DC บทที่ 337: นายน้อยตระกูลหวัง

 

หลังจากที่นิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยได้ที่นั่งแล้ว คนก็ไหลหลั่งเข้าไปในโรงประมูล

 

ไม่เหมือนกับเมืองขนนกพริ้ว โรงประมูลดอกบัวเพลิงนี้มีที่นั่งเพียงพอสำหรับคนนับพัน แต่แม้ว่าจะมีที่นั่งมากมายเพียงนั้น ห้องก็ยังเต็มอย่ารวดเร็ว

 

และเพราะว่านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยจับจองที่นั่งสำหรับตนเองเกินกว่าขีดจำกัดของแต่ละกลุ่มถึงยี่สิบห้าที่นั่งดังนั้นจึงมีคนที่ไม่มีที่นั่งในโรงประมูลด้วย

 

“เกิดบ้าอะไรกันวะ ทำไมจึงไม่มีที่นั่ง นิกายดอกบัวเพลิงได้ส่งบัตรเชิญเต็มพอดีห้องนี้แต่กลับไม่มีที่นั่งเหลือรึ พวกเขาคำนวณที่นั่งผิดหรือว่าให้บัตรเชิญมากเกินไป”

 

กลุ่มของชายหนุ่มหญิงสาวพลันเข้ามาในโรงประมูลและผู้ที่นำพวกเขามาก็มองดูไปรอบโรงประมูลด้วยรัศมีรอบกายเหมือนกับว่าเขาเป็นเจ้าของสถานที่

 

“นายน้อยหวังดูตรงนั้น ท่านรู้จักพวกเขาหรือไม่ พวกเขาจับจองสามสิบที่นั่งสำหรับตัวเอง” คนหนึ่งในกลุ่มสังเกตนิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและชี้ไปยังพวกเขา

 

“พวกโง่เง่าตาบอดไหนกันที่ปล่อยให้คนมากมายที่เห็นชัดว่ามาจากกลุ่มเดียวกันมาที่นี่ ขีดจำกัดคือห้าคนต่อกลุ่ม ไม่มีแม้สำนักระดับสูงใดจะเป็นข้อยกเว้นของกฏนี้”

 

“ใช่ กระทั่งนายน้อยหวังที่เป็นญาติของผู้อาวุโสหวังก็พาคนไปได้แค่เจ็ดคนเท่านั้น”

 

“มิเพียงแต่พวกเขาจับจองที่นั่งถึงสามสิบที่แต่พวกเขายังอยู่ด้านหน้าสุดของโรงประมูล นั่นเป็นที่นั่งที่ดีที่สุด”

 

“ตอนนี้เมื่อข้าสังเกตอย่างใกล้ชิดมิใช่ว่าส่วนใหญ่ของพวกนั้นเป็นเด็กรึ เมื่อไหร่ที่สถานที่นี้กลายเป็นสนามเด็กเล่นไปแล้ว”

 

“นายน้อยหวังท่านต้องพูดอะไรกับพวกเขาก่อนที่ผู้อาวุโสหวังจะพบเห็น บางทีเธออาจจะให้รางวัลท่านด้วยยาล้ำค่าของเธอ”

 

นายน้อยหวังพยักหน้าด้วยใบหน้าภาคภูมิใจ “ดีมาก ให้นายน้อยคนนี้จัดการกับพวกเขาเอง”

 

ขณะที่กลุ่มนายน้อยหวังตรงเข้าไปหานิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยคนอื่นที่สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของพวกเขาก็สังเกตเห็นเจตนาของพวกเขาได้อย่างรวดเร็ว

 

พวกเขาต่างเริ่มกระซิบกระซาบกัน

 

“เราควรหยุดพวกเขาดีหรือไม่ จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเขาล่วงเกินผู้อาวุโสหวัง”

 

“เจ้ามิรู้จักชายหนุ่มที่นำหน้าพวกเขารึ เขาคือหวังชิชงลูกชายคนโตของตระกูลหวังและเป็นญาติคนหนึ่งของผู้อาวุโสหวัง”

 

“ต่อให้เขาเป็นญาติของเธอ คนหยิ่งยะโสแบบเขาซึ่งไม่สามารถเข้าใจสถานการณ์ได้ก็สมควรจะปล่อยให้อยู่ตามลำพัง”

 

“มีคนหลายคนที่นี่ที่มีอิทธิพลแต่ไม่มีใครกล้าที่จะเข้าไปหากลุ่มนั้น ถ้าเขายังมิอาจที่จะแยกแยะสถานการณ์นั้นออกมาเช่นนั้นเขาก็สมควรเป็นทั้งคนโง่เง่าและตาบอดจากความหยิ่งยะโส”

 

“เจ้าพูดถูก ข้าก็ต้องการเห็นเช่นกันว่าเรื่องนี้จะดำเนินไปอย่างไร”

 

คนที่นั่นมองกลุ่มของหวังชิชงตรงเข้าไปหานิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยอย่างเงียบๆด้วยรอยยิ้มเยียบบนใบหน้าและความคาดหวังในดวงตา

 

“เฮ้ นรกที่ไหนกันทำให้พวกเจ้าคิดว่าที่นี่เป็นบ้านของเจ้ากัน” หวังชิชงยืนต่อหน้านิกายกุสุมาลย์พ้นพิสัยและพูดเสียงดัง

 

“แต่ละกลุ่มเพียงได้รับอนุญาตให้พาคนมาห้าคนแต่พวกเจ้ากลับนำผู้คนมาถึงสามสิบคนกระทั่งยังยึดครองที่นั่งด้านหน้าเกือบทั้งหมด ต่อให้คนอื่นมิยุ่งเกี่ยวกับเจ้า แต่ข้าจักมิยอมปล่อยให้เจ้าทำตามใจปรารถนาในที่ของข้า”

 

จางซิวยิงพลันขมวดคิ้วกับสิ่งที่เกิดขึ้น อย่างไรก็ตามก่อนที่เธอจะทันได้พูด ซูหยางก็ได้เปิดปากพูดขึ้นว่า “โอ เช่นนั้นเจ้าเป็นเจ้าของสถานที่นี้รึ นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ยินเช่นนั้น”

 

“ระวังปากของเจ้าให้ดี เจ้ารู้หรือเปล่าว่าเจ้ากำลังพูดกับใครอยู่ เขาคือนายน้อยหวังลูกชายคนโตของตระกูลหวังและเป็นญาติของผู้อาวุโสหวังด้วย”

 

“คนที่ดูแลโรงประมูลนี้เป็นผู้อาวุโสหวัง ดังนั้นเป็นเรื่องธรรมดาที่มันก็ต้องขึ้นกับตระกูลหวังด้วย”

 

คนที่ยืนอยู่เบื้องหลังหวังชิชงพูด

 

“เจ้ารู้แล้วนะ” หวังชิชงยิ้มเยาะ “ในเมื่อตอนนี้พวกเจ้าเข้าใจฐานะของข้าแล้วพวกเจ้าก็จงไสหัวไปให้พ้นที่แห่งนี้ซะ”

 

“โฮ่ เช่นนั้นเจ้าก็เป็นญาติของชูเหรินเช่นกันรึ เจ้ารู้จักคนที่ชื่อว่าหวังหมิงหรือไม่” ซูหยางพลันถามด้วยรอยยิ้มลึกลับบนใบหน้า

 

หวังชิชงรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีจากท่าทางของซูหยาง เขาขมวดคิ้ว “เจ้ารู้จักหวังหมิงน้องชายของข้าด้วยรึ” เขาถาม

 

“แน่นอน ข้าจะลืมคนอย่างเขาได้อย่างไร เราเป็นเพื่อนสนิทกัน”

 

“ซูหยาง…” จางซิวยิงมองดูเขาด้วยดวงตาโตขึ้นเล็กน้อย

 

“เช่นนั้นเจ้าเป็นเพื่อนของหวังหมิงรึ” หวังชิชงพยักหน้า “เช่นนั้นเพื่อรักษาหน้าเขาซึ่งได้เสียไปแล้ว ข้าจักอนุญาตให้เจ้า เจ้าเพียงผู้เดียว อยู่ได้ คนที่เหลือไสหัวไป”

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า…” ซูหยางพลันหัวเราะลั่น

 

“มีอะไรขำกัน” หวังชิชงขมวดคิ้ว

 

“เจ้าต้องการที่จะรู้หรือไม่ว่าทำไมหวังหมิงน้องชายของเจ้าจึงตาย” ซูหยางถาม

 

“จ-เจ้าหมายความว่าอะไร เจ้ารู้จักบางอย่างเกี่ยวกับการตายของหวังหมิงรึ” คิ้วที่ขมวดบนใบหน้าของหวังชิชงยิ่งลึกยิ่งขึ้น

 

“ลืมมันเสียเถอะ” ซูหยางโบกมือของเขาไม่ใส่ใจ “ข้าเดาว่าเจ้าจักต้องสนใจ”

 

“พูด ข้าสั่งเจ้าให้บอกข้าทุกอย่าง” หวังชิชงคำราม

 

รอยยิ้มบนใบหน้าของซูหยางพลันหายวับไปและดวงตาของเขาพลันเพ่งตรงไปยังหวังชิชง

 

“สั่งข้ารึ… เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกันที่จะมาสั่งข้าได้” ซูหยางพลันยืนขึ้นจากที่นั่งและใช้มือตบหน้าของหวังชิชงอย่างไม่คาดคิด

 

เพี๊ยะ

 

หวังชิชงซึ่งไม่สามารถตอบโต้การตบได้ทันปลิวข้ามโรงประมูลราวกับตุ๊กตาผ้าก่อนที่จะปะทะกับผนังอีกฟากหนึ่งของห้อง

 

ในเวลานั้นทุกคนต่างจ้องมองซูหยางด้วยดวงตาที่แทบหลุดออกมาจากเบ้า ไม่มีใครในหมู่พวกเขาจะจินตนาการว่าอีกฝ่ายจะตบหวังชิชงโดยไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย

 

“โอพระเจ้า เขาตบหวังชิชงรึนั่น”

 

“เขามิได้มาที่นี่เพียงลำพังแน่ พ่อแม่ของเขาก็ต้องอยู่อยู่นี่เช่นกัน หากว่าพวกเขารู้เรื่องนี้ ชายหนุ่มคนนั้นจักตัองได้รับผลอย่างหนักกับการกระทำของตนเองแน่นอน”

 

“ต่อให้เขามีความสัมพันธ์บางอย่างกับผู้อาวุโสหวัง การตบญาติของเธอจักต้องทำลายความสัมพันธ์นั้นแน่นอน”

 

“เขาเด็กและหัวร้อนเกินไป”

 

ผู้คนพากันส่ายหน้ากับการกระทำของซูหยาง

 

“ซ-ซูหยาง เจ้าทำอะไรลงไป” โหลวหลานจีร้องเสียงดัง “ต่อให้เขาได้ล่วงเกินเจ้า ทำไมเจ้าจึงต้องตบเขาเสียแรงเช่นนั้น เราจักต้องอธิบายเรื่องนี้ให้กับหวังชูเหรินที่ใจกว้างกับเรามากกว่าที่เราควรจะได้รับได้อย่างไร

 

“อะฮะ” ซูหยางยังคงรักษาท่าทางเยือกเย็นบนใบหน้าและกล่าวว่า “อย่ากังวลไป ต่อให้ข้าฆ่าเขา เธอก็จักมิกล่าวโทษข้า”

 

โหลวหลานจีไร้คำพูดไปในทันที