ลู่กวงสยงไม่เคยรู้จักอาห้ามาก่อน เมื่อครั้งที่เขาพยายามแย่งเฉียวอินเตอร์แนชันนัลกรุปมาจากเฉียวเหลียง จู่ๆ เฉียวเหลียงก็ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับอาห้า ทำให้เขาต้องพบกับความสูญเสียอย่างประเมินค่าไม่ได้ เขาจึงเริ่มสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับอาห้า แต่ไม่พบข้อมูลอะไรเลย ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ตาม
ลู่กวงสยงหรี่ตามองอาห้าอย่างประสงค์ร้าย แล้วละสายตาไปที่เฉียวอวี่ซิน กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “อวี่ซิน เธอต้องห้ามเฉียวเหลียงให้เลิกทำทุกอย่างที่กำลังทำอยู่ เธออยากเห็นเขาฆ่าพ่อของตัวเองงั้นเหรอ”
เฉียวอวี่ซินตบแขนอาห้าเบาๆ อาห้าขยับออกไปยืนด้านข้าง เฉียวอวี่ซินเงยหน้าขึ้นมองลู่กวงสยง ซึ่งยืนค้ำหัวนางและพูดจาโอหัง นางเลิกคิ้วถามเสียงเรียบ “ถ้าคุณไม่เริ่มก่อสงครามก่อนอาเหลียงจะทำแบบนี้กับคุณหรือ ลู่กวงสยง คุณโลภเกินไป เพราะฉะนั้นอย่าโทษอาเหลียงที่ทำกับคุณแบบนี้” เฉียวอวี่ซินยิ้มก่อนจะกล่าวต่อไป “แล้วอีกอย่าง ลู่หงคุนก็สบประมาทฉัน ลูกชายฉันแค่ทวงความยุติธรรมให้ฉัน ฉันคงได้แต่ชื่นชมเขา จะไปห้ามเขาได้ยังไง”
ลู่กวงสยงหน้าแดงก่ำ พยายามกล้ำกลืนคำพูดลงไปในลำคอ แต่ในที่สุดก็ตวาดออกมา “เธอสั่งสอนลูกแบบนี้ได้ยังไง สอนให้ฆ่าพ่อของตัวเองงั้นเหรอ!”
อาห้านิ่งฟังเฉียวอวี่ซินกล่าวถ้อยคำเหยียดหยามลู่กวงสยงแล้วแทบจะปรบมือให้ แต่พอได้ยินสิ่งที่ลู่กวงสยงกล่าวออกมาเขาก็รู้สึกขัดเคือง ขยับปากจะโต้กลับ แต่เฉียวอวี่ซินเพียงแค่ยิ้ม มองหน้าลู่กวงสยงแล้วเลิกคิ้วขึ้น “ลูกชายฉันเติบโตในต่างประเทศ ไม่ได้กลับมาเมืองจีนเลยจนอายุสักสิบห้าสิบหกปี แล้วเขาก็เรียนมัธยมปลายและมหาวิทยาลัยอยู่ในเมืองหลวง เราก็เลยไม่ค่อยได้เจอกัน คุณจะมาโทษฉันไม่ได้หรอกที่ไม่ได้สอนเขาให้ดีกว่านี้ ระวังคำพูดด้วย…”
นางยังคงยิ้ม “แต่เขาคือลูกชายที่มีค่าของฉัน เขาเป็นลูกชายที่ประเสริฐ ฉลาดเฉลียว และไม่เกรงกลัวความชั่วร้าย แม้เขาจะไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนจากฉันก็ตาม” เมื่อจบประโยคนางก็เอนพิงพนักรถเข็น หากขยับขาได้นางคงจะยกขาขึ้นไขว่ห้าง แต่น่าเสียดายที่ทำไม่ได้ นางจึงได้แต่มองหน้าลู่กวงสยงและหัวเราะเบาๆ “ฉันภาคภูมิใจในตัวเขามาก มีเพียงอย่างเดียวที่ฉันรู้สึกเสียใจก็คือ ไม่ใช่เพราะการอบรมสั่งสอนของฉัน ที่ทำให้เขาเติบโตมาเป็นผู้ชายที่ดีพร้อมขนาดนี้”
“เฉียวอวี่ซิน!” ลู่กวงสยงตวาดเสียงก้อง แต่แล้วกลับค่อยๆ พยายามสงบลง เขารู้ดีว่าเฉียวอวี่ซินกำลังยั่วโมโหเขา หากเขาบันดาลโทสะก็คงจะไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการในวันนี้ เมื่อคิดเช่นนั้นเขาจึงค่อยๆ กล่าวอย่างนุ่มนวลว่า “ผมรู้ว่าผมทำผิดต่อคุณ แต่นั่นก็เป็นอดีตไปแล้ว ตอนนี้ผมต้องการเงินทุนสักก้อนหนึ่งเพื่อช่วยให้บริษัทของผมอยู่รอดได้ หงคุนก็ถูกตำรวจจับไปแล้ว และเขาได้รับโทษที่สมควรได้รับ คุณจะไม่ยอมช่วยผมรักษาบริษัทไว้ เพื่อเห็นแก่ความรักของเราในอดีตเลยเชียวหรือ”
“ฮ่าๆ …” เฉียวอวี่ซินยิ้มเยือกเย็นราวกับเพิ่งได้ฟังเรื่องตลกที่ตลกมาก “เพื่อเห็นแก่ความรักของเราในอดีตอย่างนั้นหรือ ลู่กวงสยง ระหว่างเราเคยมีความรักต่อกันด้วยหรือ”
เธอชี้ไปที่ขาทั้งสองข้างของตนเอง กล่าวเสียงเย็นเยียบว่า “ไม่เคยมีความรัก ระหว่างเรามีแต่ความเกลียด นับตั้งแต่วันที่ขาฉันหัก ฉันก็ประนีประนอมให้แล้วไงล่ะ ด้วยการไม่ขอให้อาเหลียงทำลายบริษัทคุณ และไม่ได้ขอให้เขาหักขาลัวเสี่ยวลี่ คุณอย่ามาให้ฉันเห็นหน้าอีก ไม่อย่างนั้นฉันไม่รับรองว่าจะยอมทนคุยกับคุณดีๆ อย่างวันนี้”
เมื่อจบประโยคนางก็หันไปหาอาห้า “ส่งแขก!”
“เฉียวอวี่ซิน!” ลู่กวงสยงร้องเรียกด้วยน้ำเสียงคุกคาม เมื่อเห็นนางกำลังจะกลับเข้าไปในบ้าน “เฉียวเหลียงยังอยู่ในคุกนะ!”
เฉียวอวี่ซินชะงัก หันกลับมามองลู่กวงสยง ซึ่งมีท่าทางจนตรอกอย่างเห็นได้ชัด “คุณหมายความว่ายังไง”
ลู่กวงสยงกล่าวอย่างเยือกเย็น “ถ้าเราฟ้องร้อง เขาก็ต้องติดคุก เธอก็รู้ว่านั่นหมายความว่ายังไงสำหรับตระกูลเฉียว!”
อาห้าหัวเราะอย่างกลั้นไม่อยู่ กำลังจะกล่าวปลอบใจเฉียวอวี่ซินไม่ให้กังวลในเรื่องนี้ แต่นางเพียงแค่ยิ้ม เลิกคิ้วขึ้นมองหน้าลู่กวงสยง “ในเมื่ออาเหลียงตัดสินใจไปมอบตัวกับตำรวจด้วยตัวเอง แล้วฉันจะต้องกลัวทำไม แล้วอีกอย่าง การรับโทษเพราะซ้อมคนบางคนไม่น่าจะเสียหายร้ายแรงสักเท่าไร ฉันดีใจเสียอีกที่เขากล้ายอมเผชิญกับความผิดของตัวเอง ไม่เหมือนบางคนที่ฆ่าคนตายแล้วพยายามปกปิดความผิด แต่สุดท้ายก็ถูกตำรวจจับจนได้”
อาห้าหัวเราะอีก ลู่กวงสยงจ้องหน้าเขาอย่างอาฆาต แม้แต่เฉียวอวี่ซินก็ยังหันมามองเขา อาห้ากระแอมอย่างเคอะเขิน แล้วยิ้มให้เฉียวอวี่ซิน “คุณท่านครับ อย่ากังวลไปเลยครับ นายน้อยเพียงแค่แวะไปดื่มกาแฟที่สถานีตำรวจ อย่าไปเชื่อที่เขาพูดครับ ตอนนี้ ใครๆ ก็พูดกันทั้งนั้นว่านายน้อยเป็นวีรบุรุษ ช่วยชีวิตเด็กผู้ชายที่น่าสงสารไว้มากมาย”
เฉียวอวี่ซินเลิกคิ้วทั้งสองข้าง “โอ… อาเหลียงกลายเป็นวีรบุรุษไปแล้วอย่างนั้นหรือ”
ลู่กวงสยงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก้าวออกมาหนึ่งก้าว อาห้ารีบเข้ามาขวาง “คุณลู่ อย่าให้ผมต้องใช้กำลัง คุณก็ทราบดีว่าผมทำอะไรได้บ้าง ใช่ไหมครับ”
เฉียวอวี่ซินกล่าวขึ้นว่า “ลู่กวงสยง ตอนนี้คุณก็รู้แล้วว่าเวรกรรมมีจริง คุณต้องรับผลกรรมจากสิ่งที่คุณทำลงไป ขอให้สนุกกับการชดใช้กรรมนะ”
“อวี่ซิน! เธอต้องช่วยฉัน! อายุปูนนี้แล้วฉันจะสูญเสียบริษัทนี้ไปไม่ได้… เมตตาฉันด้วยเถอะนะ ให้ฉันยืมเงินสักสองพันล้านหยวน ช่วยให้บริษัทของฉันอยู่รอดด้วย ได้โปรดเถอะ!” ลู่กวงสยงอ้อนวอนด้วยคำพูด และสายตาที่มองเฉียวอวี่ซินอย่างน่าเวทนา
เฉียวอวี่ซินมองลู่กวงสยงแล้วยิ้มอย่างสมเพช “ลู่กวงสยง ฉันประทับใจมาก คุณนี่ไร้ขีดจำกัดเลยจริงๆ ต้องขอบอกว่าฉันชื่นชมคุณจริงๆ”
“คุณป้าคะ” จังหวะนั้นนั่นเองถังซีก็เดินเข้ามา เธอเลิกคิ้วเมื่อเห็นลู่กวงสยง พลางคิดในใจว่า ‘เฉียวเหลียงดูไม่เหมือนลู่กวงสยงเลยแม้แต่นิดเดียว เขาหล่อมากๆ เพราะเขาเหมือนคุณป้าเฉียวนี่เอง’
เฉียวอวี่ซินรู้สึกประหลาดใจที่เห็นถังซี แต่เธอยิ้มกว้าง ยื่นมือออกไปหา “หนูมาทำอะไรที่นี่”
ถังซีตอบว่า “มาหาคุณป้าค่ะ”
อาห้าทักทายเธอด้วยความเคารพ ถังซีพยักหน้ารับอย่างสุภาพ ก่อนจะหันไปมองลู่กวงสยง แล้วหันกลับมาถามว่า “คุณป้ายุ่งอยู่หรือเปล่าคะ ให้หนูไปรอที่ห้องนั่งเล่นก่อนดีไหมคะ”
เฉียวอวี่ซินส่ายศีรษะ กล่าวกับถังซีว่า “อ้อ… ป้าลืมแนะนำให้หนูรู้จัก นี่คือพ่อที่หน้าด้านไร้ยางอายของเฉียวเหลียง สามีเก่าแสนอกตัญญูของป้า ตอนนี้เขามาขอยืมเงินจากป้าสองพันล้านหยวน เพื่อเอาไปกอบกู้บริษัทของเขา” แล้วนางก็ยิ้มขำ คล้ายสมเพชตัวเอง ก่อนจะถามถังซีว่า “โหรวโหรว หนูเคยเห็นคนที่ไร้ยางอายขนาดนี้มาก่อนบ้างไหม”
ถังซีตะลึงงันมองเฉียวอวี่ซิน “…” คุณป้าคะ ทำไมถึงได้พูดอะไรแบบนี้กับหนู