่ายอยู่ตามลำพัง

 

“อย่างไรก็ตามข้าได้นำคนสามสิบคนมากับข้าด้วย ถ้าเจ้ามิถือ” ซูหยางชี้ไปยังศิษย์รุ่นเยาว์ด้านหลังเขา

 

“สามสิบคนรึ… ที่นั่งในห้องวีไอพีมีไม่พอสำหรับคนมากมายปานนี้ต่อให้ข้าเตะทุกคนออกไป” เธอกล่าวด้วยเสียงครุ่นคิด

 

“เรามิต้องการห้องวีไอพี เพียงแค่แบบธรรมดาก็ใช้ได้แล้ว”

 

“ได้ถ้าเจ้าว่าเช่นนั้น” ซูหยางพยักหน้า

 

เธอจึงนำนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยเข้าไปในโรงประมูลและให้ที่นั่งพวกเขาเกือบทั้งหมดด้านหน้าซึ่งพวกเขาสามารถเห็นเวทีประมูลได้อย่างชัดเจนที่สุด ส่วนคนที่ได้นั่งอยู่ที่นั่นก่อนแล้วหวังชูเหรินได้ขอร้องพวกเขาอย่างสุภาพให้เปลี่ยนที่นั่ง และบอกว่าพวกเขาจะได้รับการชดเชยในภายหลัง

 

แน่นอนว่าต่อให้พวกเขาเป็นคนที่มีอำนาจหนุนหลัง ก็ไม่มีพวกเขาคนไหนกล้าที่จะโต้เถียงกับหวังชูเหรินที่กระทั่งบรรพบุรุษของพวกเขายังไม่กล้าล่วงเกิน

 

“คนพวกนั้นเป็นใครกัน ถึงกับต้องมีผู้อาวุโสหวังหาที่นั่งให้กับพวกเขาด้วยตนเองกระทั่งทำให้แขกคนอื่นเปลี่ยนที่นั่งให้กับพวกเขา พวกเขาต้องเป็นพวกมีอำนาจหนุนหลังแน่”

 

“พวกเขากระทั่งนำคนมาด้วยถึงสามสิบคนในขณะที่พวกเราทั้งหมดจำกัดไว้ที่ห้า”

 

หลังจากที่ได้รับที่นั่งของพวกเขาแล้ว โหลวหลานจีก็ได้ถามหวังชูเหรินด้วยสีหน้ากังวล “ท่านมั่นใจว่านี่ไม่เป็นไร พวกเรามิสร้างปัญหาให้กับท่านที่ยึดเอาที่นั่งคนอื่นรึ”

 

“อย่ากังวลเรื่องนั้น ถ้าพวกเขากล้าสร้างปัญหาข้าก็จักเพียงแค่ปฏิเสธที่จะขายยาให้พวกเขาเท่านั้นเอง ฮ่าฮ่าฮ่า” หวังชูเหรินเจตนาหัวเราะเสียงดังพอที่จะให้ทุกคนในห้องได้ยินคำพูดของเธอ

 

“ศิษย์จางทำไมเจ้ามิอยู่เป็นเพื่อนกับพวกเขาหน่อยในขณะที่ข้ากลับไปทำงาน” หวังชูเหรินพลันกล่าวกับเธอ

 

“เอ๋ แต่ว่างานของข้าล่ะ”

 

“คนอื่นจักจัดการมันแทน เจ้าได้ทำงานหนักมากระยะหลังนี้ ดังนั้นข้าจักให้เจ้าได้พักครั้งนี้”

 

“ขอบคุณผู้อาวุโสหวัง” จางซิวยิงคำนับเธอ

 

หลังจากที่หวังชูเหรินจากไป จางซิวยิงก็มองไปยังที่นั่งข้างตัวซูหยางแต่อนิจจานั่นถูกจับจองไปแล้วโดยโหลวหลานจีและซูหยิน

 

“ลืมมันไปซะ ข้ามิให้ที่นั่งของข้าแน่นอนต่อให้เจ้าขอร้องก็ตาม” ซูหยินรู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรและกล่าวขึ้นก่อน

 

จางซิวยิงยิ้มขื่นขมและกล่าวว่า “อย่ากังวลไปข้ามิแย่งที่นั่งของเจ้าหรอก”

 

โหลวหลานจีสังเกตเห็นความขมขื่นในรอยยิ้มของจางซิวยิง จึงยิ้มในใจ

 

“คนหนุ่มสาวควรอยู่ร่วมกัน เจ้านั่งที่ของข้าเถอะ” เธอกล่าวขณะที่ยืนขึ้นและไปนั่งที่อื่น

 

“ข-ขอบคุณ” จางซิวยิงรีบคำนับให้กับเธอก่อนที่จะนั่งเก้าอี้นั้น

 

“ข้าคิดถึงท่านเหลือเกินซูหยาง” จางซิวยิงกล่าวกับเขาด้วยใบหน้าแดง

 

“ในเมื่อเจ้าคิดถึงข้าเจ้าก็ควรไปหาข้าที่โรงเตี๊ยมของข้าเมื่อเจ้ามีเวลาว่าง เราจักพูดคุยกันเป็นส่วนตัวเหมือนครั้งที่แล้วเป็นไง” ซูหยางกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

 

“อื้อ…” จางซิวยิงพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง